อายุน่าจะเหมือนกับเพศสภาพที่มาเปลี่ยนกันได้ทีหลัง  เอมิล เรเทลแบนด์ (Emile Ratelband) ชายชาวดัตช์วัย 69 ที่รู้สึกเหมือนตัวเองอายุ 40 กว่าๆ ยื่นคำร้องต่อศาลท้องถิ่นที่บ้านเกิดของเขาในเมืองอาร์เนม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อขอเปลี่ยนวันเกิดในสูติบัตรจากที่เคยเป็นวันที่ 11 มีนาคม 1949 ให้เป็น 1 มีนาคม 1969 แทน

เขามองว่าคำร้องของเขาไม่ต่างจากการขอเปลี่ยนชื่อหรือเพศ ซึ่งเขาถูกกำหนดเมื่อแรกเกิด

“ทุกวันนี้ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา เราต่างเป็นผู้มีอิสรภาพ” เขาให้สัมภาษณ์กับวอชิงตันโพสต์ “เราตัดสินใจเองได้ หากเราต้องการเปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนเพศของเรา ดังนั้นผมต้องการเปลี่ยนอายุของตัวเอง ผมรู้สึกว่าร่างกายและจิตใจของผมอยู่ที่ประมาณ 40 หรือ 45 ปี”

เขาบอกว่า การได้เป็นคนอายุ 40 กว่าปีจะทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นมาก อย่างแรก มันจะเพิ่มโอกาสในการออกเดท “บนทินเดอร์ ถ้าคุณอายุ 69 ปี คุณตกยุค” เรเทลแบนด์ให้เหตุผล ซึ่งเพื่อนๆ ก็แนะนำให้เขาเปลี่ยนอายุของตัวเองบนแอป “แต่ผมไม่อยากโกหก ถ้าคุณโกหก คุณก็ต้องจำทุกอย่างที่พูด”

นอกจากนี้ ถ้าอายุหลักสี่ก็จะช่วยให้เขาทำโปรเจ็กต์งานใหม่ๆ ได้มากขึ้น ตัวแทนจากบริษัทหางานชอบถามว่า “พูดจาแบบคนหนุ่มสาว” ได้ไหม เขารับประกันว่า เขาพูดจาแบบเดียวกับคนหนุ่มสาวได้ และมีประสบการณ์มากกว่า ฉลาดกว่า และมีความรู้มากกว่าคนหนุ่มสาว แต่บริษัทจัดหางานก็บอกว่า ตัวเลือกอื่นๆ ที่มีอยู่เป็น “คนหนุ่มสาวที่มีชีวิตเปล่งประกาย”

เรเทลแบนด์ มีลูก 7 คน ตอนนี้เป็นโสด และอยากจะเป็นหนุ่มอีกครั้ง เขามีสุขภาพดีทั้งทางกายและทางจิต ความดันเลือดปกติ ข้อต่างๆ ทำงานได้ดี สายตาชัดเจน เขาบอกว่าทุกอย่างดีหมด ด้วยเหตุนี้ เรเทลแบนด์จึงไปยื่นคำร้องเพื่อเปลี่ยนวันเกิด แต่เจ้าหน้าที่ถามว่า “คุณบ้ารึเปล่า” แล้วก็ปฏิเสธคำขอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีปัญหากับเจ้าหน้าที่ หลายปีก่อน พวกเขาก็ปฏิเสธไม่ให้เขาตั้งชื่อลูกแฝดว่า “โรลส์” (Rolls) กับ “รอยซ์” (Royce) ตามยี่ห้อรถ แม้จะยังเรียกชื่อลูกด้วยชื่อนี้ แต่เรเทลแบนด์ก็ยอมเปลี่ยน ตั้งชื่อตามกฎหมายว่า “ฟรานซ์” (France) และ “มินู” (Minou)

ตอนนี้ เขาบอกทนายว่าต้องการให้เรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโดยใช้วิธีเดียวกับที่คนข้ามเพศฟ้องร้องเพื่อเปลี่ยนสูติบัตร ซึ่งต้องมีผลการประเมินของจิตแพทย์ด้วย เรเทลแบนด์เห็นด้วยที่จะต้องมีการรับรองจากผู้เชี่ยวชาญว่าเขาไม่ใช่ “เหยื่อของโรคปีเตอร์แพน” เขาโน้มน้าวใจให้ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าเขาไม่ได้หลอกตัวเองและเข้าใจผลของการกระทำนี้ดี

เขาบอกกับวอชิงตันโพสต์ว่า ตอนแรกผู้พิพากษา “หัวเราะเหมือนกับเด็กๆ” แต่หลังจากที่เขาพูดว่า “สังคมสมัยใหม่จะปลดปล่อยตัวเองจากพระเจ้าแห่งเงินตรา รัฐบาล และศาสนาได้อย่างไร ซึ่งตอนนี้เราต่างเป็นมนุษย์ที่มีเสรีภาพ” พวกเขาก็รับฟัง เขายังบอกด้วยว่า ยินดีที่จะสละสิทธิบำนาญที่ได้รับด้วย

ความปรารถนาของเรเทลแบนด์เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองมีที่มาจากการเข้าฝึกอบรมกับโทนี่ ร็อบบินส์ (Tony Robbins) กูรูสร้างแรงบันดาลใจและเจ้าแห่งการจัดการชีวิต เขาอยู่และเดินทางกับร็อบบินส์ 6 เดือนในช่วงทศวรรษ 1980 และเชื่อว่า “คุณต้องทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงจากการสร้างภาพขึ้นมา”

“นี่เป็นความคิดแบบคนอเมริกัน ทำไมผมจะเปลี่ยนอายุตัวเองไม่ได้ ถ้าผมอยากเปลี่ยน คุณต้องยืดตัวเองขึ้นมา ถ้าคุณคิดว่าคุณกระโดดได้สูง 1 เมตร ตอนนั้นผมอยากกระโดดที่ 20 เมตร ถ้าคุณหาเงินได้ 100 ตอนนี้ผมอยากจะหาได้ 120”

เขาเปรียบเทียบกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างว่าคนเราไม่ต้องการให้ใครมาบอกว่าจะใช้ชีวิตยังไงหรือเชื่ออะไร ดังนั้นเขาจึงชื่นชมทรัมป์ว่าตัดตัวเองออกจากมาตรฐานเดิมๆ ของประธานาธิบดีคนก่อน “เขาแค่เป็นตัวเอง ทรัมป์เป็นคนแรกที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เขาแสดงอารมณ์ทางทวิตเตอร์ พูดกับทุกคนด้วยคำพูดว่า “หุบปาก” เขาเป็นคนอีกประเภทหนึ่ง”

ศาลท้องถิ่นจะใช้เวลา 4 สัปดาห์วินิจฉัยเรื่องนี้

 

ที่มา:

ที่มาภาพ:

Tags: , ,