เด็กหญิงวัย 8 ขวบถูกกลุ่มชายฉกรรจ์มอมยา และกักขังตัวไว้เพื่อกระทำการข่มขืนเป็นเวลานานถึงสามวัน ท้ายที่สุดชายเหล่านั้นก็ลงมือสังหารเด็กหญิง และเพื่อให้แน่ใจว่าเธอเสียชีวิตแล้วจริง พวกเขายังใช้ก้อนหินทุบลงที่ศีรษะของเด็กหญิงอีกสองครั้ง

ภาพทนายหญิงในวงล้อมของกลุ่มผู้ชายซึ่งทำหน้าที่อารักขา อาจดูเป็นภาพธรรมดาที่เกิดขึ้นในอินเดีย แต่กลับกลายเป็นภาพที่ถูกส่งต่อในทวิตเตอร์อย่างล้นหลาม พร้อมแรงเชียร์ให้กำลังใจกับความกล้าหาญของเธอ

ทีปิกา สิงห์ ราชาวัต (Deepika Singh Rajawat) ทนายหญิงตอบรับที่จะว่าความคดีข่มขืนและฆ่าอซีฟา พาโน (Asifa Bano) ที่กำลังคุกรุ่น ส่อเค้าจะทำให้เกิดความแตกแยกขึ้นในประเทศอินเดีย

เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่เมืองกาถัว ทางตอนเหนือของอินเดีย มีเด็กหญิงวัย 8 ขวบถูกกลุ่มชายฉกรรจ์มอมยา และกักขังตัวไว้เพื่อกระทำการข่มขืนเป็นเวลานานถึงสามวัน ท้ายที่สุดชายเหล่านั้นก็ลงมือสังหารเด็กหญิง และเพื่อให้แน่ใจว่าเธอเสียชีวิตแล้วจริง พวกเขายังใช้ก้อนหินทุบลงที่ศีรษะของเด็กหญิงอีกสองครั้ง

ศพของเด็กหญิงถูกพบในบริเวณป่าไม่ห่างจากวัดฮินดู ในชุดสีม่วงชุดเดิม แต่เต็มไปด้วยรอยเลือด

ขณะนี้ กลุ่มชายทั้ง 8 คนถูกจับกุมตัว และสำนวนคดีกำลังเข้าสู่การพิจารณาของศาล ชายทั้งแปดคนนั้นเป็นฮินดู ส่วนเด็กหญิงเป็นมุสลิม

ในอินเดีย ความขัดแย้งระหว่างศาสนาฮินดูและมุสลิมดำเนินมายาวนานแล้ว

ครอบครัวของอซีฟา พาโน เหยื่อในเหตุการณ์ เป็นมุสลิมเร่ร่อน และมีเชื้อสายจากเผ่าพันธุ์พากัรวัล ตามรายงานข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่สืบสวนเผยเหตุจูงใจของกลุ่มจำเลยว่า น่าจะเป็นเพราะต้องการขับไสไล่ส่งมุสลิมเร่ร่อนให้พ้นจากพื้นที่ของตน กลุ่มจำเลยจึงกระทำการข่มขืนเด็กหญิงภายในวัดฮินดู

ตอนนี้จำเลยทั้งแปดคนต้องขึ้นศาล แต่ไม่ทุกคนที่เป็นคนกระทำการข่มขืน ในจำนวนนั้นยังมีตำรวจสองนาย ที่พยายามกลบเกลื่อนหรือพรางคดี

เจ้าหน้าที่สืบสวนเผยเหตุจูงใจของกลุ่มจำเลยว่า น่าจะเป็นเพราะต้องการขับไสไล่ส่งมุสลิมเร่ร่อนให้พ้นจากพื้นที่ของตน กลุ่มจำเลยจึงกระทำการข่มขืนเด็กหญิงภายในวัดฮินดู

ทนายราชาวัตเสนอตัวเป็นทนายฝ่ายโจทก์ให้กับครอบครัวของอซีฟา จนกลายเป็นข่าวดัง และเกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในโลกโซเซียล ภาพถ่ายที่คนจำนวนมากแชร์และแสดงความเห็น คือภาพที่ถ่ายระหว่างเธอเพิ่งออกจากอาคารศาลเพื่อให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว

คนนับล้าน ทั้งในอินเดียและที่ต่างๆ ของโลกพากันชื่นชมความกล้าหาญของราชาวัต ในขณะที่ทนายหญิงเองก็สารภาพว่าเธอกลัว ที่จะถูกข่มขืนและลอบฆ่า นับตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาทำคดีนี้

ทีปิกา สิงห์ ราชาวัตถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกต่อต้านศาสนาฮินดู และเป็นบุคคลที่สังคมจะบอยคอตต์ เหตุเพราะเธอรับทำคดีให้กับฝ่ายเด็กหญิง

เธอไม่เพียงกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง หากยังกลัวว่าจะเหตุร้ายกับสมาชิกในครอบครัวของเธอด้วย ดังนั้นเธอจึงขอความคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะนับตั้งแต่เกิดคดีข่มขืนและฆ่าอซีฟา ประเทศอินเดียตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สงบ เมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้หญิงชาวฮินดูก่อหวอดรวมตัวกันปิดถนนมอเตอร์เวย์ และทำการอดอาหารประท้วง

ทีปิกา สิงห์ ราชาวัตถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกต่อต้านศาสนาฮินดู และเป็นบุคคลที่สังคมจะบอยคอตต์ เหตุเพราะเธอรับทำคดีให้กับฝ่ายเด็กหญิง

กลุ่มผู้ประท้วงชาวฮินดูอ้างว่า กลุ่มเร่ร่อนมุสลิมละเมิดศาสนาของพวกเขา พร้อมทั้งข่มขู่ด้วยว่า ถ้าหากผู้ชายทั้งหมดที่ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ไม่ได้รับการปล่อตัวเป็นอิสระ พวกเขาจะจุดไฟเผาตัวเอง

ก่อนเปิดการพิจารณาคดี ม็อบจากกลุ่มทนายชาวฮินดูก็พากันยืนเรียงตัว ปิดกั้นทางเข้าศาล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาระงับเหตุการณ์วุ่นวาย และต้องเลื่อนการไต่สวนคดีออกไป

จากคำให้การของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำสำนวนคดี ระบุว่า แผนการล่อลวงเด็กหญิงอซีฟา พาโนไปข่มขืนและฆ่านั้น มาจากสัญชี ราม (Sanji Ram) ผู้ดูแลวัดฮินดู เขาผู้นี้เป็นคนคิดอยากกำจัดและขับไล่มุสลิมเร่ร่อน ก่อนจะบอกให้หลานชายของเขาไปชักชวนเพื่อนฝูงมาช่วยทำภารกิจ

อซีฟา พาโนบังเอิญอยู่ตามลำพัง ในสภาพแวดล้อมที่ง่ายต่อการตกเป็นเหยื่อ กลุ่มจำเลยจึงเลือกที่จะจัดการกับเธอ

นอกจากนั้น รามยังมีส่วนรู้เห็นและรับผิดชอบกับเหตุการณ์เมื่อปีกลาย ที่มีการรณรงค์ต่อต้านชนเผ่าพากัรวัล นับเป็นเวลานานนับทศวรรษแล้ว ที่กลุ่มคนเร่ร่อนมุสลิมมักเดินทางไปกับสัตว์เลี้ยงของพวกเขาผ่านทางตอนเหนือของอินเดีย ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ร้ายอะไรขึ้น ทว่าตอนนี้มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว

ขณะนี้ประเทศอินเดียถูกแบ่งแยกแล้ว และดูเหมือนไม่มีใครสามารถแน่ใจได้ว่า แม้แต่กลุ่มซึ่งเป็นผู้กระทำเองนั้น จะรู้สึกปลอดภัยในชีวิตหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ทนายราชาวัตกล่าวยืนยันว่า เธอจะไม่ยอมปล่อยมือจากคดีนี้เด็ดขาด

“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรม จนกว่าเด็กหญิงวัยแปดขวบที่ตายไปจะได้รับความยุติธรรม”

 

อ้างอิง:

ที่มาภาพ: REUTERS/Adnan Abidi

Fact Box

ความขัดแย้งระหว่างฮินดูและมุสลิมในอินเดียเกิดขึ้นมายาวนาน ภายหลังการเข้ามาของมุสลิมโดยการใช้กำลังเพื่อครอบครองและบังคับให้คนอินเดียกลุ่มต่างๆ หันมานับถือศาสนาอิสลามหรือสร้างกฎเกณฑ์ทางสังคมให้คนอินเดียอยู่ภายใต้อำนาจของมุสลิม สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวอินเดียกลุ่มต่างๆโดยเฉพาะชาวฮินดู ที่เคยเป็นเจ้าของประเทศมาก่อน 

นอกจากนี้หลักความเชื่อของศาสนาอิสลามและฮินดูยังแตกต่างกันมาก เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมประนีประนอม ก็ย่อมนำมาซึ่งความขัดแย้ง ในขณะที่มุสลิมเป็นใหญ่ในอินเดีย ชาวฮินดูกลับเป็นแค่เพียงชนใต้ปกครอง จึงกระทำการต่อต้านมุสลิมไม่สำเร็จ กระทั่งในปี 1858 เมื่ออังกฤษเข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมและเป็นใหญ่แทนมุสลิม นโยบายแบ่งแยกและปกครองที่อังกฤษนำเข้ามาใช้ปกครองอินเดียในครั้งนั้น ได้สร้างความขัดแย้งให้กับฮินดูและมุสลิมมากขึ้นกว่าเดิม จนก่อเป็นความแตกแยกทางการเมือง จนนำไปสู่การแยกตัวเป็นอิสระของมุสลิม และการก่อตั้งประเทศปากีสถานในปี 1947

Tags: , , , , ,