หากพูดถึงแฟรนไชส์ Harry Potter เรื่องราวโลกแม่มดของ เจ. เค. โรว์ลิง (J.K. Rowling) ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ หนึ่งในภาคที่คนพูดถึงมากที่สุดคือ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban (2004) ภาพยนตร์ลำดับที่ 3 ภายใต้การกำกับของ อัลฟองโซ กัวรอน (Alfonso Cuarón) ที่โดดเด่นในเรื่องของการลำดับภาพ ธีมของเรื่อง รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่นำไปสู่ภาคต่อไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ในภาคนี้ถือเป็นการรับช่วงต่อของกัวรอน จาก คริส โคลัมบัส (Christopher Columbus) ผู้กำกับใน 2 ภาคแรก ซึ่งคราวนี้เขาตั้งใจทำให้โทนของเนื้อเรื่องมีความนัวร์ (Noir) สอดแทรกถึงปัญหา และความขัดแย้งในโลกเวทมนตร์มากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่า ตัวละครหลักอย่าง แฮรี่ พอตเตอร์ (แสดงโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์), เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ (แสดงโดย เอ็มม่า วัตสัน), รอน วีสลีย์ (แสดงโดย รูเพิร์ต กริ้นต์) ในมุมมองของกัวรอน ก็อยากให้พวกเขาเติบโตขึ้น เป็นมากกว่ากลุ่มเด็กที่ผจญภัยกับเรื่องต่างๆ ในฮอกวอร์ต
“ที่ผ่านมา คริสพยายามบอกเล่าให้เรื่องราวของพวกเขาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นของกลุ่มเด็ก แต่กัวรอนอยากปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนคนหนุ่มสาวมากกว่า” กัวรอนและเดวิด เฮย์แมน (David Heyman) โปรดิวเซอร์ของแฟรนไชส์ เล่าผ่านการสัมภาษณ์กับ Total Film ในวาระ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ครบรอบ 20 ปี
“ผมจำได้ว่า ช่วงก่อนเริ่มถ่ายทำ เขาให้ทีมนักแสดงเขียนเรียงความเกี่ยวกับตัวละครที่รับบท เพื่อให้นักแสดงได้รับรู้และเห็นถึงแรงจูงใจของตัวละครของพวกเขา” เฮย์แมนเล่า
“แน่นอนว่าเอ็มม่าเขียนมา 10-12 หน้าเลยนะ ส่วนแดเนียลเขียนมา 1 หน้า ส่วนรูเพิร์ตไม่ได้เขียนอะไรมาเลย ช่างเหมือนกับตัวละครของเขาจริงๆ” กัวรอนเล่าต่อ
นอกจากนี้ กัวรอนยังอธิบายช่วงเวลาทำหนังภาคที่ 3 ของแฟรนไชส์ด้วยว่า มีความเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากตัวละครหลักในภาคก่อนเป็นเพียงเด็กอายุ 11-12 ปีที่ไร้เดียงสา ได้เจอสิ่งน่าสนใจมากมายที่เกิดขึ้น แต่เรื่องราวของกัวรอนนั้น ต้องบอกเล่าชีวิต ปัญหา และการเติบโตของวัยรุ่นจากภาคก่อนหน้า ซึ่งจะกำหนดทิศทางของแฟรนไชส์นี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ผมยอมรับว่ากังวลไม่น้อย ก่อนหน้านี้มีผู้กำกับมากมายถูกทาบทามให้มาทำหนังเรื่องนี้ ทั้ง เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan), แคลลี คูรี (Callie Khouri), มาร์ก ฟอร์สเตอร์ (Marc Forster), เคนเนธ บรานาห์ (Kenneth Branagh) และกีเยร์โม เดล โตโร (กีเยร์โม เดล โตโร) ก่อนที่สุดท้าย เดล โตโรนี่แหละ เป็นคนที่ชักชวนให้เขามากำกับหนังเรื่องนี้ในท้ายที่สุด” กัวรอนเล่า
ถึงแม้ในแง่รายได้ Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ไม่ถือว่าโดดเด่นเท่าไรนักเมื่อเทียบกับภาคอื่นๆ ด้วยตัวเลข 796.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เป็นกลับเป็นภาคที่ได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม และสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี 2005 ที่หนังเข้าฉาย
ที่มา:
Tags: Prisoner of Azkaban, อัลฟองโซ กัวรอน, นักโทษแห่งอัซคาบัน, Harry Potter, แฮรี่ พอตเตอร์, Entertainment