เมื่อไม่นานมานี้ ผู้กำกับชื่อดัง มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ออกโรงวิจารณ์ถึงแวดวงฮอลลีวูดในระยะหลัง ว่าเป็นดัง ‘สวนสนุก’ โดยเฉพาะแฟรนไชส์ภาพยนตร์จากเครือ Marvel จนกลายเป็นประเด็นถกเถียงยกใหญ่ในโลกโซเชียลฯ

และล่าสุดความเห็นจากปากของสกอร์เซซี ถูกยกเป็นประเด็นอีกครั้ง ทันทีที่บทสัมภาษณ์ของเขากับนิตยสาร GQ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการโปรโมตภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่าง Killers of the Flower Moon ปล่อยออกมา โดยมีใจความระบุว่า ปัจจุบัน มีภาพยนตร์จำนวนมากที่สร้างมาจากคอมมิกส์ มิหนำซ้ำ ภาพยนตร์เหล่านั้นยังถูกต่อยอดสู่ระดับแฟรนไชส์ จนทำให้ภาพจำของคำว่าภาพยนตร์ถูกตีกรอบให้แคบลงและผิดเพี้ยนไปหมด

ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ดังกล่าว สกอร์เซซีเล่าถึงเรื่องราวของตนเอง ที่เกิดความรู้สึกขัดแย้งต่อวงการฮอลลีวูด นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่เขาทำหนังเรื่อง Casino (1995) ที่สตูดิโอผู้สร้างคาดหวังเรื่องผลกำไรค่อนข้างสูง หรือในกรณีของภาพยนตร์ Gangs of New York (2002) ที่ถูก ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน (Harvey Weinstein) โปรดิวเซอร์ของเรื่อง เข้ามาแทรกแซงเรื่องงบประมาณและความยาวของภาพยนตร์ จนทำให้เขามีความคิดที่จะวางมือจากอาชีพผู้กำกับภาพยนตร์ กระทั่งปัจจุบัน สกอร์เซซีก็ยังตั้งคำถามต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์อยู่เสมอ 

โดยเมื่อผู้สัมภาษณ์ถามว่า อะไรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป จนทำให้ผู้กำกับคนอื่นๆ เกิดความวิตก ว่าไม่สามารถทำงานในแบบที่เขาต้องการได้ในวงการภาพยนตร์ปัจจุบัน 

“ผมว่าอุตสาหกรรมนี้จบลงไปแล้ว คุณลองเทียบกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์เมื่อ 50 ปีที่แล้วสิ มันมีอะไรเหมือนกันบ้าง ที่สำคัญคือผมรู้สึกว่าพวกเขาแทบไม่สนใจแล้วว่า ผู้กำกับแต่ละคนคิดเห็น หรืออยากสร้างหนังแบบไหน และอยากใช้งบประมาณเท่าไร” สกอร์เซซีตอบคำถามด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ประหนึ่งว่ากำลังหมดหวังกับแวดวงภาพยนตร์ที่เป็นอยู่ 

สกอร์เซซียังอธิบายต่ออีกว่า ปัจจุบันภาพยนตร์ที่มีต้นแบบจากคอมมิกส์และภาพยนตร์ประเภทแฟรนไชส์ที่มีผลงานเกลื่อนกราดในปัจจุบัน กำลังส่งผลกระทบต่อวงการภาพยนตร์โดยตรง

“สิ่งนี้คือความอันตรายที่เกิดขึ้นในวัฒนธรรมของเรา เพราะผู้คนในยุคนี้เริ่มคิดว่า ภาพยนตร์มีเพียงแค่เรื่องราวจากคอมมิกส์และภาพยนตร์ประเภทแฟรนไชส์ไปแล้ว” 

แม้ผู้สัมภาษณ์จะบอกว่าสกอร์เซซีไม่จำเป็นต้องพูดประเด็นนี้ก็ได้ แต่สกอร์เซซียังยืนยัน ว่านี่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องพูด เพราะสิ่งที่วงการฮอลลีวูดเป็นอยู่ทุกวันนี้แทบไม่ต่างกับการให้ปัญญาประดิษฐ์สร้างภาพยนตร์ ซึ่งเราไม่เห็นถึงจุดมุ่งหมายหรือมุมมองของตัวผู้กำกับในภาพยนตร์แต่ละเรื่องแม้แต่น้อย 

“ผมมองว่า ทางแก้ไขของเรื่องนี้ คือเราควรเริ่มสู้กลับบ้าง ซึ่งต้องเริ่มตั้งแต่บุคลากรระดับรากหญ้า และต้องมาจากจิตวิญญาณของผู้สร้างภาพยนตร์เอง ยกตัวอย่างง่ายๆ คือเราต้องมีคนแบบสองพี่น้องแซฟดี (โจชัว แซฟดี และเบนจามิน แซฟดี) ที่ทำหนังอย่าง Good Time (2017) และ Uncut Gems (2019) หรือคนแบบ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) คุณพอจะนึกออกใช่ไหมว่าผมหมายถึงคนแบบไหน สร้างคนแบบนี้ขึ้นมาเยอะๆ แล้วโจมตีวงการภาพยนตร์ในตอนนี้ไปเลย โจมตีไปทุกทาง อย่ายอมแพ้ พวกเราต้องกอบกู้ภาพยนตร์”

หลังจากนี้คงต้องจับตาดูกันต่อว่า วงการภาพยนตร์จะสลัดภาพลักษณ์จากแฟรนไชส์ภาพยนตร์แนวซูเปอร์ฮีโร่ และสามารถผลักดันสังคมให้มีการเคารพ หรือสนับสนุนความคิดของอาชีพผู้กำกับภาพยนตร์มากยิ่งขึ้นได้หรือไม่

Tags: , ,