ชื่อของ ‘ปุ้ม’ – สุรนันทน์ เวชชาชีวะ พัวพันกับการเมืองไทยไม่ต่ำกว่า 30 ปี เขาอยู่กับ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ตั้งแต่ทักษิณสังกัดพรรคพลังธรรม เขาเป็นหนึ่งในมือก่อร่างสร้างพรรค ‘ไทยรักไทย’ จนประสบความสำเร็จ ก่อนจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองที่เรียกกันว่า ‘บ้านเลขที่ 111’ เป็นเวลา 5 ปี และในวันที่ทักษิณส่งน้องสาว ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’ มาเป็นนายกรัฐมนตรี สุรนันทน์ผู้ปลดล็อกทางการเมืองแล้วก็มีชื่อเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรีให้กับยิ่งลักษณ์ จนกระทั่งวาระสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้ ในวันที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศยึดอำนาจ
หลังการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 สุรนันทน์มีความสุขกับการเปิดร้านอาหาร Brainwake Café จนเติบโตขยายกิ่งก้านออกไปหลายสาขา มิตรสหายหลายคนมักมานั่งคุยกับเขาที่ร้าน ทั้งเรื่องขนม กาแฟ อาหาร และอีกจำนวนไม่น้อยที่ชักชวนเขากลับเข้าสู่แวดวงการเมืองอีกครั้ง แต่สุรนันทน์ประกาศมาตลอดว่าเขา ‘เข็ดขยาด’ แล้วกับการเมือง
แต่จู่ๆ เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2565 สุรนันทน์ก็สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการประกาศตัวเป็น #เพื่อนสมคิด ร่วมกับ อุตตม สาวนายน และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทย พรรคใหม่ที่หลายคนคลางแคลงใจว่าเป็น ‘ร่างทรง’ ให้กับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรคใหม่ที่หลายคนมองว่าเป็นกิ่งก้านสาขาของพรรคทหาร
แต่แน่นอนว่าสุรนันทน์ในฐานะรองหัวหน้าพรรคใหม่นี้ ปฏิเสธเรื่องดังกล่าวอย่างหนักแน่น เขาเชื่อไม่ต่างจาก ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ ว่า เวลาของพลเอกประยุทธ์นั้นหมดลงแล้ว และทางเดียวที่ประเทศจะไปรอด นายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องชื่อ ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’ เท่านั้น
วันนี้ สุรนันทน์ยืนยันว่าเขายังอยู่ใน ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ ชัดเจน ท่ามกลางเสียงค่อนขอดว่าเขาย้ายข้าง เปลี่ยนขั้ว แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่มีทางที่เขาและพรรคสร้างอนาคตไทยจะยกมือให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ เพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป
ในวัย 61 ปี ที่เขามองว่าเป็นการสานต่ออุดมการณ์การเมืองครั้งสุดท้าย The Momentum ชวนสุรนันทน์นั่งจิบกาแฟ สนทนากันอย่างสบายๆ เพื่อทบทวนถึงบทบาททางการเมืองของเขาตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา ทัศนะของเขาต่อภูมิทัศน์การเมืองที่เปลี่ยนไป แนวทางของพรรคสร้างอนาคตไทย รวมถึงเหตุผลที่ชวนสงสัยยิ่งว่า เพราะเหตุใดเขาถึงเชื่อในตัวของ ‘สมคิด’ เหลือเกิน
คุณสุรนันทน์เข้ามาทำงานการเมืองไม่ต่ำกว่าสามสิบปีแล้ว คุณเห็นอะไรในการเมืองไทยบ้าง แล้วทำไมถึงตัดสินใจกลับเข้ามาในแวดวงนี้อีกครั้ง
ความจริงผมเข้าการเมืองตั้งแต่ปี 2532-2533 นะ คือผมทำงานอยู่ที่สภาพัฒน์ฯ (สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ได้สักห้าปี แล้วก็ลาออกมา เพราะเบื่อระบบราชการ ไปช่วยพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ทำพรรคความหวังใหม่ เป็นสตาฟตัวเล็กๆ เลย แล้วก็เจอการรัฐประหาร 2534 หลังจากนั้นก็ไปทำธุรกิจ
ผมลงการเมืองครั้งแรกจริงๆ ก็คือปี 2538 ลงกับคุณทักษิณ ชินวัตร ในนามพรรคพลังธรรมครับ แต่ก็สอบตก ตอนนั้นระบบเลือกตั้งเป็นแบบแบ่งเขตสามคน สองคนแรกของพรรคพลังธรรม ก็คือคุณทักษิณกับคุณอรทัย (กาญจนชูศักดิ์) ชนะ ส่วนคนที่สามที่เข้ามา คืออาจารย์ศุภชัย (ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์) ของพรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น ส.ส. ส่วนผมสอบตก ได้ที่สี่
หลังจากนั้น ผมก็มาทำงานเป็นผู้ช่วยคุณทักษิณ แล้วสักพักก็สลับมาทำธุรกิจ แต่พอคุณทักษิณตั้งพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2542 ผมก็มาทำงานการเมืองเต็มตัว ช่วยพรรคตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งปี 2544 ที่เลือกตั้งชนะครั้งแรก พอปี 2548 ก็ชนะอีกรอบ คุณทักษิณให้ผมเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2548 จนกระทั่งเกิดการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549
หลังจากการรัฐประหาร ผมก็ถูกแบนไป 5 ปี เป็นกลุ่มบ้านเลขที่ 111 จนกระทั่งน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 หลังจากหลุดแบน ก็มีโอกาสได้ไปช่วยงานคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คุณยิ่งลักษณ์ก็ตั้งผมเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อยู่ได้สองปีกว่าๆ ก็โดนรัฐประหารรอบที่สอง
ชีวิตผมนี่โดนรัฐประหารไปสองรอบ รอบแรกนอนโรงแรม ต้องไปหลบอยู่เจ็ดวัน รอบที่สอง โดนให้ไปนอนค่ายทหารอยู่เจ็ดวัน ถ้ามีรอบที่สามอีก คิดว่าต้องหลบหนี ไปตามเส้นทางธรรมชาติแน่ (หัวเราะ)
การเมืองมันเป็นอย่างนี้ น่าเบื่อ เราตั้งใจทำงาน ก็ไม่ใช่เราคนเดียวนะ แต่หลายๆ คนตั้งใจทำงาน แต่ว่ามาทำลายกติกากันด้วยการประท้วง แล้วก็เข้าสู่การรัฐประหาร เป็นอะไรที่ไม่สนุก ทหารคุกคามก็มีบ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องที่เรากลัว เราเบื่อบรรยากาศแบบนี้มากกว่า
สุดท้าย ผมเลยมาเปิดร้านอาหาร Brainwake Café ทำอยู่เจ็ดปี ก็เริ่มมีสาขาที่ประสบความสำเร็จ มีคนรู้จักมากขึ้น สุดท้ายมาเจอโควิด-19 ก็เศร้าใจไปพร้อมๆ กับเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของคนทั้งประเทศที่ทำร้านอาหาร จากแปดสาขา ตอนนี้เราเหลือแค่สองสาขา แผนขยายต่างๆ ก็ล้มหมด เราก็เริ่มปรับโครงสร้างเพื่อให้อยู่รอด
จริงๆ ก็ยังไม่ได้อยากเข้าการเมืองเพราะยังห่วงร้าน แต่พอร้านเล็กลงมันกลับดีขี้น มันกลับมาคุมค่าใช้จ่ายได้ จัดระบบได้ และบทเรียนในอดีตที่เราเร่งขยายสาขาอาจจะผิด แต่สุดท้าย อาจารย์สมคิด (จาตุศรีพิทักษ์) อาจารย์อุตตม (สาวนายน) ก็บอกว่ามาคุยกัน
อาจารย์อุตตมมานั่งจีบอยู่ที่นี่ห้าหกเดือน ตอนแรกผมก็คิดว่าไม่เอา ขอว่าถ้าจะช่วย ก็ให้คำแนะนำอยู่ข้างหลังได้ เป็นทีมเฉพาะกิจก็ได้ แต่ไม่อยากเปิดตัว แต่อย่างว่า ถ้าไปแล้วมันก็ตกกระไดพลอยโจน จนต้องมาเป็นรองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทยอย่างทุกวันนี้
ในชีวิตการเมืองอันยาวนานประมาณสามทศวรรษของคุณ ช่วงไหนเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกว่าเป็นไฮไลต์ ได้สร้างประโยชน์ ได้ทำอะไรมากที่สุด
ช่วงที่อยู่กับคุณทักษิณและได้สร้างไทยรักไทย คือผมเรียนจบ Political Economy (เศรษฐศาสตร์การเมือง) เราก็ศึกษาเรื่องพวกนี้มา แล้วจริงๆ ก็สนใจการเมือง แต่ว่าไปรับราชการก่อน ไปทำธุรกิจก่อน กว่าจะได้มาทำพรรคการเมือง ก็ทำมาตั้งแต่พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังธรรม
ตอนนั้น ผมก็คิดเสมอว่า ถ้ามีผู้นำสักคนหนึ่งที่คิดจะทำพรรคการเมืองใหม่ ที่เป็นพรรคของประชาชนจริงๆ พรรคที่เป็นสมาชิกพรรคจริงๆ แล้วพอดีความที่ได้มีโอกาสรู้จักคุณทักษิณ ตอนนั้นไอเดียแกก้าวหน้า แกอยากทำพรรคการเมืองที่คล้ายๆ พรรคการเมืองของออสเตรเลีย ของอเมริกา ของจีน แล้วก็พรรค LDP (Liberal Democratic Party) ของญี่ปุ่น มาผสมผสานกัน
กระบวนการสร้างพรรคน่ะสนุก ผมว่าอันนั้นคือไฮไลต์ของผม แล้วคุณทักษิณก็ให้ผมเป็นโฆษกพรรคไทยรักไทย ตรงนั้นผมเชื่อว่าผมภูมิใจที่สุด คือได้อยู่ในกระบวนการของการสร้างพรรคนะ ไม่ใช่คนเดียว กับผู้ใหญ่และคนรุ่นใหม่อีกหลายคน
แต่พอถึงที่สุดแล้ว มันก็โดนอำนาจอะไรที่มันพิเศษ ที่ทำให้มันล่มสลายไป แต่อันนี้ภูมิใจที่สุด เป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี เป็นเลขาธิการนายกฯ มันเป็นหัวโขน แต่งานตรงนั้นเป็นส่วนสนุกที่สุด แล้วจริงๆ ก็ทำให้มาตรงนี้ คิดอยากจะสร้างพรรคอีกสักครั้งหนึ่ง ซึ่งก็หวังว่าจะดีสำหรับประเทศ สำหรับตัวผมเอง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว เพราะตอนนี้ผมอายุหกสิบเอ็ดแล้ว
ผมคิดถึงตอนที่คุณทักษิณให้โอกาสผม ตอนนั้นผมอายุสามสิบกว่าๆ เอง พอผมมีโอกาส ซึ่งแน่นอน ผมเองไม่ได้เก่งเท่าคุณทักษิณ แต่ถ้าผมมีโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่วัยยี่สิบ สามสิบ สี่สิบได้เข้าใจการเมืองก็ดี ถ้าเราได้ร่วมกันผลักดันความคิดมันก็จะดี เหมือนกับเป็นรอยต่อให้กับอีกรุ่น เพราะเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่มาทำสตาร์ทอัพวันนี้ เขาไม่เข้าใจความเลวร้ายของการเมืองไทย เราก็ไม่ได้สอนให้เขาเลวร้ายนะ แต่สอนให้เขารู้จักว่าต้องมีภูมิคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นตายหมด
ในมุมมองของคุณ ทำไมพรรคแบบไทยรักไทยถึงไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
กติกาตอนหลังมันไม่เอื้อให้ตั้งพรรคการเมือง พูดตามจริง ความสำเร็จของไทยรักไทยกลายเป็นความสำเร็จที่ทุกคนกลัว เช่น มีสมาชิกสิบล้านคน สิบสองล้านคน ลงคะแนนทีได้เป็นสิบล้านคะแนน ตอนนี้ทุกคนจะสมัครสมาชิกพรรค ตามกฎหมายก็จะต้องจ่ายหนึ่งร้อยบาท จ่ายร้อยยังไม่เท่าไร สมาชิกพรรคยังมีสิทธิ์ร้องเรียนตรงนั้น ตรงนี้ จนอาจจะโดนนักร้องเรียนทั้งหลายเสียบ และร้องจนยุบพรรคได้ คนก็กลัวที่จะหาสมาชิกพรรค
กฎหมายถูกเขียนไม่ให้พรรคโต มันเขียนให้คุณอยู่ได้แค่นี้ เป็นเบี้ยหัวแตกแบบนี้ สมมติรัฐธรรมนูญไปแก้ให้กลับมาหารห้าร้อยต่อ ส.ส. หนึ่งคนอีก ก็จะเป็นเบี้ยหัวแตกอีก ไม่มีโอกาสที่พรรคการเมืองไหนจะแข็งแรงขึ้นได้ เพราะฉะนั้น อำนาจที่แข็งแรงกว่าก็คืออำนาจของทหาร หรืออำนาจของรัฐราชการ
ผมพูดเสมอว่าราชการไทย คือพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุด เพราะว่ามีงบประมาณ มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจเป็นนโยบาย เขาก็ไม่ได้ชอบนักการเมืองที่จะมายุ่ง มาตรวจสอบเขา ไม่ได้หมายความว่าข้าราชการทุกคนไม่ดี คนดีๆ ก็มี แต่โดยระบบต้องการให้นักการเมืองอ่อนแอ เพราะฉะนั้นมันสร้างพรรคการเมืองยาก
ข้อสอง มันไม่มีเวลา อย่างคราวนี้ เขามาบอกให้ผมเอาประสบการณ์ตอนทำกับไทยรักไทยมาช่วย ตอนนั้นไทยรักไทยก็มีพี่ๆ หลายคนคอยช่วยผม ไม่ว่าจะพี่อ้วน (ภูมิธรรม เวชยชัย) หรือคุณหมอพรหมินทร์ (นายแพทย์ พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) คือมันสมองของพรรค ไอ้เราเป็นเด็กทำงาน แล้วก็มีผู้ใหญ่อีกหลายคนมาคิดนโยบาย ใช้เวลาสองปีกว่าจะสร้างกันได้ แต่ตอนนี้พรรคสร้างอนาคตไทยเพิ่งตั้งมาได้แปดเดือน ยังไม่รู้ว่าอีกสามเดือนประยุทธ์จะบ้ายุบสภาฯ หรือเปล่า (หัวเราะ)
การตกผลึกความคิด การที่จะทำให้คนมามีวัฒนธรรมร่วมกัน มันก็ไม่ได้ทำง่ายๆ องค์กรทุกองค์กรต้องใช้เวลา ยิ่งพรรคการเมือง ยิ่งโอ้โห หนึ่ง ความไม่มีกติกาของระบบราชการ สอง คือไม่มีแรงจูงใจเรื่องเงิน บางคนก็อาจจะมี แต่ไม่ใช่เงินถูกต้องแน่ๆ แต่ถ้าทำร้านอาหาร ใช่ ถ้าผมกำไร ผมมีส่วนแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้เขา ให้โบนัสกับพนักงาน กติกามันชัด แต่พรรคการเมืองไม่ใช่ ขึ้นมาก็กูเก่ง ไอ้นี่มาก็กูเก่ง คราวนี้กว่าจะหล่อหลอมกันได้ ก็ใช้เวลา
อีกเรื่องหนึ่ง จะชอบหรือไม่ชอบ ผมก็สู้กับพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด และผมก็คิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็ประสบความสำเร็จนะในการเป็นสถาบันการเมืองหนึ่ง หรืออย่างพรรคเพื่อไทย ถึงจะถูกตีหัวมาหลายรอบ ก็ยังมีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง ผมว่าอันนี้ดี หรือพรรคก้าวไกล เขามีบทเรียนที่เจ็บปวดจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ การสร้างขึ้นมาใหม่ ก็ต้องชื่นชมเขา
แต่ถ้าจะถามผมว่า ตั้งพรรคการเมืองใหม่เพื่อการเลือกตั้งตอนนี้เท่านั้น ถือว่าทำยากมาก นอกจากจะเป็นพรรคเฉพาะกิจจริงๆ เพราะเวลานี้พรรคเฉพาะกิจอย่างพลังประชารัฐก็กำลังจะล่มสลาย
ระบบการเมืองทุกวันนี้เป็นระบบการเมืองที่ต้องการให้เป็นเบี้ยหัวแตก เพื่อที่พรรคใหญ่ พรรคที่มีอำนาจแฝง ทั้งกำลังของรัฐราชการ ทหาร และเงิน สามารถไปรวบรวมพรรคเล็กๆ เข้ามาเป็นพวก และมีคะแนนมากกว่าพรรคที่มาที่หนึ่งได้ อันนี้ชัดเจนอยู่ ก็สูตรเดียวกับรอบที่แล้ว ทุกคนกลัวเพื่อไทย แล้วทุกคนก็ใช้วิธีนี้รวบทุกคนเข้ามาอยู่ เพราะฉะนั้น ผมว่าอันนี้มันสร้างให้พรรคการเมืองแตกเป็นพรรคเล็กๆ ไม่ได้สร้างให้พรรคใหญ่มั่นคง
บทบาทที่คนจดจำคุณสุรนันทน์มากที่สุด น่าจะเป็นสมัยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ตอนที่คุณเป็นเลขาธิการนายกฯ อะไรคือบทเรียนสำคัญจากช่วงเวลานั้น
ผมคิดว่าคุณยิ่งลักษณ์ทำงานได้ดีมาก แน่นอน ตอนแรกคนก็ไม่ยอมรับเพราะเป็นน้องสาวคุณทักษิณ ถึงจะชนะถล่มทลายเข้ามา ทุกคนก็ยังมีความระแวงในระบบ
แต่ตอนหลัง คุณยิ่งลักษณ์ก็ทำงานให้เห็นได้ด้วยตัวเอง มีการตัดสินใจได้ นั่งเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีไม่ใช่ง่ายๆ นั่งคุยกับปลัดกระทรวงฯ แต่ละคนก็ต้องใช้ภาษาว่า ‘เขี้ยว’ แต่ก็ชนะใจเขาได้หมด เพราะว่าท่านทำงานมีระบบ แล้วก็มีความคิดที่ดี เป็นคนที่มีความตั้งใจดี แน่นอนว่าหน้าตาดี มีเสน่ห์ ก็มีส่วนช่วย
ใครมาว่านายกยิ่งลักษณ์ไม่ฉลาดนี่ผมโกรธมากเลยนะ เพราะผมทำงานกับท่าน ไม่ธรรมดา เพราะฉะนั้น ผมว่าตรงนี้คือบทเรียน จริงๆ แล้วถ้าไม่มีความผิดพลาดทางยุทธวิธีของการเมือง เช่น พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง ซึ่งเป็นการคำนวณทางการเมืองที่ผิดพลาด ผมคิดว่าคุณยิ่งลักษณ์อยู่ต่อได้ ดีไม่ดีก็จะชนะเลือกตั้งครั้งใหม่ด้วย แล้วประเทศก็จะไม่เข้าไปสู่ทิศทางนั้น
ถ้าจำไม่ผิด ตอนหลังๆ คนก็เริ่มยอมรับ ขนาดพลเอกประยุทธ์ ผมจำได้ว่าออกข่าว เขียนข่าวในหนังสือพิมพ์ด้วยซ้ำว่า พูดกับพี่ชายไม่ได้ก็พูดกับน้องสาวได้ เพราะฉะนั้น คุณยิ่งลักษณ์กำลังจะเป็นจุดที่ทำให้เกิดการประนีประนอมระหว่างความขัดแย้ง มันไม่หมดไปทีเดียวหรอก แต่มันเริ่มเป็นไปได้ แต่เพราะว่าความผิดพลาดทางการเมืองในเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม นี่ละที่ผมว่าเป็นหลัก
หลายคนไปโทษโครงการรับจำนำข้าว แต่โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่เงินถึงมือประชาชนจริงๆ มีอยู่บ้างในบางมิติที่ผมเองก็ยอมรับว่าไม่เห็นด้วย แต่ว่าการที่จะช่วยเหลือชาวไร่ชาวนาโดยเฉพาะ ไม่ได้มีแค่เราประเทศเดียว ประเทศอื่นเขาให้เงินช่วยเหลือกันกระจุยกระจายด้วยหลากหลายวิธี เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่ผิด ส่วนปัญหาที่ไปประมูลกันทีหลังอะไรนั่น ก็ต้องว่าไปตามหลักเกณฑ์ ถ้ามันผิด หรือถูกจับได้ว่าผิด คนที่ทำผิดก็ต้องยอมรับ แต่ไม่ใช่เหตุผลในการล้มรัฐบาล
ตรงนี้เป็นบทเรียนของประเทศ ไม่ใช่ของผมเพียงคนเดียวว่า ล้มล้างแล้วเป็นไง…เสียดายโอกาส
คุณโดนรัฐประหารสองรอบในเวลาไม่ถึงสิบปี ทำไมคุณถึงยังไม่เข็ดกับการเมือง
จริงๆ แล้วมันเข็ดนะ บางทีตื่นมาแล้วก็ตั้งคำถามว่าจะทำไปทำไมวะนี่ เพราะว่ามีร้านอย่างนี้ดูแลก็สนุกดี ปวดหัวก็ปวดหัวเรื่องจุกจิก แต่ในที่สุดก็มานั่งดูสถานการณ์ และคุณพ่อ (นิสสัย เวชชาชีวะ) ก็เป็นข้าราชการ เข้าไปยุ่งกับการเมืองเป็นระยะ ก็สอนผมมาแต่เด็กว่า ถ้ามีกินมีใช้แล้ว ต้องช่วยประเทศชาติ อันนี้ไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อ แต่ว่ามันอยู่ในใจ แล้วเราก็รู้สึกว่าพออ่านหนังสือพิมพ์แล้ว ทำไมมันเลวร้ายอย่างนี้วะ ดูในโซเชียลมีเดีย ทำไมความขัดแย้งมันยังอยู่ มุมมองมันไม่ได้ ในขณะที่แน่นอน ประเทศอย่างอเมริกาก็ไม่ใช่ว่าสมบูรณ์ ตอนนี้ก็ฟาดกันเละเทะ แต่มันมีระบบที่พอเดินได้ ของเรามันเหมือนกำลังลงเหว เราก็เลยมานั่งคิดว่าจะทำอะไรได้บ้าง
ตอนแรกคิดนะว่าจะกลับไปทำพอดแคสต์ เขียนหนังสือ แต่ในที่สุดแล้ว จังหวะที่อาจารย์สมคิดมาชวนนี่ ผมก็คิดอยู่นาน อาจารย์สมคิดก็บอกว่า Last War แล้วนะ ถ้าเราไม่ทำตอนนี้เราจะเสียใจนะ ผมก็คิดอยู่ตลอดเหมือนกันว่า อย่างน้อย ถ้าเกิดมันไม่สำเร็จ ตอนเรานอนติดเตียงอยู่โรงพยาบาล ก็จะบอกได้ว่า กูพยายามดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่มานั่งเสียใจว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ทำตรงนู้น ไม่ทำตรงนี้ ผมคิดว่าอันนี้เป็นคำตอบสุดท้าย แต่รอบนี้คือดื้อแล้วนะ อะไรถ้าไม่ใช่ กูก็ฟาดเลยนะ คือขอพูดตรงๆ (หัวเราะ)
เพราะเมื่อก่อน เราก็ต้องยอมรับว่าตัวเองทำงานการเมืองก็อยากเป็น ส.ส. อยากเข้าไปทำงานตรงนู้นตรงนี้ แม้กระทั่งเป็นรัฐมนตรี ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเราจะเป็น ส.ส. แต่เราได้เป็น แล้วเราก็ได้ทำหลายอย่าง แต่เมื่ออยู่ตรงนั้น หรือการที่เรามีความอยากตรงนั้น พูดตรงๆ ว่ามันทำให้เราต้องประนีประนอม ต้องสงบปากสงบคำ แต่ก็ฟัดกับเขาเยอะนะ อย่างตอนหลังก็ฟัดกันในพรรค จนคุณทักษิณต้องมาห้ามทัพ
แต่คราวนี้ เราบอกไม่เอาละ แก่ขนาดนี้ละ ถ้าไม่ได้พูดในสิ่งที่เราเชื่อก็ไม่ต้องทำ ที่สำคัญ ผมต้องพูดในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ถ้าพรรคเขาคิดว่าไม่ถูก ไม่ให้เราอยู่ ก็ไม่เป็นไร กลับมาทำกาแฟขาย หรือผมก็ตั้งใจนะว่า ถ้าอย่างนั้นผมก็เขียนหนังสือได้ เขียนอะไรที่มันเป็นบทเรียน ซึ่งเมืองไทยไม่ค่อยมี เพราะว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่เขียนหนังสือยากนะ เมืองนอกนักการเมืองเขาจบหน้าที่ เขาเขียนมุมมอง เขียนอะไรทิ้งไว้ คนก็ไปศึกษาความผิดพลาดหรือความสำเร็จในอดีต เมืองไทยเขียนไม่ได้เพราะเดี๋ยวผิดใจกัน ก็เลยกะว่าเดี๋ยวเขียนหนังสืองานศพทิ้งไว้ แล้วกูไปเลย ด่าทิ้งทวน (หัวเราะ)
คำถามสำคัญที่คนส่วนใหญ่สงสัยก็คือ เมื่อคุณสุรนันทน์ตัดสินใจกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้ง ทำไมไม่ไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย
ผมไม่มีอะไรกับพรรคเพื่อไทย เคารพหมดทุกคน กับท่านนายกฯ ทักษิณก็ยังเคารพรักกันอยู่ ถึงจะไม่ได้ติดต่อได้คุยกัน ขณะที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ นานๆ ทีเราก็ได้โทรคุยกันบ้าง ก็ยังเคารพกัน แต่ถามว่าอยากกลับไปไหม มันก็เฉยๆ
ผมคิดว่าพรรคเขาไปได้ ความท้าทายในชีวิตคือผมมาทำร้านอย่างเบรนเวค ซึ่งทุกคนถามว่าทำทำไม ที่ดินผม ผมแค่ทำตึกเก็บค่าเช่าผมก็อยู่ได้แล้ว ที่ทำร้านตอนนี้ก็เจ๊งอยู่นี่ (หัวเราะ)
มันเป็นความคิดส่วนตัวผมมากกว่า เป็นความท้าทายที่ว่า ถ้าเราทำอะไรใหม่ๆ ถ้าเราทำพรรคการเมืองใหม่ได้ แล้วเราเป็นพรรคการเมืองที่ไม่มีความขัดแย้งเลย ผมไม่บอกนะว่าเพื่อไทยถูก พลังประชารัฐถูก ไม่ใช่ขวา-ซ้าย ผมว่าทุกคนมีอุดมการณ์ความคิดแตกต่างกันไป
แต่ถ้ามันมีอะไรที่เป็นทางเลือก ซึ่งไม่ใช่คู่ขัดแย้งเดิม แล้วสามารถนำเสนอแนวความคิดที่เป็นเรื่องที่ต้องทำตอนนี้ เรื่องปากท้อง เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการลดความเหลื่อมล้ำ เรื่องการสร้างระบบความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมได้ ผมว่าผมมาพูดที่พรรคใหม่นี้ คนอาจจะมีความรู้สึกว่าอยากฟังมากกว่าผมพูดในนามเพื่อไทย หรือการที่อาจารย์สมคิดพูดในนามพลังประชารัฐ
ทั้งหมดไม่ใช่โจทย์ง่าย เพราะทุกคนก็มีภาพติดมา ผมก็มีภาพคุณทักษิณ คุณยิ่งลักษณ์ติดมา ซึ่งก็ไม่ใช่ภาพที่ไม่ดี ฝ่ายเหลืองก็บอกมันใช่หรือ ในขณะที่ฝ่ายแดงเพื่อนผมก็ชี้ไปที่คุณอุตตม ถามว่าใช่หรือ พอเราบอกว่า คุยกันรู้เรื่อง แล้วเอางานเป็นหลัก เอานโยบายเศรษฐกิจเป็นหลัก ถ้าเกิดเราสามารถแก้ปัญหาความขัดแย้ง หรือลดความขัดแย้งได้ เราเป็นตัวกลางได้ทั้งหมดก็ดี แต่ไม่ใช่ว่าเป็นตัวกลางสร้างพรรคมาเพื่อฝ่ายนี้ชนะฉันก็ไป ฝ่ายนั้นชนะฉันก็ไป ไม่ใช่
เพราะถ้าเกิดดูจากสเปกตรัมของการเมือง ก้าวไกลเขาอยู่ซ้ายสุดๆ เพื่อไทยก็เป็นกลางซ้าย ไปขวาก็เละหมดเลยนะ พลังประชารัฐ พรรคเฉพาะกิจ พรรคอย่างคุณหมอวรงค์ (พรรคไทยภักดี) ไม่ใช่ว่าผิด แต่อุดมการณ์เขาขวาจัด ขวาตรงกลางนี่มันไม่มี ทุกคนพรรคใหม่ๆ พยายามมาตรงนี้
แล้วผม… จริงๆ ก็อยากทำงานกับพวกเขานะ อาจารย์สมคิดก็บอก อาจารย์อุตตมก็บอกว่าต้องคุยกันนะ แต่ผมบอกให้ทุกคนหยุดรอ 22 พฤษภาคม 2565 (วันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.) ก่อน แล้วเราจะรู้ว่า เราจะต้องเดินไปคุยกับเขา หรือเขาจะต้องเดินมาคุยกับเรา แต่คำตอบที่ทำให้เห็นคือมันต้องเป็นประชาธิปไตยนะ ถ้าเกิดคุณกรณ์ (กรณ์ จาติกวณิช – หัวหน้าพรรคกล้า) แกยังจะบอกว่ายังจะสนับสนุนคุณประยุทธ์ อันนี้ผมก็ไม่เอา
จุดยืนของพรรคสร้างอนาคตไทยกับพลเอกประยุทธ์เป็นอย่างไร
ผมเองเคยเขียนในเฟซบุ๊กยาวเหยียด แล้วมีท่อนหนึ่งบอกว่า คุณประยุทธ์เป็นคนเก่งและมีความตั้งใจ ทุกคนบอกเห็นด้วยกับผมหมด ยกเว้นข้อที่ว่าคุณประยุทธ์เก่งและมีความตั้งใจ ผมก็อธิบายว่า เขาเป็นคนเก่งนะ เขาเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ผมเคยเป็นเลขาธิการนายกฯ ก็เห็นว่าเขามีความคิดความอ่าน แต่มันไม่ใช่การเป็นผู้บริหารประเทศ เขาอาจจะเป็น ผบ.ทบ. ที่ดี เขาอาจจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ดีได้ แต่เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ประสบความสำเร็จ
ช่วง 5 ปีแรกใช้อำนาจอย่างเดียว 3 ปีหลังคือเละเทะไปหมด เพราะฉะนั้น มันก็ถึงเวลาต้องไป ถ้าเขาไปตอนนี้ ประวัติศาสตร์จะตัดสินเขาด้วยความเมตตา มากกว่าเขาถูกประชาชนไล่กลางถนน นักการเมืองที่ไปชูคุณประยุทธ์อยู่ อยู่ไม่ได้ สำหรับผม แต่พรรคสร้างอนาคตไทยไม่ชู แล้วเราก็คิดว่าถ้าเราเป็นกลางขวาจริง กลางขวาก็คือเราเชื่อมั่นในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย แต่เราก็เชื่อว่าพระมหากษัตริย์อยู่เหนือการเมือง เราไม่ไปยุ่งกับพระองค์ท่าน
แต่ความแข็งแกร่งของสถาบันหลักของประเทศนั้นจำเป็นต้องมี แม้กระทั่งสถาบันทหาร ภายใต้วิกฤตโลกที่อยู่ในภาวะสงคราม เรื่องความมั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ไม่สำคัญ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรล่ะ คุณมีแผนอะไรในการดูแลความมั่นคงของประเทศ แล้วงบประมาณที่คุณซื้อของ มันรักษาความมั่นคงของประเทศได้จริงไหม หรือสร้างความมั่นคงของบัญชีภรรยาคุณ แบบนี้มันไม่ได้
แต่ผมคิดว่าถ้าเราอยู่ตรงนี้ วันนี้ คุณประยุทธ์ทำไม่ได้ ผมเองยังบอกเลยว่า คนรุ่นเก่าๆ บางคน นักการเมืองเก่าๆ เขาทำไม่ได้ แม้กระทั่งผมเอง ในที่สุดแล้ว ผมก็อยากให้เด็กๆ เข้าไปทำ เพราะมันเป็นเรื่องใหม่หมดเลย เราอาจจะต้องเป็นแค่พี่เลี้ยงเขา อย่างวันนี้ เรื่องความมั่นคง เรื่องงบฯ กลาโหม ถามว่ากลาโหมสำคัญมั้ย สำคัญ การใช้งบฯ อาจจะผิด เพราะว่าเขาไม่มีแผนมา แผนยุทธศาสตร์ที่จะดูแลความมั่นคงของประเทศวันนี้ ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้ต้องใช้อะไรบ้าง ถ้าเขาพูดชัด ถ้าผมเป็น ส.ส. ผมก็พร้อมจะช่วยเขา
แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องพูดความมั่นคงเรื่องอื่นด้วย ความมั่นคงทางอาหาร ทุกคนบอกประเทศไทยสบายแล้ว เป็นประเทศผลิตอาหาร เราส่งออกอย่างเดียว ถามว่าคนไทยได้กินอาหารมีคุณภาพหรือเปล่า เรื่องอะไรที่อาหารบนโต๊ะคนไทยจะต้องมีคุณภาพต่ำกว่าอาหารของต่างชาติ อันนี้ผมไม่ยอม ผมอยู่ในทฤษฎีที่ว่าถ้าคุณจะส่งออกก็ต่อเมื่อมันเหลือ คือคนไทยได้กินของดีแล้ว อาหารบนโต๊ะของคนไทยต้องเป็นของดีที่สุด เราก็ส่งออกได้ มันก็ต้องมีอย่างนี้ นี่คือ Food Security มีอาหารที่มีคุณภาพอยู่บนโต๊ะคนไทย
การที่เราไปขายข้าว ขายยางพารา แบบเป็นวัตถุดิบ มันได้เงินที่ไหน นี่ก็พูดกันมากี่รอบแล้ว มันก็ต้องเปลี่ยนให้มีมูลค่าเพิ่ม เพื่อไปขายข้างนอกให้ได้ราคา ไม่ใช่ดีใจ export มาแล้ว เปิดประตูว่านักท่องเที่ยวมาแล้ว
หรืออย่างความมั่นคงด้านยารักษาโรค ผมถามจริงๆ ว่า เรามีความมั่นคงอะไรบ้าง เราผลิตวัคซีนได้จริงหรือเปล่า วัคซีนเรามีคุณภาพจริงหรือเปล่า นี่แค่เรื่อง Pandemic นะ แต่ยาสมุนไพรไทย ยาอะไรดีๆ จริงๆ เมืองไทยแทบจะไม่ต้องนำเข้ายารักษาโรคอะไรเลยนะ ถ้าเราพัฒนาดีๆ สมุนไพรไทยหรือว่าวัตถุดิบไทยมันได้หมด ให้บริษัทต่างประเทศมาลงทุน มันก็อยู่ในประเทศของเรา
หรือเรื่องพลังงาน อันนี้เป็นอย่างเดียวที่เป็นปัญหาว่าเราต้องซื้อมา ต้องนำเข้า แต่ถ้าวันนี้คุณบินไปญี่ปุ่น คุณก็จะเห็นว่าหลังคาบ้านทุกหลังเป็นโซลาร์เซลล์หมด เพราะฉะนั้น ทำไมของเราทำไม่ได้ แดดเราร้อนกว่าญี่ปุ่นอีก
ของพวกนี้คือสิ่งที่คนรุ่นคุณต้องทำความเข้าใจ ผมเข้าใจ เพราะผมไปคุยกับคนเยอะ แต่คนรุ่นคุณอายุยี่สิบ สามสิบ สี่สิบ ต้องอยู่กับโลกนี้นะ ผมหกสิบ พอเจ็ดสิบห้าผมก็ไปแล้วนะ แต่พวกคุณต้องอยู่กับมันต่อไปนะ
ถ้าไม่หยิบเรื่องพวกนี้ขึ้นมาตอนนี้ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร แล้วถ้าคนรุ่นใหม่พูดอย่างเดียว คนก็ยังไม่เชื่อ ต้องมีผู้ใหญ่เก่าๆ มาช่วย แล้วผมไม่คิดหาประโยชน์ตรงนี้ เลยอยากทำ ถึงได้กลับมาทำงานการเมือง
แต่จากมุมมองของคนทั่วไป คุณสมคิดทำงานอยู่กับพลเอกประยุทธ์มาตั้งแต่ปี 2558–2563 หลายคนก็พูดเลยว่า คุณสมคิดไม่เห็นมีผลงานที่โดดเด่น แล้วทำไมเราถึงต้องเชื่อมั่นในตัวคุณสมคิด
ผมบอกอาจารย์สมคิดไปว่าผมเชื่อในตัวอาจารย์ ผมรู้จักอาจารย์สมคิดมาสามสิบกว่าปี ตั้งแต่ทำธุรกิจอยู่บ้านฉาง ผมเป็นรองกรรมการผู้จัดการและดูการตลาด แล้วอาจารย์เป็นที่ปรึกษา แกก็คอยช่วยเรา ถึงรู้ว่า หนึ่ง พื้นฐานแกเป็นคนดี สอง ความคิดแกไม่เลว ด้วยประสบการณ์ที่แกทำงานมา เป็นที่ปรึกษาบริษัท เป็นเบอร์สองในรัฐบาลคุณทักษิณ เป็นเบอร์หนึ่งด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลคุณประยุทธ์
มันก็มีคำถามมาเหมือนกันว่า จะใช่หรือ แต่ผมก็มีความรู้สึกว่า ถ้าดูทั้งหมดแล้ว อาจารย์สมคิดแก้ปัญหาเศรษฐกิจในฐานะผู้ใหญ่นะ แต่อาจารย์สมคิดคนเดียวก็ไม่ใช่ ต้องมีคนหนุ่มคนสาวที่รู้เรื่องใหม่ๆ เข้ามาช่วยคิดช่วยทำ ซึ่งพรรคนี้เขาก็ตั้งต้นได้ดี คือนอกจากคุณอุตตม ก็ยังมีเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่ทำสตาร์ทอัพไม่ว่าจะคุณบอม (โอฬาร วีระนนท์) หรือโจ (พงศ์พรหม ยามะรัต) ก็มีความคิดใหม่ๆ
ผมเล่าให้ฟังอย่างนี้แล้วกัน อาจารย์สมคิดมานั่งอยู่ตรงนี้ในร้านเบรนเวคตอนที่จะร่วมรัฐบาล คสช. ครั้งแรก ตอนที่หม่อมอุ๋ย (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล – อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ สมัย คสช.) จะลาออก อาจารย์สมคิดก็ถามผมว่าปุ้มคิดอย่างไร
ผมบอกว่าอาจารย์อย่าเข้าไปเลย อาจารย์เปลืองตัว เพราะว่ามันไม่ใช่ปัญหาเศรษฐกิจ ตอนนั้นมันเป็นปัญหาโครงสร้างการเมือง อาจารย์จะทำอย่างไร โครงสร้างการเมืองก็ไม่เอื้อหรอก แต่อาจารย์เป็นคนที่มีความตั้งใจดี อาจารย์บอกว่าขอเข้าไปก่อน เพราะพอเป็นรัฐบาลทหาร คนจะรู้สึกไม่ยอมรับ ท่านไม่ได้หมายความว่าท่านจะไปสนับสนุนรัฐบาลทหารนะ แต่ท่านมีความรู้สึกว่าเข้าไปแล้วจะช่วยเรื่องเศรษฐกิจได้
ถามว่าท่านมีผลงานไหม ก็ต้องยอมรับว่าท่านทำได้เยอะนะ คือความมั่นใจทางเศรษฐกิจมันไม่เหมือนประกันราคาพืชผล มันไม่เหมือนผลิตรถ EV ที่เป็นโครงการที่คนเห็นได้ แต่เศรษฐกิจมันเกิดมาจากความมั่นใจ ความเชื่อใจ แล้วก็ทำให้นักประชาธิปไตยหลายคนโกรธ
ผมเข้าใจ เพราะว่าพออาจารย์สมคิดเข้าไป นักธุรกิจเขาเชื่อใจ เขามั่นใจ นี่คือพื้นฐานสำคัญ แล้วก็ทำให้มีโครงการประชารัฐต่างๆ ออกมา ซึ่งมันก็แก้ปัญหา พร้อมเพย์มันเป็นกลไกเล็กๆ น้อยๆ แต่รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ มันต้องทำให้ตลาดเดินได้ และภายใต้เงื่อนไขการเมืองอย่างนั้น ผมคิดว่าอาจารย์สมคิดก็ช่วยได้เยอะ
ตอนแรก ผมเองก็ยังมีความรู้สึกว่าอาจารย์ไปทำไมก็ไม่รู้ แต่ผมต้องยอมรับว่าท่านทำได้ แต่ที่ผมไม่เห็นด้วยคือในรอบหลัง คือพอเป็นประชาธิปไตยแล้วอาจารย์ไม่น่าอยู่ต่อ พออยู่ต่อก็กลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว เพราะอำนาจไม่เบ็ดเสร็จ รัฐมนตรีเศรษฐกิจต้องแบ่งโควตาให้นักการเมือง คนนู้นทะเลาะกับคนนี้ ประชาธิปัตย์ก็เอากระทรวงพาณิชย์ไป มันก็หมุนกันมั่วไปหมด
จนในที่สุด การเมืองเดิมๆ ก็กลับมา เป็นเหมือนสมัยก่อนป๋าเปรม (พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ – อดีตนายกรัฐมนตรี) ด้วยซ้ำ แต่ตอนนั้นป๋าเปรมเอาอยู่ไง แต่ตอนนี้พอพรรคการเมืองต่างๆ หรือนักการเมืองเฮี้ยวใส่นายกฯ นายกฯ ก็ตาย
สรุปคือคนที่ไม่มีฐาน ส.ส. อย่างอาจารย์สมคิดหรือทีมงานก็ขาลอย ทำอะไรไม่ได้ ผมว่าโดยรวมเป็นบวก แต่ถ้าถามว่ามีลบมั้ย มี ในความรู้สึกผมว่ามี แล้วผมก็บอกอาจารย์อุตตม อาจารย์สมคิดไปว่า ที่เป็นลบต้องอธิบายให้ได้นะ มันไม่ได้เป็นภาพลบที่รุนแรงหรอก แต่ภาพจำของคนไปจำว่าอาจารย์สมคิดไม่เห็นมีผลงานอะไรเลย
จะทำอย่างไรในการแก้ภาพจำ ภาพลบที่ว่า
อันที่จริงมันเป็นเรื่องของคอนเทนต์ ในโลกนี้มันยาก ถามสิว่าคุณเขียนเป็นสองย่อหน้า คุณอ่านมั้ย เพื่อนผมคนไหนเขียนยาวๆ ผมไม่อ่านนะ นอกจากจะเขียนได้ดีจริงๆ หรือพวกข่าวที่ส่งมาในไลน์พวกนี้
อย่างใน The Momentum พูดกันตรงๆ ถ้าเป็นข่าว ผมอ่านพาดหัวก็เลื่อนไปแล้ว แต่ถ้าเป็นสัมภาษณ์ เป็นอะไรก็อ่านหน่อย เพราะฉะนั้น Attention คนมันน้อย แล้วเวลามันมาตัดเป็น Template ผมเกลียดมากเลยที่มาตัดเป็นคำพูดสั้นๆ เป็น Quote เพราะว่าถ้าคนที่ตัดดี ได้สมบูรณ์ในความหมายที่สะท้อนออกมา มันก็ยุติธรรมกับเขา แต่บางทีตัดกันแบบภาษาอังกฤษเรียกว่า Out of Context (นอกบริบท)
อย่างอาจารย์สมคิดจะโดนเสมอเลย เช่น “คนจนจะหมดภายในปี 2020” ที่จริงท่านพูดมา มีหลักสี่ถึงห้าอย่างที่จำเป็นต้องทำ แล้วถ้าทำตรงนี้ คนที่อยู่ใต้เส้นความยากจนมันจะขึ้นมา แล้วคนจนก็จะหมดไป แต่อย่างว่า ผมเห็นตั้งแต่วันนั้นผมก็รู้แล้วว่าโดนแน่ แล้วตอนนั้น ที่ท่านพูด มันยังไม่แรงขนาดนี้ พอมันแรงขนาดนี้ท่านก็ต้องรับ ต้องอธิบายว่าเนื้อหาจริงๆ มันเป็นอย่างนี้ ถามว่าอธิบายง่ายไหม ไม่ง่าย เพราะว่าทุกคนมันติดใจละ เราก็ต้องใช้วิธีของโซเชียลมีเดีย ใช้วิธีการสื่อสาร ก็ต้องค่อยๆ ทำไปครับ
ผมคิดว่าในที่สุดแล้ว ทุกคนมีแผล ทุกคนมีสิ่งดีและไม่ดี ถ้าเรามีเวลาสื่อสารทำความเข้าใจ แล้วทำงานให้เห็น ผมว่าแก้ได้ แต่ถ้าพูดลอยๆ แบบนักการเมืองเมื่อก่อนนั้นไม่ได้
คนรุ่นคุณนี่ละที่มาบอกผมว่า ผมไม่เชื่อนะ จะพูดอะไรต้องมีข้อมูลแบ็กนะ ขอดูข้อมูลด้วย ผมคิดว่าอันนี้นักการเมืองรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างก้าวไกล เขาพูดปั๊บ เขามีชาร์ต เขามีข้อมูลดิบ การนำเสนอเหตุและผล และที่มาที่ไปนั้นชัดเจน แล้วเพื่อไทยก็เริ่มทำ แต่อีกหลายพรรคยังพูดลอยๆ
ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ยังอยู่ในใจอาจารย์สมคิด อาจารย์สมคิดทำมาเป็นเบอร์สองตลอด รู้หมดทุกเรื่อง รู้วิธีการแก้ไขปัญหา ขอโอกาสให้อาจารย์สมคิดเป็นเบอร์หนึ่งสักครั้ง จะได้แก้ไขปัญหาได้ หรืออย่างน้อยวางพื้นฐานสำหรับคนรุ่นต่อไปให้ทำงานได้ เพราะตอนนี้ทิศทางประเทศมันเละหมด
ตอนที่ได้รับรู้ข่าวการก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย คำถามแรกของคนส่วนใหญ่เลยก็คือ อะไรอยู่ข้างหลังพรรคนี้
อะไรอยู่ข้างหลังพรรคนี้… ผมก็พยายามค้นหาอยู่ (ยิ้ม) คนที่อยู่ข้างหลังพรรคนี้ ผมก็คุยกันจนกระทั่งผมเชื่อใจว่า อาจารย์สมคิด อาจารย์อุตตม ไม่มี Agenda ข้างหลัง คือไม่ได้มาเป็นพรรคให้คุณประยุทธ์ ไม่ได้เป็นนั่งร้านให้ทหาร ไม่ได้เป็นคนที่มีคนในใจที่จะมานาทีสุดท้ายแล้วลอยมา คือเป็นความตั้งใจที่จะสนับสนุนอาจารย์สมคิดจริงๆ
อาจารย์สมคิดตอนนี้อาจจะยังไม่ได้เข้ามาในพรรคเต็มตัว แต่ก็ให้คำแนะนำ ให้การสนับสนุน แต่ไม่ได้ครอบงำนะ (หัวเราะ) ผมว่าค่อนข้างชัดเจนครับ อันนี้จะกลายเป็นปัจจัยที่ว่าเราจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ
เพราะว่าอำนาจสองข้างเขาใหญ่ อำนาจคุณทักษิณ อำนาจทางการเมืองและความเป็น Influencer ทางการเมืองจะยังมีสูง คุณประยุทธ์เองก็ยังถืออำนาจรัฐอยู่ แล้วคนที่อยู่ในทีมคุณประยุทธ์ เขาก็ให้คุณประยุทธ์ล้มไม่ได้ เพราะอำนาจและผลประโยชน์รัฐมันอยู่ตรงนั้น มันอยู่มาแปดปี
ส่วนของเรา… มันก็แบ็กอ่อนนะ ไม่มีแบ็ก ไม่มีอะไรข้างหลัง ผมยืนยันได้ว่าไม่มีอะไรข้างหลัง แล้วสิ่งที่ผมเข้าไปท้าทายทางพรรคเขาเหมือนกัน ก็เพื่อให้แน่ใจว่าเขาชัด คือพรรคอาจจะชัดกับผม แต่พรรคต้องชัดกับสาธารณชนด้วยว่า หนึ่ง พรรคนี้ไม่ใช่พรรคเพื่อพลเอกประยุทธ์ อาจารย์สันติ กีระนันทน์ บอกว่าไม่ใช่แค่พลเอกประยุทธ์นะ แม้แต่ 3 ป. ก็รับไม่ได้ แล้วคุณอุตตมก็พูดถึงว่าไม่มีดีลลับกับทหาร เรารู้ ทหารดีก็มี ทหารไม่ดีก็มี แต่ไอ้ที่จะมาเป็นพรรคเพื่อให้ทหารสืบทอดอำนาจนี่ไม่ใช่ เมื่อคำยืนยันนี้มีผล ผมก็พร้อมจะทำงานให้ต่อ
แต่นาทีสุดท้าย ถ้ามันบิดเบี้ยวก็จะทำอะไรได้ ผมก็กลับมาขายกาแฟ ไม่ได้ขู่ใครนะ ผมถือว่าเราได้ทำแล้ว แต่ผมเชื่อว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะคนที่เข้ามาร่วมทุกคน จะเห็นได้ว่าเป็นผู้ก่อตั้งพรรคคล้ายๆ ทีมคุณทักษิณตั้งพรรคไทยรักไทยตอนแรกๆ เลย คือเปิดมามีทั้ง Academic และข้าราชการเก่าที่มีความตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง
กลุ่มคนที่วันนั้นคุณอุตตมเปิดตัวมาก็คล้ายคลึงกัน คือมีความตั้งใจ เราเคยทำ ทำตรงนั้นแล้วสำเร็จ เราก็อยากทำ แล้วก็ตั้งใจจริงก็เอา มาร่วมมือกัน
พูดถึงโพสต์เมื่อไม่นานมานี้ในเฟซบุ๊กของคุณสุรนันทน์ ที่ออกมา ‘ทิ้งระเบิด’ ใส่คนที่พยายามนำพรรคไปสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ตรงนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร
จริงๆ กรรมการหลายคนก็เห็นด้วยกับผม แต่ผมก็เข้าใจนะว่าผู้ใหญ่บางคนก็ยังมองว่า เรายังไม่อยากไปมีเรื่องกับอำนาจรัฐ เพราะเขาถืออำนาจรัฐอยู่ เดี๋ยวถ้าเขาใช้อำนาจรัฐกดเราแล้ว สุดท้ายจะเป็นอย่างไร หรือบางคนเขาอาจจะมองว่า เราคงเป็นพรรคใหญ่ไม่ได้ ในที่สุดเราก็ต้องจับมือกับใคร แต่ถ้าเกิดพรรคพลังประชารัฐหรือพรรครวมไทยสร้างชาติเสนอพลเอกประยุทธ์ขึ้นมา เขาก็อยากเปิดทางเลือกนั้นไว้
แต่สำหรับผม ผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่า ถ้าเกิดเราเปิดทางเลือกนั้นไว้ ประชาชนจะไม่มีวันไว้วางใจเรา เราต้องปิดทางเลือกนั้น ปิดแบบปิดสนิทเลย
ผมก็บอกกับเขาว่ามันไม่มีเหตุผล สมมติประชาชนเลือกพรรคสร้างอนาคตไทยมาได้ยี่สิบห้าคน มีสิทธิ์เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี การที่ได้ยี่สิบห้าคน ต้องมีคนเป็นล้านที่เลือกเรานะ อาจจะไม่ได้มากกว่าคนอื่น แต่เลือกเรา เพื่อให้มีโอกาสได้เสนอชื่ออาจารย์สมคิดเป็นนายกฯ เพราะนั้นถ้าสมมติผมเป็น ส.ส. หนึ่งในยี่สิบห้า ถ้าผมไม่เสนอชื่ออาจารย์สมคิด อย่างน้อยในการซาวเสียงรอบแรก ผมทรยศประชาชนนะ ประชาชนเขาเลือกมาให้ผมเลือกสมคิด หาเสียงปาวๆ ให้สมคิดเป็นนายกฯ
ถ้ามีโอกาสเสนอชื่อ ต้องเสนอชื่อสมคิด แต่ถ้าเกิดชื่อสมคิดไม่ได้ในรอบแรก แล้วยี่สิบห้าเสียงมีคนมาเจรจาว่าต้องขอเข้าไปร่วมรัฐบาลด้วยเงื่อนไขอย่างนี้ มันก็ต้องเจรจากันได้ ไม่ใช่ว่าปฏิเสธ แต่ถ้าเกิดเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์นั้นไม่ได้เลย หมดเวลาของท่านแล้ว ท่านก็รู้ละว่าหมดเวลาแล้ว พวกคุณก็อย่าไปแกล้งท่านมาก ให้ท่านมีทางลงดีๆ จะได้ไปสักที (หัวเราะ)
ถามตรงๆ เลยว่า คุณสุรนันทน์มาร่วมงานกับพรรคสร้างอนาคตไทย ส่วนหนึ่งก็เพื่อเคลียร์คดีของตัวเองด้วยหรือเปล่า
คดีของผมจริงๆ มีคดีเดียว ซึ่งไม่เป็นธรรมเลยนะ ขอบอกตรงนี้ เพราะว่าเป็นคดีที่จัดซื้อจัดจ้างถูกต้องหมด การเบิกจ่ายเงินต่างๆ ก็เบิกจ่ายในสมัยเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเอก วิลาศ อรุณศรี สมัยที่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ แล้ว ฉะนั้น มีกรรมการมาตรวจสอบทั้งหมด คือไม่ใช่รัฐบาลต่อเนื่องที่เป็นรัฐบาลพวกเดียวกัน แต่ตรวจสอบโดยรัฐบาลที่เป็นปฏิปักษ์และมาจากรัฐประหาร เขาตรวจสอบหมดแล้ว บอกว่าถูกต้องหมด ที่สำคัญ คือเมื่อเรื่องมันเดินมาอย่างนี้ อัยการก็สั่งไม่ฟ้อง แต่ ป.ป.ช. ฟ้อง อันนี้ผมก็ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ แต่ผมคิดว่าไม่ยุติธรรม แต่พอถึงชั้นศาล ผมก็ต้องบอกตรงๆ ว่า ผมไม่เชื่อว่าศาลจะดูคดีนี้เป็นคดีการเมือง ผมเชื่อว่าศาลจะดูคดีนี้ด้วยข้อเท็จจริง แล้วก็ตัดสินบนพื้นฐานข้อเท็จจริงนั้น
เพราะฉะนั้น ผมไม่อยากเอาคดีผมมาบอกว่า เป็นคดีการเมือง เพราะผมไม่เชื่อ ผมเชื่อว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนี่ใช้ได้ แล้วก็น่าจะตัดสินบนพื้นฐานความเป็นธรรม เพราะว่าท่านเองก็ต้องรักษาศักดิ์และศรีของท่าน แล้วก็ต้องดูข้อเท็จจริงจริงๆ ก็ปล่อยให้ศาลเขาทำงานไป ผมก็มีหน้าที่ไปขึ้นศาล เอาพยานหลักฐานไปให้เห็นว่าเราไม่ผิด
เมื่อคดีนี้ไม่ใช่คดีทางการเมือง แล้วก็การที่ผมมาอยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ว่าเพื่อเคลียร์คดี ใครจะมาบอกว่าเคลียร์ได้ ผมเชื่อว่าเคลียร์ศาลไม่ได้ ในความรู้สึกผมนะ อันนี้เราก็ต้องให้เกียรติศาล
8 ปีที่แล้ว คุณโดนรัฐประหารโดยพลเอกประยุทธ์ ถึงวันนี้ คุณตั้งพรรคการเมืองใหม่ ก็ยังต้องสู้กับพลเอกประยุทธ์อยู่ คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้พลเอกประยุทธ์อยู่ได้นานขนาดนี้
สิ่งที่ต้องยอมรับคืออำนาจ คสช. เป็นอำนาจที่แรงกว่าอำนาจของ พลเอก สุนทร คงสมพงษ์ (รสช.) แล้วก็เป็นอำนาจที่แรงกว่า และยาวนานกว่า พลเอก สนธิ บุญยรัตกลิน (คมช.) หรือสมัยพลเอก สุจินดา คราประยูร มันเหมือนกับสูตรรัฐประหารเพื่อแก้ปัญหาการติดขัดทางการเมือง ร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้วก็เลือกตั้ง นี่ก็เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่หลังรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด มีกระบวนการที่ขอคงอยู่ในอำนาจถึง 4 ปี
นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่า การที่พลเอกประยุทธ์ พลเอกประวิตร (ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และพลเอกอนุพงษ์ (อนุพงษ์ เผ่าจินดา) อยู่ในอำนาจ เขาทั้งสามก็ไม่ได้เพิ่งดำรงตำแหน่ง หากแต่อยู่ในอำนาจระดับ ผบ.ทบ. ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งสมบารมีมาอย่างต่อเนื่อง พออยู่ในอำนาจแบบ Absolute สี่ปีเต็ม และสานต่ออำนาจมาอีกสามปี การสานต่ออำนาจของพวกเขาในสังคมเศรษฐกิจไทยที่เป็นระบบอุปถัมภ์ ทำให้เขาคิดว่าเขาทำบุญคุณให้คนมหาศาล ย้ายตำรวจมากี่รอบ ย้ายทหารมากี่รอบ ย้ายผู้ว่าฯ ย้ายข้าราชการมากี่รอบ นักธุรกิจที่มีปัญหากับข้าราชการ เขาดูแลมาแล้วกี่คน
เพราะฉะนั้น ด้วยบารมีตรงนี้ ด้วยความที่เราเป็นวัฒนธรรมระบบอุปถัมภ์ ได้ทำให้ทุกคน ‘เกรงใจ’ แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่เกรงใจ แต่คือ ‘กูเป็นหนี้บุญคุณมึง มึงเป็นหนี้บุญคุณกู มึงจะกล้าล้มกูเหรอ’ พูดกันตรงๆ มันก็ถึงอยู่มาได้ นี่คือสิ่งที่ไม่ดี
สิ่งที่ดีก็คือต้องมีการเลือกตั้งบ่อยๆ เพื่อให้ทุกคนตื่นตัว เปลี่ยนอำนาจ หรือว่าให้ประชาชนมีโอกาสตรวจสอบอำนาจนั้น ทีนี้พอประชาชนไม่มีการตรวจสอบอำนาจ และในที่สุดแล้ว พออยู่นานๆ เป็นสภานิติบัญญัติแห่งชาตินานๆ มันไม่ได้แค่ผ่านกฎหมายนะ ก็ไปตั้งคนในคณะกรรมการในองค์กรอิสระต่างๆ ก็กลายเป็นว่าโครงสร้างของกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ บางคน กลายเป็นหนี้บุญคุณกับระบบนี้ ยิ่งทำให้เขาอยู่ได้นาน
หากเกิดการเมืองแบ่งเป็นสองขั้วชัดเจนเช่นที่ผ่านมา คือพรรคที่เอาพลเอกประยุทธ์ และพรรคที่ไม่เอาพลเอกประยุทธ์ พรรคสร้างอนาคตไทยจะอยู่ขั้วไหน
ไม่เอาพลเอกประยุทธ์ ชัดเจนครับ
การเลือกตั้งรอบที่แล้วนั้น ดูเหมือนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พรรคประชาธิปัตย์ก็ประกาศแบบนี้ พรรคภูมิใจไทยก็ประกาศคล้ายๆ แบบนี้
ผมว่ารอบนี้ สุดท้ายถ้าอยู่ข้างพลเอกประยุทธ์ อาจจะโดนโจมตีมากกว่าเก่า (หัวเราะ) จุดยืนเราชัดเจนครับ แล้วคุณอุตตม หัวหน้าพรรค ก็พูดชัดเจนว่า ถ้าไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็เป็นฝ่ายค้านได้ ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะว่าเราไปทำหน้าที่ ส.ส. ทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร
ผมคิดว่าตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในระบอบประชาธิปไตย คือการเป็นผู้แทนราษฎร คือมาทำหน้าที่บางอย่าง ไม่ใช่เพื่อก้าวไปสู่จุดอื่น แล้วหลายคนก็เป็นผู้แทนราษฎรที่ดีนะ เพราะเขาสนิทสนมกับชาวบ้าน แต่ถามว่าเขามีความรู้พอที่จะไปบริหารกระทรวงมั้ย ไม่มี ถามว่า ส.ส.อเมริกันหรือสมาชิกวุฒิสภาอเมริกันนี่เป็นรัฐมนตรีกี่คน ก็มีนะที่เขามีความรู้ความสามารถ แต่ส่วนใหญ่เขาภูมิใจในการเป็น ส.ส.
เราพยายามที่จะเป็นระบบอังกฤษ แต่ระบบอังกฤษนั้นพรรคจะเลือกจนกระทั่งแน่ใจว่า คนนี้มีความรู้เรื่องต่างประเทศจริง ถึงจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศได้ แล้วมันก็มีระบบการคัดเลือก อเมริกาคุณจะเป็นรัฐมนตรี สมาชิกวุฒิสภาก็ต้องตรวจสอบประวัติ เคยไปแก้ผ้าให้ใครดูหรือเปล่าอะไรพวกนี้ หรือว่ามีความรู้ความสามารถจริงหรือเปล่า มันก็มีสิทธิ์ในการที่จะปฏิเสธเหมือนกัน
ของไทยมันกลายเป็นว่า ผมมี ส.ส. เจ็ดคนในสังกัด หารมาแล้วผมก็ต้องได้รัฐมนตรีหนึ่งที่นั่ง ไม่ได้ อันนี้เป็นอะไรที่ต้องแก้ แล้วมันต้องแก้ระดับทัศนคติเลย ระบบนี้ไม่ใช่ระบบโควตา ระบบนี้คือระบบที่ต้อง Put the right man on the right job เอาคนที่เก่งและมีความสามารถที่สุดเข้าไปสู่ตำแหน่งนั้น และระบบที่ดีที่สุดก็คือ เมื่อคุณได้รับเลือกตั้งมาเป็นผู้แทนราษฎร คุณต้องทำหน้าที่นั้น ไม่ว่าจะเป็น ส.ส.เขต หรือปาร์ตี้ลิสต์ คุณต้องทำหน้าที่ในสภาฯ ให้ดีที่สุด
พรรคสร้างอนาคตไทยจะเป็นพรรคใหญ่ในระดับที่ส่งผู้สมัครเลือกตั้งครบทุกเขตทั่วประเทศไหม
ตอนนี้คุยกับเลขาฯ พรรค คุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เขาพยายามจะส่งทุกเขตและอยากจะส่งทุกเขต เพราะว่ามันมีระบบปาร์ตี้ลิสต์ที่ชัด สอง ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เสียหาย ถึงแม้เรื่องเขตเราจะอ่อน เรารู้ว่าไม่มีทางชนะ แต่ถ้าเราได้คนรุ่นใหม่ หนุ่มๆ สาวๆ ที่สนใจการเมืองมาร่วม ทำไมจะไม่ให้โอกาสเขาเดินล่ะ
จำได้ไหม ไทยรักไทยไม่ได้คิดว่า ส.ส.นกแลจะเข้ามาได้ร้อยกว่าที่นั่งนะ เราก็ต้องให้โอกาสเขาเดิน เพราะว่าถ้าเขาไม่เดินวันนี้ ลงเลือกตั้งรอบหน้า ก็ไม่มีคนเดินอีก เพราะฉะนั้น ก็ให้เขาเดินรอบนี้ เขาได้มาร้อยคะแนน พันคะแนน มันก็คือร้อยคะแนน คือพันคะแนน เขาอาจจะไม่ชนะ หรือเขาอาจจะชนะก็ได้ คนอาจจะบอกว่าคนรุ่นใหม่จริงๆ ถามหน่อยสิ ตอนอนาคตใหม่ลง มีใครรู้จักบ้าง ก็คือคนรุ่นใหม่หมด เลือกผิดบ้าง… กลายเป็นคนรุ่นเก่าก็มี ขายตัวได้ราคา ก็ไม่เลวเหมือนกันนะ (หัวเราะ)
ระบบการเมืองที่พยายามทำให้พรรคการเมืองใหม่ๆ มีลักษณะเป็น ‘เบี้ยหัวแตก’ ไม่เป็นพรรคใหญ่ที่มั่นคง คุณคิดว่าพรรคสร้างอนาคตไทยจะอยู่ได้อย่างไรในระบบแบบนี้
มันก็มีโอกาสไง ถ้าสมมติเราพูดในสิ่งที่ตรงใจประชาชน เรามีนโยบายที่ก้าวหน้าพอ แล้วก็สามารถ Represent ความเป็นทีมที่ผสมผสานระหว่างประสบการณ์ของคนที่มีอายุมากหน่อยกับความคิดใหม่ๆ ของเด็กรุ่นใหม่ ผมคิดว่าคนน่าจะให้โอกาสเรา ผมคิดแค่นี้ ไม่รู้จะสำเร็จมั้ย แต่ผมคิดว่าคนต้องการสองอย่าง คนต้องการความใหม่ ใหม่ที่ไม่ได้หมายความว่าอายุน้อยนะ ใหม่คือชุดความคิดใหม่ แล้วก็ต้องมีหน้าใหม่ๆ บ้าง เพราะว่าหน้าเก่าๆ บางคนเขาไม่ไว้ใจ แต่คนเขาก็ต้องการว่าต้องมีประสบการณ์ด้วย หน้าใหม่อย่างเดียว อายุสามสิบถึงสี่สิบกว่า คนไทยก็ยังไม่พร้อมที่จะเชื่อว่าคนพวกนี้มาบริหารประเทศได้ เพราะฉะนั้นต้องผสมผสานกัน และเอาชุดความคิดนี้มา
อย่าลืมนะ ไทยรักไทย แน่นอนคุณทักษิณเป็นคนที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว และตอนนั้นประสบความสำเร็จในธุรกิจ แต่ในที่สุดสิ่งที่ขายไทยรักไทยก็คือชุดความคิด กองทุนหมู่บ้านสามสิบบาทรักษาทุกโรค พักหนี้เกษตรกร อะไรต่างๆ นั่นคือชุดความคิดใหม่ อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากทำงานกับอาจารย์สมคิด และให้มันออกมา แต่ถ้าคนมองว่าปัญหาปากท้องเดือดร้อน ชุดความคิดนี้เราแก้ได้ และคนคนนี้คืออาจารย์สมคิด น่าจะเป็นคนที่ทำได้ดีที่สุดถ้าเรามีโอกาส
พร้อมจะไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่แล้วใช่ไหม
ตั้งพรรคแล้วก็ต้องพร้อมเสมอ แต่ถ้าเกิดเลือกอาทิตย์หน้าก็…(หัวเราะ) ผมก็อาจจะโทรหาคุณ อยากลงสมัครไหม เพราะคนไม่พอ (หัวเราะ)
คุณสุรนันทน์ประเมินว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่เมื่อไร
ผมก็ยังเชื่อว่าปลายปี ถึงอย่างไรคุณประยุทธ์ก็ต้องอยู่ให้ยาวที่สุด ผมยังเชื่อว่านักการเมืองก็ยังไม่อยากให้เลือกตั้ง ผมยังเชื่อว่าตอนนี้ทุกคนก็ยังอยากที่จะให้งบประมาณผ่านออกไปก่อน และมีโอกาสที่ให้งบประมาณนั้นไหลลงไปสู่ที่ต่างๆ เพื่อที่จะให้เป็นผลงานของรัฐบาล แล้วนำไปสู่การหาเสียงเลือกตั้งได้ แล้วเขาก็เชื่อว่าถ้าการจัดประชุม APEC ประสบความสำเร็จ ซึ่งในฐานะคนไทย ผมก็อยากให้ประสบความสำเร็จนะ แต่เขาก็อาจจะมองว่าตรงนั้นอาจจะเป็นตัวที่ทำให้คนมีความรู้สึกดีๆ ปลายปีเศรษฐกิจฟื้นนิดหน่อย รัฐบาลก็สามารถเคลมได้ว่าฟื้นแล้ว แล้วจึงไปสู่การเลือกตั้ง
คู่ต่อสู้หลักของพรรคคุณจะเป็นพรรคใด ยังคงเป็นบรรดาพรรคที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์อยู่ไหม
ผมว่าฐานเสียงของคนที่เราตั้งเป้าว่าอยากให้พิจารณาพรรคเรานี่ กลายเป็นพื้นฐานของพรรคก้าวไกลที่มีพื้นฐานในเขตเมือง ไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ แต่เขตเมืองคือเขตหนึ่งของทุกจังหวัด เขตเทศบาล เขตเมือง แล้วผมก็เชื่อว่าสิ่งที่นักธุรกิจหรือสภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้า ที่มีความรู้จักคุณสมคิด ฐานเสียงก็ยังอยู่เขตเมือง เพราะฉะนั้นคู่แข่งของเราผมก้าวข้ามไป แต่ถ้าเอาความเป็นจริงทางการเมือง ก็ต้องต่อสู้ทางความคิดกับก้าวไกล แล้วก็เพื่อไทยด้วยในบางจุด
คิดว่าพลเอกประยุทธ์จะมีโอกาสเป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกรอบไหม
บางทีเราก็อยากดูหนังที่มันมีพระเอกฆ่าตัวตายนะ (หัวเราะ)
แล้วคุณกลัวการโหวตเชิงยุทธศาสตร์ ที่จะกลายเป็นคะแนนแลนด์สไลด์ไปยังพรรคใดพรรคหนึ่งไหม
ผมว่าเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะเป็นไปได้… แต่ผมว่าในที่สุดแล้ว ประชาชนจะเห็นเอง อย่างการเติบโตของก้าวไกล ถึงผมไม่เห็นด้วยกับบางนโยบายของเขา แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้คนเห็นนะว่า ไอเดียใหม่ๆ การกล้าเสนออะไรใหม่ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบให้มันดีขึ้นนี่ คนต้องการสนับสนุน
แต่ถ้าพรรคการเมืองที่เก่าหรือใหม่ ไม่กล้าที่จะออกมาพูดในเรื่องที่ควรจะพูด ไม่มีสิทธิ์ ผมเชื่อเลย แม้กระทั่งพรรคใหญ่อย่างพลังประชารัฐหรือเพื่อไทย ถ้าไม่กล้าพูด เพราะว่ายังคิดว่าฉันจะต้องบาลานซ์ ต้องสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจที่มีเพื่อผลประโยชน์ หรือเพื่ออะไรบางอย่าง ก็จะมีปัญหาแน่
การเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะเป็นไปได้ แต่พออีกครั้ง ผมว่าคนรุ่นใหม่ขึ้นมา คนรุ่นพวกคุณขึ้นมา พวกคุณจะยอมหรือ มันไม่ไหวแล้ว และถ้าพวกผมทำไม่สำเร็จ พวกผมก็ต้องถอยแล้ว มันต้องรุ่นคุณแล้ว มันจะปฏิวัติประชาชนก็ว่ากันไปเลย เดี๋ยวผมทำข้าวกล่องส่งให้ (ยิ้ม)
แต่ถึงที่สุดผมยังอยากให้อยู่ในระบบ เราต้องช่วยกันรักษาระบบ เพราะเวลาล้ม เราไม่รู้ว่าใครขึ้นมา คือประเทศหลายประเทศที่ว่าล้มอย่างอียิปต์ อาหรับสปริง แล้วเป็นไง ก็กลับไปวงจรเดิม เขาไม่ได้พูดเรื่องโครงสร้าง ไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องโครงสร้างจริงๆ แล้วการแก้ปัญหาโครงสร้าง ไม่ใช่แค่เด็กรุ่นใหม่ขึ้นมา คนรุ่นเก่า คนรุ่นพวกผมต้องช่วยด้วย มันถึงจะเปลี่ยนประเทศได้
Fact Box
- สุรนันทน์ เป็นบุตรคนเดียวของ นิสสัย เวชชาชีวะ อดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศ และอดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล สัญญา ธรรมศักดิ์ น้องชายคนหนึ่งของนิสสัย คือ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เป็นบิดาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
- ในปี 2538 และ 2539 สุรนันทน์เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. กรุงเทพฯ ในนามพรรคพลังธรรม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เขาได้เป็น ส.ส. สมัยแรกเมื่อปี 2544 กับพรรคไทยรักไทย และสมัยที่ 2 จากพรรคเดียวกัน นอกจากนี้ ในช่วงแรกของการเป็นรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งให้สุรนันทน์ดำรงตำแหน่งเป็น ‘เลขานุการส่วนตัว’
- หลังพ้นโทษจาก ‘บ้านเลขที่ 111’ ไม่นาน สุรนันทน์สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการ ‘คัมแบ็ก’ ในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างไม่มีใครคาดคิด โดยระหว่างที่ยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาล สุรนันทน์ถูกคนในพรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นหนึ่งใน ‘แก๊งไอติม’ หรือ ‘คนวงในนายกฯ ปู’ ร่วมกับ กิตติรัตน์ ณ ระนอง, วราเทพ รัตนากร, นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รวมถึง ธีรัตถ์ รัตนเสวี ที่อาจทำให้รัฐบาลเสียหายในที่สุด
- ไม่นานมานี้ สุรนันทน์เป็นหนึ่งในรายชื่อที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้องศาลฎีการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีจัดโรดโชว์สร้างอนาคตประเทศไทย Thailand 2020 มูลค่า 239 ล้านบาท ว่ามีการจัดจ้างโครงการเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับสื่อรายใหญ่หลายราย โดยเขาถูกยื่นฟ้องร่วมกับยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล
- พรรคสร้างอนาคตไทย ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ 19 มกราคม 2565 โดยมี 2 กุมาร จาก 4 กุมาร คนใกล้ชิดของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ได้แก่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นเลขาธิการพรรค และอุตตม สาวนายน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าพรรค โดยมีส่วนผสมจากอดีตสมาชิกหลายพรรคการเมือง เช่น นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ พงศ์พรหม ยามะรัตน์ จากพรรคกล้า สันติ กีระนันทน์ และวิเชียร ชวลิต อดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ รวมถึงสุรนันทน์ ในฐานะอดีตสมาชิกพรรคเพื่อไทย