ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลา ‘นองเลือด’ ของเหล่าหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ถูก ‘ต้อนเข้ามุม’ หรือในแวดวงการเงินเรียกว่า ‘Cornering the Market’ โดยราคาหุ้นบางตัวอาจปรับลดลงมากกว่า 30% ใน 1 วัน สร้างความอกสั่นขวัญหายแก่เหล่านักลงทุนรายย่อยที่หวังกอบโกยกำไรจากหุ้น แต่ปัจจุบันต้องทนนั่งดูตัวแดงในพอร์ตฟอลิโอโดยแทบไม่มีความหวังว่าราคาจะขึ้นกลับมาจนมีกำไรอีกครั้ง
ไม่น่าแปลกใจที่คนจำนวนไม่น้อยต่างก่นด่ากล่าวหานักลงทุนรายใหญ่ว่า ‘ทุบตลาด’ หลังจากทำกำไรไปมหาศาล
แม้ว่าจวบจนปัจจุบันจะยังไม่มีใครโดนฟ้องร้องกล่าวหาหรือลงโทษในฐานสร้างราคาหลักทรัพย์ หรือปั่นราคาหุ้น (Market Manipulation) แต่ก็นับเป็นกรณีศึกษาว่าการ ‘ลากราคา’ ในตลาดหลักทรัพย์ไทยนั้นสามารถทำได้จริง โดยเฉพาะหุ้นที่ราคาไม่แพง มูลค่าตลาดไม่สูง และสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนรายย่อยค่อนข้างต่ำ ซึ่งนักลงทุนมือใหม่ต้องเข้าซื้อขายด้วยความระมัดระวัง
แต่คงไม่ถูกนักหากจะให้นักลงทุนดูแลตัวเองเพียงฝ่ายเดียว เหตุการณ์ข้างต้นนำไปสู่คำถามว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะผู้คุมกฎ และตลาดหลักทรัพย์ในฐานะผู้กำหนดเกณฑ์ควรเดินหน้าอย่างไรเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทยและต่างชาติว่าตลาดแห่งนี้คือสนามเพื่อการลงทุน ไม่ใช่บ่อนพนัน
รู้จักกระบวนการ ‘ต้อนหุ้นเข้ามุม’
นักเทรดหุ้นมือใหม่ที่ตบเท้าเข้าตลาด หากเลือกสำนักการวิเคราะห์ทางเทคนิคก็คงเชี่ยวชาญด้านการอ่านกราฟและมองหาสัญญาณทำกำไรจากจังหวะตลาด หากสมาทานสำนักการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานก็คงอ่านงบฯ ได้อย่างเก่งฉกาจ และติดตามความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก
แต่มีตัวเลขหนึ่งที่หลายคนมักมองข้าม และฟังดูเหมือนไม่ได้สลักสำคัญอะไร กลับกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการต้อนหุ้นเข้ามุม นั่นคือการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือที่คุ้นหูกันว่า Free Float
หุ้นทุกตัวที่ทำการซื้อขายในตลาดจะระบุอัตราการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น ถ้าบริษัท MMT มีสัดส่วน Free Float อยู่ที่ 50% หมายความว่าถ้าบริษัทมีหุ้นสามัญทั้งหมด 1 หมื่นหุ้น จำนวนหุ้นที่กระจายอยู่ในมือรายย่อยและหมุนเวียนซื้อขายในตลาดจะเท่ากับ 5,000 หุ้นนั่นเอง
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนดนิยามของ ‘ผู้ถือหุ้นรายย่อย’ คือผู้ถือหุ้นที่มิได้เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหารงาน นั่นหมายความว่าหุ้นในมือเหล่ากรรมการบริหาร หรือหุ้นในมือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ซึ่งถือหุ้นเกินกว่า 5% รวมถึงผู้ที่มีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกัน เช่น คู่สมรสหรือลูกที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ จะไม่ถูกนับเป็นหุ้น Free Float ในตลาดนั่นเอง
การกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อยนับเป็นตัวชี้วัดที่ยอดเยี่ยมถึง ‘สภาพคล่อง (Liquidity)’ ในการซื้อขายหุ้น ยิ่งบริษัทมีอัตรา Free Float สูงเท่าไร สภาพคล่องก็จะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว บริษัทจึงสามารถระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น และความผันผวนของราคาก็จะต่ำลงอีกด้วย
เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากยิ่งขึ้น ผมขอชวนให้จินตนาการว่าการขยับขึ้นลงของราคาหุ้นเปรียบเสมือนการเดินขึ้นลงบันได หุ้นที่ราคาสูงและมีปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดมากก็จะเหมือนขั้นบันไดที่สูงและกว้างกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นที่ราคาต่ำและมีปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อยซึ่งเหมือนบันได้เตี้ยๆ แคบๆ ที่แค่ก้าวสั้นๆ ก็ข้ามไปได้ทีละหลายขั้น ราคาหลักทรัพย์จึงสามารถกระโดดขึ้นลงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหมายถึงความผันผวนที่สูงลิ่วนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นเป็นเรื่องที่นักลงทุนรายใหญ่ไม่สามารถกำหนดได้ แต่สิ่งที่พวกเขามีอยู่ในกำมือคือความมั่งคั่งมูลค่ามหาศาลและการเข้าถึงสินเชื่อ พวกเขาจึงเลือกใช้อำนาจเงินในมือกว้านซื้อหุ้นในตลาดมาถือไว้จนปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในมือผู้ถือหุ้นรายย่อยลดต่ำลง สะท้อนจากสัดส่วน Free Float ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน เปรียบเสมือนการสร้างความขาดแคลน ‘ปลอมๆ’ ที่จะช่วยผลักดันราคาหุ้นให้เพิ่มรวดเร็วยิ่งขึ้นซึ่งก็คือการต้อนหุ้นเข้ามุม และเมื่อราคาขึ้นจนเป็นที่น่าพอใจ พวกเขาจะเทขายจนราคาลดฮวบ ปล่อยให้นักลงทุนที่ติดกับดักซื้อหุ้นไปในราคาสูงต้องก้มหน้ารับผลขาดทุน
แล้วเราควรแก้ปัญหาอย่างไร
แน่นอนครับว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบดีถึงปัญหา โดยตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทยก็มีการกำหนดหลักเกณฑ์ว่าบริษัทมหาชนที่มีการซื้อขายในตลาดจะต้องมีสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างน้อย 15% ของทุนชำระแล้ว และกระจายอยู่ในมือผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างน้อย 150 คน หากบริษัทใดไม่สามารถดำเนินการได้ ตลาดหลักทรัพย์จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในปีแรก และประกาศชื่อต่อสาธารณะในปีถัดไป
อย่างไรก็ตาม กฎข้างต้นก็นับว่าหน่อมแน้มน่ารัก เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าสัดส่วน Free Float จะต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน ตลาดหลักทรัพย์ก็ยังไม่เคยถอนบริษัทออกจากตลาดด้วยเหตุผลนี้ หากมีเหตุการณ์ปั่นแล้วทุบเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตลาดหลักทรัพย์เองอาจต้องปรับเปลี่ยนเกณฑ์ให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น และจากข้อมูลปัจจุบัน บริษัทที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทยกว่า 250 แห่งมี Free Float น้อยกว่า 30% ซึ่งนับว่าค่อนข้างต่ำ และมีบริษัทที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดกว่า 60 แห่ง เพราะมี Free Float น้อยกว่า 20%
จำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำแนกตามสัดส่วนการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย ข้อมูล ณ เดือนมกราคม 2566
นอกจากเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว หุ้น Free Float ต่ำก็ยังสร้างความปวดหัวให้กับตลาดไม่น้อย เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์หุ้นขนาดกลางอย่าง DELTA ที่ราคาทะยานขึ้นไปสูงลิ่วทั้งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านปัจจัยพื้นฐานสักเท่าไร จนกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดอันดับต้นๆ ของไทย แต่สาเหตุส่วนหนึ่งที่ราคาวิ่งเร็วจนน่าตกใจคือสัดส่วน Free Float ที่เพียงราว 22% มูลค่าบริษัทจึงอาจสูงกว่าที่ควรจะเป็น
อย่างไรก็ตาม ข้อกำหนดเดิมในการคัดเลือกหุ้นเข้าสู่ดัชนี SET50 ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งรวมบริษัทชั้นแนวหน้าของตลาดหลักทรัพย์ไทยจะพิจารณาเพียงมูลค่าตลาดของบริษัทเป็นหลัก นำไปสู่การปรับเกณฑ์ครั้งใหญ่โดยพิจารณาจากมูลค่าของบริษัทตามราคาตลาดที่ปรับด้วย Free Float เพื่อการันตีว่าหุ้นที่จะมีโอกาสเข้าสู่ดัชนีเรือธงนี้จะต้องมีสภาพคล่องสูงและความผันผวนต่ำ
ส่วนในฝั่งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แม้จะมีกฎหมายอยู่ในมือแต่ก็ยังไม่มีการบังคับใช้เข้มข้นมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะการพิสูจน์เรื่องการสร้างราคาหลักทรัพย์ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ได้มีหลักฐานแบบคาหนังคาเขาอย่างกรณีของหุ้น MORE การดำเนินคดีก็คงเดินหน้าลำบาก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้นะครับ เพราะปัจจุบันเรามีเครื่องมือทรงพลังในการวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อขาย หากมีการส่งคำสั่งที่ผิดปกติในปริมาณมากจากผู้ซื้อผู้ขายหน้าเดิมๆ ก็อาจเป็นสัญญาณให้ ก.ล.ต. สืบสวนเพื่อคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยไม่ให้ติดกับดักการสร้างราคาของรายใหญ่
ในฝั่งนักลงทุนก็ต้องระวังตัวเช่นกัน นอกจากสัญญาณด้านราคาและปริมาณซื้อขายแล้ว อย่าลืมหันมามองปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเรื่องผลประกอบการและกำไรบ้าง โดยตัวชี้วัดที่ต้องพิจารณาก่อนกดส่งคำสั่งซื้อคืออัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ หรือที่คุ้นหูกันดีว่า P/E Ratio ตัวเลขดังกล่าวจะบอกว่าเงินที่เราจ่ายซื้อตอนนี้คิดเป็นกี่เท่าของกำไรต่อหุ้นของบริษัท
ตัวอย่างเช่น บริษัท A มี P/E Ratio เท่ากับ 60 เท่า นั่นหมายความว่าเรากำลังจะจ่ายเงิน 60 บาทเพื่อซื้อบริษัทที่ทำกำไรได้ปีละ 1 บาทเท่านั้น นั่นหมายความว่าถ้าบริษัทไม่มีการเติบโตใดๆ เราจะต้องรออีก 60 ปีเงินลงทุนก้อนนี้จึงจะคืนทุน
ค่า P/E Ratio เฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ประมาณ 20 เท่า อาจจะมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้บ้างขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม หากบริษัทที่เราเล็งว่าอยากจะควักกระเป๋าซื้อมีค่า P/E Ratio อยู่ที่ 50 เท่า ผมแนะนำให้คิดให้เยอะๆ ก่อนส่งคำสั่ง โดยตอบคำถามให้ได้ว่าบริษัทดังกล่าวมีดีอะไร ทำไมเราต้องจ่ายเงิน 50 บาทเพื่อแลกกับของที่ตอนนี้ทำเงินให้เราได้ปีละ 1 บาท
ตราบใดที่หน่วยงานกำกับดูแลยังไม่ขยับเข้ามาทำหน้าที่กำกับตลาดอย่างจริงจัง ปล่อยให้รายใหญ่ปั่นและทุบนักลงทุนรายย่อยอย่างสนุกสนาน เราเหล่านักลงทุนรายย่อยก็คงต้องคอยดูแลตัวเอง พร้อมกับเฝ้ามองสภาพคล่องที่เหือดหายไปจากตลาดเพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นกับ ‘ราคา’ ที่ปรากฏอยู่บนกระดาน
เอกสารประกอบการเขียน
Free float and market liquidity around the world
New investors must understand free float shares
Understanding Stock Float and Its Impact on Stock Price
Tags: หุ้น, ตลาดหุ้น, กกต., Economic Crunch