“ผมเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าธุรกิจภาพยนตร์ของอินเดียกำลังเผชิญหน้ากับ Digital Disruption แต่ทุกคนถามหาหลักฐานว่าไหนล่ะ จนกระทั่งเกิดการล็อคดาวน์ ถึงได้เข้าใจ”
วีเจย์ สุบรามาเนียม Director of Content Amazon Prime India
หลายคนอาจจินตนาการไม่ออกว่า ธุรกิจภาพยนตร์ของอินเดียนั้นใหญ่มากขนาดไหน
เอาเป็นว่านี่คือประเทศที่ธุรกิจภาพยนตร์ทำหน้าที่เป็นผู้หล่อเลี้ยงความฝันและความหวังของคน 1,300 ล้านคนทั่วประเทศ ขนาดของอุตสาหกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับหลากหลายฝ่ายด้วยกัน
ปัจจุบันหากวัดเป็นจำนวนของภาพยนตร์ที่ออกฉาย อินเดียมาเป็นอันดับหนึ่งของโลก มากกว่าสหรัฐอเมริกาเท่าตัว แต่หากวัดเป็นขนาดของอุตสาหกรรมและเม็ดเงินถือว่ามาเป็นอันดับสอง
บริษัทวิจัยการตลาด Ernst & Young คาดว่าปัจจุบันโรงภาพยนตร์ในอินเดียมีอยู่ประมาณ 9,527 โรง แบ่งเป็นแบบโรงเดี่ยวประมาณ 6,327 โรง และเป็นแบบมัลติเพล็กซ์อีกประมาณ 3,200 โรง แต่เนื่องด้วยการระบาดของโควิด-19 เมื่อปีที่แล้วปีเดียว มีโรงภาพยนตร์ปิดไป 1,000 โรงแบบถาวร และไม่ใช่แค่โรงภาพยนตร์เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบห่วงโซ่ อุปทานทั้งหมดของโรงภาพยนตร์ก็ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น เจ้าใหญ่ (หรือจะเรียกว่าเป็นเครือเมเจอร์ซีนิเพล็กซ์ของอินเดียก็ว่าได้) อย่างผู้บริหารพีวีอาร์ (PVR Cinema) กัวธรรม ดุทตา (Guatum Dutta) บอกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของผู้ถือหุ้นและพนักงานทุกคน
ก่อนไปดูสถานการณ์ของหนัง ขอพาทุกคนย้อนกลับไปดูว่าทำไมธุรกิจภาพยนตร์ถึงเติบโตได้ขนาดนี้ หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาทำไมภาพยนตร์ถึงกลายเป็นผู้กุมความฝันของคนอินเดีย
การดูหนังสำหรับคนอินเดีย ประเทศที่มีรายได้ต่อประชากรไม่สูงมากนัก โดยมีการสำรวจกันในปี 2561 ว่า รายได้เฉลี่ยของคนอินเดียอยู่ที่ราว 2,000 ดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 60,00 บาทต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อประชากรหนึ่งคนอยู่ที่ราว 7,000 ดอลลาร์ฯ ต่อคนต่อปี ก็ประมาณสองแสนกว่าบาท อินเดียมีสัดส่วนที่มีประชากรที่ยังอยู่ในระดับ ‘ยากจน’ มากถึง 22% ของประเทศ GDP ไม่ขยับมาแล้วนานกว่า 15 ปี และประชาชนส่วนใหญ่ยังทำงานอยู่ในภาคแรงงานแบบชั่วคราว เป็นแรงงานไร้ฝีมือและอยู่ในภาคการเกษตรมากถึง 50%
นอกเหนือจากเรื่องเหล่านี้ อินเดียยังต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำในสังคมที่สูงมาก ทั้งเรื่องระบบวรรณะ ศาสนา และเรื่องโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรของคนอินเดีย
สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิงของอินเดียเติบโตและมีสีสัน เนื่องจากว่าเป็นความสุข ความบันเทิงที่ราคาถูกที่สุดแล้วเท่าที่พวกเขาจะสามารถหาซื้อจับจ่ายได้
เปรียบไปแล้ว ภาพยนตร์และโรงหนังสำหรับคนอินเดียก็เหมือนการตั้งวงดื่มร่ำสุรากันยามเย็นของคนไทย แต่การดื่มไม่ใช่เรื่องที่ทำได้สะดวกใจนักเพราะด้วยข้อกำหนดทางศาสนา ความบันเทิงอย่างโรงภาพยนตร์จึงเป็นทางเลือกที่ดูลงตัวกว่า โดยเฉพาะในชนชั้นล่าง
โรงภาพยนตร์ของอินเดียมีหลายระดับ ทั้งแบบที่เป็นทางการ กับแบบที่เป็นโรงภาพยนตร์ของชุมชนคือชาวบ้านทำกันเองง่ายๆ เก็บค่าดูไม่กี่รูปี สำหรับชั่วโมงแห่งการหนีออกจากความจริงที่แสนโหดร้าย
ภาพยนตร์และโรงฉายจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมของคนอินเดีย เป็นอย่างนี้มานานตั้งแต่การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของวงการภาพยนตร์ของอินเดียช่วงปี 1930 และเติบโตอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
ด้วยความที่อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและภาษามากที่สุดในโลก นอกเหนือจากบอลลีวูดที่เรารู้จักกันดี (Bollywood หมายถึงภาพยนตร์ที่พูดภาษาฮินดู) พวกเขายังมีภาพยนตร์ภาษาทมิฬ (Tamil) หรือคอลลีวูด (Kollywood) ซึ่งก็คือภายนตร์ที่พูดภาษาทมิฬเป็นหลัก มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชนไน (Chennai) และภาพยนตร์ทอลลีวูด (Tollywood) ที่พูดภาษาเตเลกู มีศูนย์กลางอยู่ทางตอนใต้ของอินเดียในรัฐอานธรประเทศ สัดส่วนก็จะแตกต่างกันออกไป นั่นคือหนังจากบอลลีวู้ดคิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ราว 43% ของหนังที่ออกฉายในประเทศอินเดีย ส่วนภาพยนตร์ภาษาทมิฬหรือทอลลีวูดอยู่ที่ 36% ตามมาด้วยคอลลีวูด อยู่ที่ราว 21% คนอินเดียส่วนมากนิยมดูภาพยนตร์ในประเทศมากกว่าฮอลลิวูด แต่ภาพยนตร์ระดับบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างเช่นภาพยนตร์ชุดอย่าง เจมส์ บอนด์ หรือจากสตูดิโอมาร์เวลของดิสนีย์ ก็ได้รับความนิยมอย่างมากในอินเดียเช่นกัน
และเหมือนหลายประเทศทั่วโลกเมื่อการระบาดของโควิดมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป แต่สำหรับอินเดียนั้นมีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้เกิดการระบาดหนักที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ทั้งเรื่องข้อจำกัดทางศาสนา ความรู้ความเข้าใจของประชาชน ความเหลื่อมล้ำและลักษณะทางวัฒนธรรม ที่เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ โดยเฉพาะความนิยมในการเข้าโรงฉายภาพยนตร์ของคนอินเดียเองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยการกระจายเชื้อได้เป็นอย่างดี
ณ วันที่เราเขียนบทความนี้ มีประชาชนเสียชีวิตเกือบสามแสนคน มีผู้ติดเชื่อกว่าห้าแสนคน และติดเชื้อสะสมกว่า 42.3 ล้านคน เรีกยว่าประเทศอินเดีย มีผู้เสียชีวิต คิดเป็น 10% ของผู้ที่เสียชีวิตทั่วโลก ตัวเลขนี้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอินเดีย โดยเฉลี่ยแล้วอินเดียจะมีภาพยนตร์ออกฉายราว 1,600 เรื่องต่อปี สร้างรายได้ให้กับอุตสาหกรรมนี้มหาศาล ตัวเลขจาก Ernst & Young ระบุกว่าปี 2019 อุตสาหกรรมภาพยนตร์อินเดีย ทำเงินได้ราว 2,100 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 68,952 ล้านบาท) แต่ปัจจุบันคาดว่าตัวเลขนี้หายไปมากกว่าครึ่งเหลือเพียง 1,000 ล้านดอลลาร์ฯ เท่านั้น (32,00 ล้านบาท) การผลิตภาพยนตร์เกือบจะอยู่ในภาวะหยุดชะงัก โดยเฉพาะในช่วงการระบาดหนัก คนที่อยู่ในแวดวงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ติดโควิดและได้รับผลกระทบในวงกว้าง ภาพของผู้คนที่ต้องออกตามหาถังออกซิเจน ความแออัดของพื้นที่อยู่อาศัย กลายเป็นสิ่งที่ซ้ำเติมสถานการณ์ของอินเดียให้แย่ลงไปอีก
มีการคาดการณ์กันว่าในปีนี้อุตสาหกรรมบันเทิงของอินเดียจะยังคงแย่อยู่ ขนาดของธุรกิจบันเทิงโดยภาพรวมของอินเดียทั้งโทรทัศน์ เกม สื่อบันเทิงรูปแบบต่างๆ นั้น ก่อนสถานการณ์โควิดมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 24,700 ล้านดอลลาร์ฯ (หรือประมาณ 8.1 แสนล้านบาท) ปัจจุบันในปีนี้ มูลค่าลดลงเหลือเพียง 18,700 ล้านดอลลาร์ฯ (6.14 แสนล้านบาท) หายไป 24% แต่ตัวเลขของการดูภาพยนตร์ผ่านผู้ให้บริการนั้นเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 384 ล้านดอลลาร์ฯ (12,600 ล้านบาท) ขยับขึ้นมาเป็น 763 ล้านดอลลาร์ฯ (ราว 25,000 ล้านบาท) ภายในปีเดียว และคาดว่าน่าจะโตอย่างต่อเนื่อง สื่อในอินเดียประโคมข่าวว่านี่คือ ‘The New Big Screen’ ของคนอินเดีย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะราคาของสมาร์ตโฟนในประเทศอินเดียมีราคาถูกลงมาก จากการเข้าทำตลาดของแบรนด์สมาร์ตโฟนจากประเทศจีนและรัฐบาลอินเดียให้การสนับสนุนกับแบรนด์ที่เข้าไปลงทุนตั้งโรงงานประกอบสมาร์ตโฟนในประเทศ (แบรนด์อันดับหนึ่งในประเทศจีนปัจจุบันคือ Xiaomi) การเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้นและแพลตฟอร์มที่ให้บริการการเช่าดูภาพยนตร์หรือการสมัครสมาชิกแบบรายเดือนในเทศอินเดียปัจจุบันมีมากถึง 45 ราย ทั้งภาพยนต์จากต่างประเทศและภาพยนตร์ในประเทศเอง ทำให้ผู้คนตัวเลือกของการดูภาพยนตร์แบบใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นสถานการณ์ที่เหมือนกันทั่วทั้งโลก
การผลิตภาพยนตร์น่าจะกลับมาได้ในเร็ววัน แต่ผู้ให้บริการโรงภาพยนตร์บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาไม่แน่ใจนักว่าเมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ลูกค้าของพวกเขายังจะสนใจกลับมาดูบนจอใหญ่เหมือนที่เคยเป็นหรือไม่ แม้ว่าภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อาจจะยังเป็นที่สนใจ แต่ลูกค้าอาจจะเลือกภาพยนตร์ที่จะดูในโรงมากขึ้นเพราะทั้งความกังวล ทั้งเรื่องสภาพเศรษฐกิจและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
ซึ่งภาพการเปลี่ยนแปลงนี้ เรียกว่า เป็นเหมือนกันทั่วโลกก็ว่าได้
Tags: หนังอินเดีย, Entertainment Weekly Round-Up, อินเดีย