สำหรับใครที่เป็นนักลงทุนหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาตลาดคริปโตเคอร์เรนซี ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้ คงจะเกิดอาการอกสั่นขวัญแขวนกันบ้าง เมื่อราคาของทุกเหรียญในตลาดมีการปรับลดลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกับ ‘บิตคอยน์’ ที่ได้รับผลกระทบจากการทวีตของ อีลอน มักส์ (Elon Musk) ที่ประกาศว่า เทสลา (Tesla) จะยกเลิกการให้บริการชำระเงินผ่านบิตคอยน์ เนื่องจากการทำธุรกรรมบิตคอยน์นั้นทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ราคาของบิตคอยน์ตกลงถึง 17%

เหตุการณ์นี้ทำให้หลายคนเริ่มตั้งข้อสังเกตว่า การที่ราคาของเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่มีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นสัญญาณของ ตลาดหมี (Bear Market) หรือ ‘ตลาดขาลง’ แล้วใช่หรือไม่ เพราะเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพิ่งครบรอบ 1 ปีการ Halving ของบิตคอยน์ อันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลชนิดนี้ ก้าวเข้าสู่ ‘เทรนด์ขาขึ้น’ ของราคาอย่างเต็มตัว บัดนี้หนึ่งปีผ่านไป จะเข้าสู่จุดเปลี่ยนของ ‘เทรนด์ขาลง’ ของราคาแล้วหรือยัง

ทั้งนี้ นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์ปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับตลาดคริปโตฯ เท่านั้น ไม่ใช่ข้อเสนอแนะทางการลงทุนแต่อย่างใด (Not financial advice)

เอกราช ศรีศุภวิชากิจ หัวหน้าฝ่ายศึกษาวิจัยและบริหารความเสี่ยง ของ Zipmex Thailand ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของประเทศไทย ให้ความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ว่า

“ก่อนหน้านี้ ราคาของเหรียญส่วนใหญ่มีการปรับตัวของราคาขึ้นมาในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งเราจะสังเกตได้ว่าหลายๆ เหรียญได้มีการทำ All time high หรือ ‘ราคาสูงสุดครั้งใหม่’ อยู่บ่อยๆ จึงทำให้การลดลงของราคาครั้งนี้เป็นเรื่องของการปรับฐานราคาเสียมากกว่า

“ส่วนเรื่องปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคานั้น อาจประกอบไปด้วยการประกาศเก็บภาษีคริปโตฯ ที่ทางสหรัฐฯ เคยกล่าวเอาไว้ หรือหลายหน่วยงานของสหรัฐฯ ยังคงมีความผันผวนสำหรับนักลงทุนซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาของเหรียญตัวใหญ่ๆ อย่างบิตคอยน์ สังเกตได้จากราคาสูงสุดเดิม ที่มีการปรับฐานลงมามากพอสมควร โดยคิดเป็น 30% เลยทีเดียว

“โดยปกตินั้น ราคาของเหรียญคริปโตตัวอื่นๆ ในตลาดจะมีการขึ้น-ลงของราคาที่วิ่งตามพี่ใหญ่อย่างบิตคอยน์ แต่สิ่งที่น่าสนใจในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา คือการที่ราคาของเหรียญอันดับ 2 อย่าง อีเธอเรียม (Ethereum) นั้น มีการขึ้นลงของราคาที่ไม่ได้อ้างอิงจากบิตคอยน์เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เนื่องจากกระแสของ DeFi ที่ค่อนข้างบูม และเหรียญอีเธอเรียมเองเป็นเหรียญที่นำไปใช้งานในโลกของ DeFi ได้ ทำให้ราคาของเหรียญขึ้น-ลงตามการใช้งานจริง (Use case) อย่างที่มันควรจะเป็นเสียที

“ต้องอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้ ราคาของคริปโตฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ มากนัก แต่ในปัจจุบัน ที่นักลงทุนตัวใหญ่ๆ อย่างสถาบัน กระโดดเข้ามามากขึ้น ทำให้ปัจจัยภายนอกเริ่มมีผล เช่น ในปัจจุบันภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้น และเกิดการขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนรายใหญ่อาจจะมีการขายหุ้นหรือคริปโตฯ เพื่อเก็บเงินสดหรือทองคำไว้ในมือ รอให้ความเสี่ยงของนักลงทุนสถาบันลดลง

“ครบรอบ 1 ปี ของการ Halving ที่เป็นระบบที่ช่วยลดปริมาณการได้รับบิตคอยน์จากการขุดลงครึ่งหนึ่งในทุกๆ 4 ปี ซึ่งหาก Demand ของบิตคอยน์ยังคงมากกว่า Supply ราคาก็ยังคงจะเติบโตขึ้นสูงไปได้ ส่วนตัวยังมองว่า ในระยะยาว ราคาของบิตคอยน์ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ เพียงแต่การลดลงของราคาในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา จะเป็นเพียงการปรับฐานที่มีกรอบของราคาค่อนข้างสูงเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันราคาของบิตคอยน์มีการปรับตัวขึ้นมาเยอะ และรวดเร็วกว่าที่คาดกันไว้มากนัก

“หากมองในระยะยาว เราจะสังเกตได้ว่า นักลงทุนสถาบันจะไม่ได้มองคริปโตฯ ในรูปแบบของสินทรัพย์เก็งกำไรอีกต่อไป แต่ยังมองคริปโตฯ ในรูปแบบของการปกป้องอำนาจในการซื้อ (Purchasing Power) หรือการเป็นทุนสำรองของบริษัท คล้ายๆ กับทองคำ ทำให้มองได้ว่า วงการคริปโตฯ เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ใช่จุดจบหรือขาลงแต่อย่างใด”

ในวงการของบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี นักลงทุนที่อยู่ในวงการมาในระดับหนึ่งอาจจะเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่า การซื้อสกุลเงินดิจิทัลเก็บไว้ ไม่ใช่เรื่องของการซื้อเพื่อเก็งกำไรเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะเหรียญอื่นๆ สามารถใช้ทำธุรกรรมในโลกของ DeFi เช่น การฝากเหรียญ ETH BNB หรือ Cake ไว้กับแพลตฟอร์ม DeFi เพื่อรับปันผล หรือการใช้เหรียญเพื่อทำ Smart Contract ต่างๆ

นักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาในตลาดจึงควรจะศึกษาที่มาของเหรียญให้ดี ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน เพราะวงการคริปโตฯ มีการขึ้น-ลงของราคาที่รุนแรงอยู่ตลอดเวลา หากทำความเข้าใจถึงพื้นฐานของเหรียญ และปัจจัยต่างๆ ได้อย่างถ่องแท้ ก็จะสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม

Tags: , , ,