ฉาก: สยามสแควร์ช่วงสองทุ่ม

ฝนตกพรำๆ ในสยามสแควร์ ฉันเดินดุ่มๆ ใจรีบจะเข้าร้านตัดผม ฉันนัดกับช่างหนุ่มไว้เมื่อสามชั่วโมงที่แล้วบอกว่าจะเข้ามาตัดผมหลังเลิกงาน ช่างหนุ่มเป็นคนตัดผมให้ฉันประจำทุกสามสี่สัปดาห์ หัวเกรียนๆ ง่ายๆ ของฉันนั้นใครตัดก็ได้ แต่ฉันเพลิดเพลินกับบทสนทนาที่เรามีหลายครั้ง สิ่งนั้นทำให้ฉันย้อนกลับมาให้ช่างหนุ่มยังไถปัตตาเลี่ยนบนหัวฉันกันต่อไป

ไม่นานมานี้ เราทั้งสองได้แอ๊ดกันในโซเชียลมีเดีย เราจึงได้เห็นวิถีชีวิตและการงานของกันและกัน ฉันเห็นภาพช่างหนุ่มไปเที่ยวทะเลกับแฟนสาว ช่างหนุ่มเองก็น่าจะเห็นฉันโพสต์เรื่องงานเขียนที่เกี่ยวกับชีวิตผู้ติดเชื้อเอชไอวีอยู่บ้าง ข้อดีของการมีโซเชียลมีเดียก็ดีแบบนี้เอง บางครั้งเราก็สามารถสานต่อบทสนทนาจากภาพที่เราเห็นมาแล้วได้เลยโดยที่ไม่ต้องมีประโยคเกริ่นนำ ฉันเริ่มถามช่างหนุ่มว่า ไปเที่ยวทะเลสนุกไหม ช่างหนุ่มบอกว่าฝนตกแทบทุกวันเลยไม่ค่อยได้ออกไปไหนนัก แต่ก็ยังเป็นการพักเบรคที่ดีจากงานที่ทำประจำทุกวันไปได้ชั่วเวลาหนึ่ง

เมื่อช่างหนุ่มรู้ว่าฉันเป็น ‘แพศ’ โรคติดเชื้อ ช่างจึงเริ่มเปิดประเด็นที่เขาสงสัย ด้วยความบังเอิญ ช่างหนุ่มไปรู้มาว่า มีเพื่อนคนนึงในกลุ่มของแฟนเขาที่คนสงสัยกันว่าน่าจะติดเชื้อเอชไอวี เขาบอกว่าน้องคนนี้เป็นเกย์ออกสาวในกลุ่มของแฟนเขา ตัวช่างเองก็พอรู้จักน้องคนนี้อยู่บ้างแต่ไม่สนิทกันนัก ช่างหนุ่มเริ่มถามฉันในสิ่งที่เขาข้องใจ นั่นคือ การที่เพื่อนคนนี้ชอบมานอนค้างบ้านแฟนเขาบ่อยๆ เขาเลยกลัวว่าแฟนหรือเพื่อนคนอื่นในกลุ่มจะมีโอกาสติดเชื้อไหม ฉันตอบด้วยสำนวนกวนๆ ของฉันว่า แล้วแฟนคุณมีเซ็กซ์กับเพื่อนหรือเปล่า ถ้าไม่มีแล้วมันจะติดได้ยังไง ฉันอธิบายเพิ่มเติมไปอีกว่า เชื้อไวรัสมันแพร่ได้ทางเลือดหรือเซ็กซ์เท่านั้น (อีกวิธีหนึ่งที่เราพูดเสมอก็คือจากแม่สู่ลูก ซึ่งมันก็คือทางเลือดเช่นกัน)

ต่อมาช่างหนุ่มจึงเริ่มถาโถมคำถามอื่นๆ ที่เขามีใส่ฉัน

ช่าง: แต่ผมว่ามันไม่แฟร์ที่น้องคนนี้ไม่ยอมรับกับคนอื่นว่าตัวเองติดเชื้อเอชไอวี

แพศ: คนเรามันก็มีความลับได้ทั้งนั้นแหละ

ช่าง: แต่เขาอาจจะไปทำร้ายคนอื่นหรือแพร่เชื้อให้คนอื่นได้นะครับ

แพศ: แล้วช่างรู้ได้ยังไง บางทีเค้าอาจจะกินยาต้านไวรัสอยู่แล้วก็ได้ คุณรู้ไหมว่า ถ้ากินยาต้านไวรัสจนมันกดไวรัสได้ดี มันก็ไม่มีโอกาสแพร่เชื้อให้กับคนอื่น นอกจากนี้ การที่เขาเลือกจะไม่บอกใคร ก็ไม่ได้แปลว่าเขาผิด คิดดูสิ เราต้องบอกทุกคนว่าเราเป็นเกย์มั้ย หรือเราจำเป็นต้องบอกใครว่าเราติดหนี้ยืมตังค์คนอื่นมาหรือเปล่า

ช่างหนุ่มเงียบไปชั่วครู่ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันพูดอะไรขัดหูช่างหรือเปล่า แต่เมื่อทั้งอารมณ์และความคิดฉันเริ่มฟุ้งกระจาย ฉันจึงลืมตัวสอนช่างหนุ่มเหมือนสอนคนไข้หรือนักเรียนแพทย์เรื่องคอนเซปต์ของ U = U หรือ undetectable = untransmissible แปลกันเป็นไทยว่า ถ้าคนไข้กินยาต้านไวรัสจนถึงระดับที่เครื่องตรวจไม่เจอ (undetectable) พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่มีโอกาสที่จะแพร่เชื้อให้กับใคร ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม (untransmissible)

ช่าง: แต่ว่าผมก็ไม่สบายใจอยู่ดีแหละ อย่างกินน้ำแก้วเดียวกัน ถึงการแพทย์จะบอกว่ามันไม่ติดแต่ถ้าเลือกได้ผมก็ไม่เอาดีกว่าครับ

แพศ: ถ้าคุณคิดแบบนี้ งานคุณในฐานะช่างตัดผมน่ะ ยิ่งเสี่ยงกว่าอีก คุณรู้ไหมว่า จากข้อมูลทางสถิติในอดีต 1-2% ของคนไทยติดเชื้อเอชไอวี นั่นแปลว่าในทุกๆ ร้อยหัวที่คุณตัดผม มันต้องมี 1-2 หัวที่มีเชื้อไวรัสอยู่แล้ว งั้นแบบนี้ก็แปลว่าคุณมีโอกาสสัมผัสคนที่มีเชื้ออยู่เรื่อยๆ โดยที่คุณไม่รู้ตัว คุณคิดว่าไงล่ะ

ช่างหนุ่มเงียบเก็บไปคิดต่ออีก 

แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวไปไกลแค่ไหน ความรู้สึกหรือความเชื่อของเราไม่ได้วิ่งตามมันเท่าไรนัก ฉันในฐานะแพศจึงตัดสินใจให้ข้อมูลทางการแพทย์เพิ่มเติมกับช่างหนุ่มว่า ปัจจุบันมีคนไข้เอชไอวีที่รักษาหายขาดแล้วสองรายในโลกนี้ด้วยการปลูกถ่ายไขกระดูก (Berlin Patient และ London Patient) นอกจากนี้ ยังมีความสำเร็จในการปลูกถ่ายไตจากคนไข้เอชไอวีสู่คนไข้เอชไอวีด้วยกันเองซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ที่สหรัฐอเมริกา

ช่างหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ เหมือนจะเข้าใจตาม ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าช่างจะเปิดรับฟังในสิ่งที่ฉันพูดบ้างหรือไม่ ขณะนี้ ช่างอยู่ในฐานะฟังความข้างเดียวจากฉัน ฉันจึงเลือกเล่าเรื่องโดยใช้หัวใจมากกว่าสมองดูบ้าง ฉันเล่าให้ช่างฟังว่า มีคนไข้ของฉันที่อายุไม่มากอีกหลายคนซึ่งก็ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีเหมือนกันกับเพื่อนแฟนของช่าง หลายๆ คนต่างเลือกที่จะไม่บอกสเตตัสการติดเชื้อนี้กับใคร และหลายคนก็กลัวการมีความสัมพันธ์เพราะอาจจำเป็นจะต้องเปิดเผยสถานะของตัวเองที่ไม่อยากให้ใครรู้ ดังนั้นฉันจึงถามช่างหนุ่มกลับไปว่า แล้วคุณคิดว่ามันแฟร์ไหมที่คนเหล่านี้จะไม่มีโอกาสได้รับรักจากใครเพียงเพราะเขาพลั้งพลาดมาในอดีต เวลานี้พวกเขาก็กินยาต้านไวรัสและดูแลตัวเองให้แข็งแรงไม่ต่างจากคนทั่วไป แล้วทำไมเขาจะมีความรักบ้างไม่ได้

ฉันพูดจบแล้ว ช่างหนุ่มจึงเรียกฉันไปสระผม การเป็นลูกค้าประจำบางครั้งมันทำให้เราได้รับบริการพิเศษ ช่างหนุ่มมักจะแถมบริการสระผมให้ฉันเสมอโดยที่ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ช่าง: งั้นเดี๋ยวผมจะไปลองบอกน้องเค้าดูว่า ผมรู้จักหมอเฉพาะทางเรื่องนี้นะ ให้ลองมาปรึกษาดูมั้ย

แพศ: ดีเลยครับ ผมว่าน้องเขาน่าจะดีใจที่ได้เปิดเรื่องที่เขาต้องเก็บไว้คนเดียว แต่ช่างหนุ่มเองก็ระวังหน้าแตกนะครับ เผื่อเขาตอบกลับมาว่าเขาไม่ได้เป็น

ฉันยิ้มกรุ้มกริ่มลงจากเก้าอี้ตัดผมพร้อมทั้งจ่ายตังค์และกล่าวสวัสดี วันนี้น่าจะเป็นบทสนทนาที่เนื้อหาหนักที่สุดที่เราเคยคุยกันมา ฝนยังคงลงมาปรอยๆ ฉันเดินออกจากร้านด้วยใจที่เบิกบาน เพราะฉันมั่นใจว่าวันนี้น้องเกย์ออกสาวคนนั้นจะมีเพื่อนที่เปิดใจยอมรับเขามากขึ้นในโลกนี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

Tags: , ,