1

เที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปอิสตันบูลช่วงปลายปีมีผู้โดยสารแน่นขนัด คะเนจากสายตาแล้วเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยกว่าครึ่ง อีกครึ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวตุรกีที่เดินทางกลับบ้านไปเฉลิมฉลองกับครอบครัว

ระหว่างต่อแถวเข้าเครื่อง ผมหยิบหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ติดมือมาด้วย หนังสือพิมพ์ที่วางข้างๆ กันเป็นสื่อท้องถิ่นตุรกีที่ผมอ่านไม่ออก ดูจากหน้าหนึ่งแล้ว ทุกที่ต่างให้น้ำหนักข่าวใหญ่ไม่ต่างกัน คือข่าวการสังหารเอกอัครราชทูตชาวรัสเซียในกรุงอังการา ประเทศตุรกี และข่าวคนขับรถบรรทุกพุ่งชนตลาดคริสต์มาสในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี

“Enjoy your flight!” แอร์โฮสเตสสาวตาคมเข้มเสิร์ฟเบียร์สไตล์เมดิเตอร์เรเนียนให้ ผมจิบพลางเปิดอ่านหนังสือพิมพ์ไปทีละหน้า

นอกจากหน้าหนึ่งแล้ว เนื้อหาข้างในก็ยังมอบพื้นที่ให้กับสองเหตุการณ์ใหญ่ในยุโรป มีทั้งบทวิเคราะห์เชิงลึก และสกู๊ปเบื้องหลังของผู้ก่อการร้าย

สกู๊ปชิ้นหนึ่งรายงานว่านายเอนิส อัมรี (Anis Amri) ผู้ขับรถบรรทุกชาวตูนิเซียที่ชนตลาดคริสต์มาสคร่าชีวิตคนไปกว่า 12 คนนั้นเป็นภาพสะท้อนของสถานการณ์ในยุโรปปัจจุบัน

นายเอนิส อัมรี ผู้มีความคิดหัวรุนแรงและฝักใฝ่กลุ่ม IS เดินทางด้วยเรือจากชายแดนตูนิเชียมายังซิซิลี ประเทศอิตาลี เขากระทำความผิดและก่อเหตุรุนแรงจนต้องโทษคดีถูกจับเข้าคุกบ่อยครั้ง จนทางการอิตาลีต้องส่งตัวกลับประเทศ แต่เขาหนีไปหลบที่สวิตเซอร์แลนด์ ซอกแซกมาเยอรมนี ท้ายที่สุดก็กระทำการอุกอาจดังกล่าว

เหตุการณ์นี้ทำให้ อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) ผู้นำเยอรมนีโดนโจมตีอย่างหนักอีกครั้งว่ามีส่วนกับการสูญเสียจากนโยบายเปิดรับผู้อพยพของเธอ

นี่คือสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของยุโรปปัจจุบัน ใจหนึ่งก็อยากเห็นใจเพื่อนมนุษย์ แต่อีกใจก็กังวลต่อความปลอดภัยของตัวเอง เหมือนกับเนื้อเพลง “ใจหนึ่งก็รัก อีกใจหนึ่งก็เจ็บ” ยังไงยังงั้น

โจเซฟ ซี. สเติร์นเบิร์ก (Joseph C.Sternberg) นักวิเคราะห์ของ The Wall Street Journal เขียนในคอลัมน์หน้าถัดไปว่า ‘ความกลัวคนนอก’ นี้เองที่จะทำให้ความนิยมของ อังเกลา แมร์เคิล ลดลง จนฝ่ายขวาประชานิยมอาจชนะการเลือกตั้งในปี 2017 และหากเป็นเช่นนั้นจริงก็เท่ากับว่าโลกกำลังจะหันขวาครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์นับจากยุคฮิตเลอร์

โศกนาฏกรรมท้ายปีเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งในผืนพิภพ หากลองต่อจิ๊กซอว์ทีละชิ้นตลอดปี จะพบว่าปี 2016 คือปีแห่งความเปลี่ยนแปลงและความผันผวนอย่างแท้จริง ไล่ตั้งแต่ Brexit, ระเบิดในบรัสเซลส์, โดนัลด์ ทรัมป์ จนมาถึงสงครามในซีเรีย

มองโลกก็ได้แต่ ‘ถอนใจ’ แล้วมองกลับมาบ้านเราอาจต้อง ‘ถอดใจ’ ยิ่งกว่า

เหตุการณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 สวรรคต คือความสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดของปวงชนชาวไทย การจากไปของหัวใจคนไทยส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ประเทศหยุดเดินชั่วขณะ และหลายคนถึงขั้นบอกว่า

ปี 2016 คือปีแห่งความสิ้นสุดและสิ้นหวัง

 

2

แอร์โฮสเตสสาวเสิร์ฟเบียร์กระป๋องที่สองพร้อมกับอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน มีสลัดกุ้งคลุกซูกินี ฮัมมูส ราดด้วยมะเขือเทศและวอลนัต จานหลักเป็นเนื้อบดกับข้าวกระเทียมผัดเนย ผมกินด้วยความรื่นรมย์พลางอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ

ผมลืมไปแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้แทะเล็มตัวอักษรบนสิ่งพิมพ์ช้าๆ นั้นคือเมื่อไหร่ หากไม่ได้ถูกตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ผมก็คงสไลด์หน้าจอในมือถืออยู่

โลกทุกวันนี้หมุนเร็วจนกระชากให้เราต้องวิ่งให้ทันสายพานติดจรวด

บางครั้งเราก็ลืมไปว่าความช้าคือความงดงามอย่างหนึ่ง

บางครั้งเราก็ลืมไปว่าการละเลียดอ่านหนังสือช้าๆ มีคุณค่าตรงที่ก่อให้เกิดปัญญาระหว่างบรรทัด

บางครั้งเราก็ลืมไปว่าเมื่อเราจดจ่อกับสิ่งหนึ่งมากเกินไป เราก็อาจมองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด

ผมคิดว่าเหตุสำคัญที่ทำให้คนสิ้นหวังกับปี 2016 ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ที่น่าหวาดผวาครั้งใหญ่อย่างเดียว แต่เป็นเพราะเหตุการณ์เหล่านี้คือเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การออกจากอียูของอังกฤษ ชัยชนะของทรัมป์ หรือการสูญเสียเสาหลักของเมืองไทยตลอด 70 กว่าปี ทำให้เราคาดเดาไม่ถูกว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เรากำลังเดินมาถึงทางแยก เรามองไม่เห็นทางข้างหน้า เราหลงทางในความมืด

มันคืออนาคตที่เต็มไปด้วยม่านหมอกอันพร่ามัว

แล้วเราควรทำอย่างไร?

ผมคิดว่า ยิ่งอนาคตไม่แน่นอนมากเท่าไหร่ เรายิ่งต้องสร้างความมั่นคงในปัจจุบันมากขึ้นเท่านั้น

หากอนาคตเต็มไปด้วยหมอกอันพร่ามัว เราก็ต้องหาไฟตัดหมอกให้เจอ

หากอนาคตคือความมืดมิด เราก็ต้องหาทางจุดคบเพลิงให้ได้

สำหรับผม ไฟตัดหมอกที่จะพาเราก้าวต่อไปก็คือ ‘ปัญญา’

อาจารย์สุรชาติ บำรุงสุข ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงลำดับต้นๆ ของเมืองไทยบอกผมว่า ปี 2016 เป็นแค่จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ปี 2017 ต่างหากที่จะเป็นความท้าทายอย่างแท้จริง ซึ่งในตอนนี้ปัญญาชนในยุโรปก็กำลังถกเถียงกันอย่างหนักเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และเขาก็คาดหวังอยากจะเห็นคนไทยทำแบบนั้นเช่นกัน

อาจารย์ไม่ได้เรียกปี 2017 ว่า คือปีแห่งความน่ากลัว แต่เรียกว่า ‘ปีแห่งการถกเถียงทางปัญญา’

เราต้องเปิดใจกัน คุยกันมากกว่านี้ รับฟังและถกเถียงกันมากกว่านี้ เพื่อช่วยกันจุดคบเพลิงทางปัญญา

ไม่มีใครจะพาเราหลุดออกจากปัญหานี้ได้ นอกจากพวกเราเอง

ท้ายที่สุดนี้ในฐานะตัวแทนของทีม The Momentum ผมขอขอบคุณคุณผู้อ่านทุกคนที่ให้การสนับสนุนที่ดีเสมอมา ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวออนไลน์น้องใหม่นี้ได้รับทั้งคำชมและคำติที่มีคุณค่า เราสัญญาว่าจะตั้งใจทำหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดีต่อไป เราจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโมเมนตัมให้กับคุณ และเป็นเชื้อเพลิงหนึ่งในการจุดคบเพลิงทางปัญญา

ผมนั่งเขียนต้นฉบับชิ้นสุดท้ายของปีนี้บนเครื่องบินที่กำลังมุ่งหน้าไปอิสตันบูล ปากกาและสมุดจดวางอยู่ตรงหน้า เครื่องดื่มสีอำพันพร่องไปครึ่งแก้ว มองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงอาทิตย์กำลังลอยตัวขึ้นเหนือหลังคาปุยนุ่นเป็นสัญญาณการเริ่มต้นวันใหม่

อบอุ่นและงดงาม

ขอให้ปี 2017 เป็นปีที่มีแสงสว่างสำหรับทุกคน

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai