ภาพใหม่ของวันวานที่ ดุสิตธานี หัวหิน หลังการรีโนเวทครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ระหว่างที่ดุสิตธานี กรุงเทพฯ กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ เรามุ่งหน้าลงใต้สู่หัวหิน เพื่อกล่าวสวัสดีกับดุสิตธานี หัวหิน อีกครั้งหนึ่งเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากการรีโนเวทโรงแรมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 29 ปี เฟสแรกเพิ่งจะแล้วเสร็จ และเราเองน่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ เลยด้วยซ้ำที่ได้ลองพักในห้องที่ดู ‘ใหม่’ และ ‘ไฉไล’ สุดๆ

ห้องพักแบบ Deluxe ที่อยู่ริมสระว่ายน้ำของเรามีเงาของต้นมะพร้าวพาดอยู่จางๆ ภายในผสมผสานโทนสีอ่อนและการใช้วัสดุอย่างไม้และผ้าไหม ทำให้ดูร่วมสมัย แต่ก็อบอุ่นและเอื้อต่อการพักผ่อนอยู่ในที แต่ที่ชอบที่สุดน่าจะเป็นระเบียงกว้างที่ออกมานั่งรับลมได้นานตามใจชอบ 

การรีโนเวทโรงแรมดุสิตธานี หัวหินในเฟสแรกนี้ ประกอบด้วยการปรับปรุงห้องพักใหม่จำนวน 204 ห้อง จากทั้งหมด 296 ห้อง พร้อมพื้นที่ของร้านอาหารแบบออล-เดย์-ไดนิ่ง และห้องประชุมรอยัลดุสิตแกรนด์บอลรูมที่สามารถรองรับแขกได้มากถึง 1,000 คน “ในส่วนของห้องพักนั้น เราเน้นคอนเซ็ปต์โมเดิร์น-คลาสสิก คือไม่ได้โมเดิร์นจ๋า ยังมีกลิ่นอายความเก่าและสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลอยู่ เพราะสไตล์โคโลเนียลมักจะชวนให้นึกถึงความทรงจำดีๆ ครับ เรียกว่าเป็น sense of destination เพราะเวลาคนคิดถึงหัวหินก็มักจะคิดถึงเรื่องเก่าๆ” คุณพิพัฒน์ พัฒนานุสรณ์ ผู้จัดการทั่วไป (General Manager) ของโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน กล่าว 

เมื่อคำนึงถึงอายุของโรงแรมที่จะเข้าสู่ขวบปีที่สามสิบแล้วในปีหน้า การรีโนเวทครั้งใหญ่ครั้งนี้ก็ดูจะสมควรแก่เวลา “ผมว่าการปรับปรุงครั้งนี้เป็นคล้ายๆ กับของขวัญให้แขกของเรานะครับ โรงแรมเราเปิดมาเกือบสามสิบปีแล้ว หลายคนมาพักตั้งแต่เด็กๆ ตอนนี้เป็นพ่อแม่ พาคุณพ่อคุณแม่กับลูกมาพัก หลายคนอยู่กับเรามานานมาก ซึ่งแขกส่วนใหญ่ตอบรับค่อนข้างดี ” คุณพิพัฒน์เล่า “ผมมองว่าเราเก่าได้นะ แต่ต้องออกไปในแนวคลาสสิก ไม่ใช่เก่า (old) เป็นแบบที่ใครมาก็มีความสุข คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย คุณพ่อคุณแม่มีความสุข ลูกหลานก็สนุก เป็นสถานที่สำหรับคนทุกรุ่น” 

นอกจากการปรับปรุงห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวก ดุสิตธานี หัวหิน ยังมีความแปลกใหม่หลายอย่างมานำเสนอแขกผู้เข้าพัก ตั้งแต่ด้านอาหารที่จะมีไฮไลต์แตกต่างกันไปในแต่ละวัน (ทั้งซีฟู้ด อาหารเมดิเตอร์เรเนียน ไปจนถึงสตรีทฟู้ด) ไปจนถึงแผนการจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างการเก็บผักและผลไม้ในฟาร์มออร์แกนิกที่อยู่ในโรงแรมเองหรือการเพิ่มจักรยานน้ำในลากูนติดกับชายหาดเพื่อให้ครอบครัวได้มีกิจกรรมร่วมกันมากยิ่งขึ้น และในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะมีลู่วิ่งหรือลู่จักรยานเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้ เพราะทางโรงแรมมีแผนที่จะเน้นไปในเรื่องสุขภาวะมากยิ่งขึ้น ทั้งการเลือกใช้ผักผลไม้ออร์แกนิกจากฟาร์มในท้องถิ่น รวมถึงการวางแผนปรับปรุงสปาและฟิตเนสเซ็นเตอร์ให้รองรับผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งคุณพิพัฒน์เรียกรายละเอียดทั้งหมดนี้ว่าเป็น ‘soft wellness’ หรือเส้นทางสุขภาวะแบบไม่บังคับ แต่เน้นให้ผู้มาเยือนอยู่แล้วมีความสุขและมีสุขภาพที่ดีไปพร้อมๆ กัน 

ถึงวันนี้ แบรนด์ ‘ดุสิตธานี’ อาจจะนั่งอยู่ในใจคนจากยุคหนึ่งอยู่แล้ว แต่จะทำอย่างไรให้แบรนด์มัดใจคนรุ่นใหม่ได้? คุณพิพัฒน์กล่าวว่านอกจากฮาร์ดแวร์ ซึ่งก็คือห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของดุสิตธานีคือซอฟต์แวร์หรือบุคลากรของโรงแรมนั่นเอง “เรามีความเป็นไทยสูง มีวัฒนธรรมที่ปลูกฝังมาอย่างดี พนักงานของเรามีจิตบริการและใส่ใจในรายละเอียด ที่นี่มียิ้มที่เยอะมากให้แขกของเรา ด้วยความที่สิ่งเหล่านี้เป็นดีเอ็นเอของเรา สำหรับแขกที่เป็นคนไทย เราย่อมเข้าใจและตอบโจทย์สิ่งที่ต้องการได้ง่าย ในขณะที่ชาวต่างชาติที่มาเมืองไทยย่อมมองหาและอยากสัมผัสสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว ผมมองว่าการปรับปรุงโรงแรมในครั้งนี้จึงไม่ใช่การกลับมาอีกครั้งของเรา แต่เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะทำให้เราเข้าถึงคนได้มากขึ้นอีกครับ”

และความใส่ใจที่น่าประทับใจที่สุดคืออะไรรู้ไหม? นอกจากจะเป็นที่พักสำหรับแขกแล้ว น้อยคนนักที่จะรู้ว่าดุสิตธานี หัวหินแห่งนี้ ยังเป็นที่พักพิงของปลาคาร์พและต้นไม้อีกจำนวนหนึ่งของดุสิตธานี กรุงเทพฯ ที่ถูกย้ายมาพักผ่อนที่นี่เป็นการชั่วคราว ระหว่างที่โรงแรมที่กรุงเทพฯ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งดุสิตธานีหัวหินก็ติดรหัสต้นไม้ไว้และดูแลอย่างดี พอถึงเวลาย้ายกลับแล้วจะได้ย้ายกลับไปอย่างครบถ้วนและแข็งแรง