เป็นเวลาล่วงเลยเกือบจะครบปีที่คนไทยได้รับรู้เรื่องราวภาคต่อของ ‘คดีขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา’ ผ่านการอภิปรายในสภาฯ โดย รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565

หนึ่งวันให้หลัง คนไทยได้รู้จักกับ พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ผู้ตัดสินใจลี้ภัยหลังจากทำคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาอีกครั้ง และไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลยจนเวลาล่วงผ่านไปหลายปี แน่นอนว่า นายตำรวจคนนี้คือผู้ให้ข้อมูลกับรังสิมันต์ สะท้อนให้เห็นถึงความดำมืดและความเลวร้ายของแวดวงตำรวจ ทหาร และระบบราชการไทย

หลังจากการปรากฏตัวทั้งในการแถลงข่าวร่วมกับรังสิมันต์ สารคดีของอัลจาซีรา และในบทสัมภาษณ์จากสื่อหลายสำนัก รวมถึง The Momentum ภารกิจอีกอย่างหนึ่งของพลตำรวจตรีปวีณในตอนนี้ก็คือ การเดินสายบรรยายให้กับคนไทยในออสเตรเลียตามมหาวิทยาลัยหลายแห่ง เพื่อบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาประสบระหว่างรับราชการตำรวจ เรื่องคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา และสำคัญที่สุด ความขัดแย้งกับ ‘ระบบ’ อันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องลี้ภัยในที่สุด

และหลังจากนั้น ชีวิตของพลตำรวจตรีปวีณในต่างแดนก็เปลี่ยนไป จาก ‘คุณลุง’ คนไทยธรรมดาคนหนึ่งในออสเตรเลีย เป็นที่รับรู้ในวงกว้างขึ้นว่า เขาคืออดีตตำรวจผู้มีประวัติชั้นดีและสร้างผลงานให้ชาติหลายอย่างตลอดชีวิตการรับราชการ

อดีตที่ผ่านมา มีตำรวจน้อยคนนักที่ ‘กล้าหาญ’ ออกมาเผยถึงเบื้องหลังอันฟอนเฟะของ ‘ระบบคนมีสี’ ในบ้านเมืองของเรา แต่นั่นก็ต้องแลกด้วยชีวิตบั้นปลายที่เขากลายเป็นผู้ลี้ภัยในต่างแดนที่ไม่รู้เลยว่า เมื่อไรจะได้ ‘กลับบ้าน’

ด้วยแรงกระเพื่อมจากการเปิดเผยประเด็นขบวนการค้ามนุษย์ The Momentum จึงยกให้พลตำรวจตรีปวีณเป็นหนึ่งในบุคคลแห่งปีที่สังคมไทยต่างให้ความสนใจ และเชื่อว่ามีไม่น้อยที่ยังคงรอคอยบทสรุปฉากจบของคดีค้ามนุษย์ รวมไปถึงการจับ ‘ปลาตัวใหญ่’ ที่เป็นต้นตอของเรื่องดังกล่าว

ก่อนปีนี้จะล่วงผ่านไป เราจึงสนทนากับพลตำรวจตรีปวีณอีกครั้ง ถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในชีวิต 7 ปีผู้ลี้ภัยของเขา รวมถึงความหวัง และ ‘ของขวัญปีใหม่’ ที่เขาอยากมอบให้สังคมไทย

ตั้งแต่มีการเปิดเผยเรื่อง ‘การค้ามนุษย์’ ซึ่งกำลังจะครบปีในปีใหม่นี้ ชีวิตคุณมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

หลังจากที่คุณรังสิมันต์ โรม จากพรรคก้าวไกล หยิบยกเรื่องนี้มาอภิปรายในสภาฯ เรื่องเหล่านี้ถูกรื้อฟื้นกลับมาอีกครั้ง

ช่วงที่ผมยังทำงานอยู่ ผมรู้สึกตลอดว่าเรื่องการค้ามนุษย์เป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเงียบหายไป แต่เมื่อมีคนที่สนใจขุดคุ้ยและหยิบยกปัญหาเหล่านี้ขึ้นมาบนเวทีรัฐสภาที่คนทั้งประเทศสนใจอีกครั้ง ก็ทำให้ประชาชนสนใจและมองเห็นความเป็นจริงที่เกิดขึ้น พร้อมกับฉุดให้คนทั้งประเทศหันมาสนใจปัญหาที่สำคัญของประเทศชาติว่า ถ้าหากไม่ได้รับการแก้ไข ประเทศชาติจะสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจนับแสนๆ ล้านบาท

ตั้งแต่ผมเข้าไปแก้ปัญหานั้น ผมยืนยันเลยว่าได้ดำเนินการอย่างจริงใจและจริงจัง อีกทั้งดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ ใช้กำลังความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ของผมที่มีอยู่ เพื่อหวังจะแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติได้ แต่สิ่งที่ผมได้รับกับเป็นสิ่งที่ไม่อยากได้ที่สุด

ไม่จำเป็นต้องมาให้รางวัลผม แต่ไม่ควรที่จะมีบทลงโทษกับผม ในที่สุดหลังจากที่ต้องเงียบหายไปหลายปี ก็มีคนที่สนใจหยิบยกเรื่องดังกล่าวมาเปิดเผย ผมถึงพูดมาตลอดว่า ตอนนี้ผมได้รับความเป็นธรรมกลับมาครึ่งหนึ่ง

คิดดูว่าความรู้สึกของคนที่ได้รับความกดดัน ความชอกช้ำระกำใจมาตลอดระยะเวลาอันยาวนาน แล้ววันนี้ได้พูดความจริงที่เก็บเอาไว้ออกไป…นั่นคือความรู้สึกของผม ในขณะที่รังสิมันต์ โรมหยิบยกขึ้นมาอภิปราย

แต่ในขณะที่เขาอภิปรายไป ผมไม่รู้จริงๆ ว่าคนไทยทั้งประเทศรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่เท่าที่ผมดูก็ไปในทางดี และสิ่งที่โรมอภิปรายก็ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงทั้งหมด นั่นคือความรู้สึกที่มีคนพูดแทนผม

แต่ด้วยระยะเวลาการอภิปรายที่จำกัด คงไม่สามารถให้รายละเอียดทั้งหมดได้ ไม่สามารถจะสรุปการทำงานในระยะเวลาหลายเดือน ด้วยเอกสารหลายๆ  แสนแผ่นในเวลาแค่ 30 นาทีได้ ดังนั้นเรื่องเหล่านี้ยังคงมีเบื้องหน้าเบื้องหลังของการทำงานอีกมาก

หลังจากที่อภิปรายไปก็มีสื่อมวลชนหลายแขนงอยากจะติดต่อมาสัมภาษณ์ซึ่งเป็นการต่อยอดจากการอภิปรายในสภาฯ เป็นรายละเอียดในการทำงานว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ผมก็ได้มีโอกาสในการใช้เวทีตรงนี้พูดในสิ่งต่างๆ ที่อยากพูดออกไป แม้อาจจะพูดได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากมีข้อจำกัดในอิสระและเสรีภาพของผม ซึ่งผมก็ทราบดีถึงข้อจำกัดตรงนั้น

สำหรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตส่วนตัวของผม สำหรับคนที่เขาสนใจเรื่องราวนี้ เขาเข้าใจและมาสนับสนุน ในขณะเดียวกันคนที่สนใจแต่อยู่ตรงกันข้าม ซึ่งพวกเขายังสนับสนุนฝ่ายคนที่กลั่นแกล้งผม ก็จะมีคำถามผ่านโซเชียลมีเดียในประเด็นต่างๆ เข้ามา ซึ่งผมสามารถตอบได้ทั้งหมด ไม่มีปัญหาอะไร เพราะสิ่งที่ผมพูดทั้งหมดไม่ใช่ความเท็จ เป็นความจริงทั้งหมด

ปฏิกิริยาหรือทัศนคติของคนไทยในประเทศออสเตรเลียที่มีต่อคุณ-เท่าที่คุณได้พบในช่วงหลัง เป็นอย่างไรบ้าง

ผมได้เจอคนในประเทศออสเตรเลียบางคนก็เป็นคนที่ไม่สนใจอะไรเลย ไม่รู้จักผม อาจรู้เพียงว่าผมเคยเป็นตำรวจมาก่อน แล้วบางคนอาจปรามาสผมว่าตำรวจก็เหมือนๆ กันหมด คือเป็นตำรวจที่เลว ซึ่งพวกเขาคงจัดผมให้อยู่ในตำรวจเลวประเภทที่พวกเขาเคยสัมผัสมา พวกนี้ไม่ได้ให้ความเคารพเชื่อถืออะไรผม ซึ่งเจอเยอะ เราก็จำเป็นต้องป้องกันตัวระดับหนึ่ง

แต่ผมต้องยอมรับว่ามีความเปลี่ยนแปลง มีคนรู้จักมากยิ่งขึ้น อันดับแรกเลยคือได้รับการติดต่อมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ให้ไปกล่าวในเรื่องสารคดีของผม เช่นที่มหาวิทยาลัยแมคควอรี (Macquarie University) ในซิดนีย์ ผลปรากฏว่ามีทั้งคนไทยและคนต่างชาติให้การตอบรับดีมาก ทุกคนต่างมาให้กำลังใจ บรรยากาศตอนนั้นดีมากเลย เราก็ดีใจที่มีคนมาชื่นชมมากขนาดนั้น รู้สึกเป็นวันที่พิเศษวันหนึ่งในชีวิต เหมือนกับกำลังอยู่ในความฝัน ทำไมคนถึงมามากขนาดนี้      ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าในชีวิตการทำงาน เราไม่เคยได้รับคำชื่นชมอะไรมากมาย ไม่ว่าจะจากเพื่อนร่วมงาน หรือประชาชน แต่วันนั้นเหมือนตัวเรานี่ลอยฟูฟ่อง แต่เราก็รู้ตัวตลอดว่า เดี๋ยวสิ่งเหล่านี้ก็ผ่านพ้นไป ทั้งดีทั้งร้าย

อีกเรื่องหนึ่งคือเวลาไปไหนมาไหนข้างนอก หรือไปซื้อของตามร้านรวงต่างๆ มักมีคนไทยมาทักว่า ‘คุณปวีณหรือเปล่า ยินดีที่ได้รู้จัก’ ขอถ่ายรูปบ้างอะไรบ้าง แต่บางทีเวลาออกไปในที่สาธารณะก็ต้องระวังตัวเหมือนกัน เราไม่รู้ว่าเขามาดีหรือร้าย หรือเป็นฝ่ายใคร เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครเป็นใคร ถ้าไม่มีความจำเป็นหรือไม่มีเพื่อนไปด้วย ผมก็เลือกไม่ออกไปไหนดีกว่า

ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนว่าปัญหาที่ผมเจอมา เพราะผมไปขัดผลประโยชน์ของคนที่ทำร้ายประเทศชาติ ไปขัดผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่มีอำนาจแสวงหาประโยชน์จากการค้ามนุษย์ ผมยืนยันเลยว่าคนพวกนี้ได้รับผลประโยชน์ทั้งนั้น

ดังนั้น เมื่อผมเอาหลักฐานมาได้ขนาดนี้ คนกลุ่มนี้เขาย่อมได้รับความเสียหาย และพยายามที่จะหยุดการทำงานของผมกับทีมงานให้ได้ เพื่อที่จะไม่ให้สาวเรื่องทั้งหมดถึงตัวของเขาได้ แน่นอนว่าสิ่งที่เขาจะทำคือต้องปิดปากปวีณให้ได้ ตรงนี้จึงเป็นความอันตรายที่ผมต้องเผชิญ บางครั้งผมจึงต้องกังวลเวลาไปไหนมาไหนพอสมควร เพราะอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ

กี่คนแล้วที่หายตัวไป มีตัวอย่างให้เห็นมากมายจากคนที่ลี้ภัยคนอื่นๆ ทำให้เราไม่เคยประมาท ไม่ใช่ว่าเมื่อมีคนมายินดีแล้วเราก็ตัวลอยจนไม่ระวัง เพราะอาจมีใครแฝงตัวมาตรงนี้ก็ได้

บางทีก็ไม่ใช่เรื่องสนุกกับการจะไปท้าทายกับสิ่งที่เรามองไม่เห็น และชีวิตการทำงานที่เป็นตำรวจมา 30 กว่าปี มันสอนหลายสิ่ง เพราะอย่างนั้นผมจึงต้องระวังตัวเองอยู่เสมอ

ผ่านมาประมาณ 7 ปีแล้วกับการเป็นผู้ลี้ภัย ทุกวันนี้คุณปวีณคงปรับตัวได้มากขึ้นแล้ว

หากพูดถึงวัยตอนที่ผมลี้ภัยมาอายุก็ค่อนมากข้างแล้ว ผมมาในช่วงอายุ 57 ปี โดยที่ไม่ได้มีเตรียมการอะไรมาก่อน ผมบอกหลายครั้งว่าภาษาอังกฤษผมแย่มาก แทบจะฟังหรือพูดไม่ได้เลย นั่นคืออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่มาก

ปีหน้าผมอายุจะ 65 ปี การมาเริ่มต้นชีวิตที่ต่างประเทศโดยที่อายุมากและไม่ได้เตรียมมาก่อน ลองคิดดูว่าจะลำบากขนาดไหน

สิ่งที่ผมคิดเสมอคือต้องอยู่ให้ได้ ทำอย่างไรก็ได้ให้ทางการออสเตรเลียเขารับเราไว้ เพราะเราลี้ภัยออกนอกประเทศ แน่นอนว่าเรื่องเอกสารตรงนี้ผมไม่ได้กังวลอะไร ผมมีเหตุผลแจงทุกอย่างให้ทางการออสเตรเลียทราบ ผมสามารถแสดงขั้นตอนต่างๆ ทั้งหมดได้อย่างราบรื่น เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลา

แต่สิ่งที่กังวลมากกว่าคือการใช้ชีวิต อันดับแรกเราไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเขาเข้าใจได้ว่าเรามีความรู้สึกอย่างไร ทุกครั้งที่พูดก็จำเป็นต้องพูดผ่านการแปลจากล่าม กว่าจะได้เรียนรู้เข้าใจได้ก็กินเวลานาน แต่เราก็พอไปได้

อีกเรื่องคือสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ล้วนเป็นของใหม่ ผมจำเป็นต้องมาเรียนรู้ทุกอย่างใหม่หมดเลย ในช่วงแรกๆ ผมมีคนช่วยเหลือก็พอจะอยู่ได้บ้าง แต่หลังจากนั้นไม่มีใครมาช่วยเราแล้ว เราต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง คือการทำงานที่ค่อนข้างจะหนัก

ในเวลานี้ผมต้องทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงตัวเองให้ได้ ในสัปดาห์หนึ่งต้องทำงาน 6 วัน และทำงานเกือบ 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ เพราะฉะนั้นเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตที่นี่ก็จะหมดไปกับการทำงาน

ในช่วงแรกๆ หลังจากทางการออสเตรเลียรับเราเป็นผู้ลี้ภัยแล้ว เราก็จะได้รับเงินช่วยเหลือราวๆ 2 อาทิตย์ต่อ 1 ครั้ง แต่ตอนนี้ผมมีรายได้ประมาณหนึ่ง เขาจึงไม่ได้ให้เงินช่วยเหลือแล้ว

ถ้าผมมาในช่วงที่ผมอายุยังน้อยๆ ผมถือว่าสิ่งเหล่านี้เล็กน้อยสำหรับผมมาก แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น ร่างกายเราไม่แข็งแรงเหมือนคนหนุ่มๆ หลังเลิกงานก็มีอาการเจ็บปวดเมื่อยล้าตามอายุ บางทีก็อยากพักผ่อน ไม่รู้ว่าสภาพร่างกายเราจะไหวอีกนานมั้ย โชคยังดีที่ตอนนี้ยังแข็งแรง และยังสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้

ในขณะนี้ผมยังต้องทำงานหนักอยู่ ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีใครมาเลี้ยงผม ผมอยู่ในช่วงที่เลือกไม่ได้มากนัก แม้วันไหนไม่อยากตื่นก็ต้องตื่น บ้างวันทั้งเมื่อยทั้งปวดตัว แต่ต้องไปทำงาน นึกถึงเมื่อก่อนเราไม่ได้ทำแบบนี้ แต่วันนี้ต้องมาทำงานใช้แรง นี่คือความเป็นจริง จากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์สู่ผู้ลี้ภัย

แน่นอนว่ารางวัลที่เราเคยได้รับสมัยเป็นตำรวจมันไม่ได้ตอบแทนอะไรเราเลย นี่คือแรงกายแรงใจของคนในวัย 65 ได้ทำ และเลี้ยงดูตัวเองด้วยกำลังของตัวเองทั้งหมด ไม่ได้มาจากผลงานในอดีตที่มา

ผมคิดเสมอว่างานที่ทำมาทั้งชีวิตที่ค่อยๆ สะสมความรู้ความสามารถมาเรื่อยๆ สักวันหนึ่งผมจะได้เอาสิ่งเหล่านี้มาเปิดเผยว่าได้ผ่านอะไรมาบ้าง จะมีรายละเอียดมาเปิดเผยให้กับประชาชนคนไทยได้เห็นว่า คนอย่างผมซึ่งฝันว่าจะเป็นตำรวจที่ดี ได้ทำอะไรไว้บ้างบนแผ่นดินบ้านเกิดของตัวเอง

ขณะนี้ผมได้เขียนจารึกวันแล้ววันเล่า กำลังพยายามเรียบเรียงจากความทรงจำที่มีอยู่ ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งถึงปัจจุบันให้เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้หลายคนได้รู้ว่าสิ่งที่ผมทำทั้งหมดคืออะไร เพราะฉะนั้น ถ้าใครถามว่าทำงานข้าราชการตำรวจได้อะไร คงต้องตอบว่าไม่ได้อะไร นอกจากรางวัลที่จับต้องได้คือรางวัลที่ตั้งอยู่ในเมืองไทย

แต่สำหรับผม รางวัลที่ได้มาในตอนนี้คือสารคดี การอภิปรายในสภาฯ หรือรายการสัมภาษณ์เช่นนี้มากกว่า ไม่ต่างจากการบันทึกไว้เป็นหนังสือขึ้นมา บันทึกไว้หมดว่าที่ผ่านมาผมได้ฝากอะไรไว้บ้าง ได้เจออะไรที่โหดร้ายทารุณ นั่นคือสิ่งที่ผมภาคภูมิใจว่า นี่คือสิ่งที่เราทำเอาไว้ แม้ว่าการเป็นตำรวจในอุดมคติจะเป็นเรื่องที่ยาก และผลตอบแทนคือการได้มาอยู่ที่นี่ก็ตาม

แม้สถานะของผมอาจทำให้ใช้ชีวิตในออสเตรเลียได้ตลอดชีวิต แต่ถึงอย่างไรยังคงต้องทำงานเลี้ยงตัวเอง หลายอย่างก็ยังพูดไม่ได้ เพราะอาจเป็นผลกระทบกับเรื่องความปลอดภัย โดยเฉพาะกับคนใกล้ชิดที่ยังพำนักในประเทศไทย ทำให้ยังไม่สามารถเปิดเผยหลายเรื่องในที่สาธารณะได้ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวผมและครอบครัวได้ อาจจะกล่าวได้ว่าตอนนี้ชีวิตยังไม่ลงตัว แต่ก็ดีขึ้นมาบ้างในระดับหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา

คนไทยยังมีความหวังจะได้เห็นตอนจบของคดีการค้ามนุษย์ไหม

ตราบใดกลุ่มคนที่ประกาศวาระแห่งชาติเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 ยังเป็นคนชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ยังมีชื่อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี ยังมีชื่อของ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา, พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา, พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล, พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล และอีกหลายคน

ถ้าคนกลุ่มนี้ยังอยู่ ไม่ต้องหวังอนาคตว่าจะได้เห็นหรือเกิดอะไรขึ้น แทบจะเป็นไปไม่ได้ยากมาก ผมมาอยู่ที่ออสเตรเลียกำลังเข้าสู่ปีที่ 7 ผมเห็นเรื่องการค้ามนุษย์ยังไม่มีอะไรคืบหน้า มีแต่จะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น

หมายความว่าหากคนกลุ่มนี้พ้นจากอำนาจ เราจึงจะได้เห็นตอนจบของเรื่องนี้ใช่ไหม

อาจจะตอบได้ยาก เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ใครที่จะเป็นคนไปทำให้เรื่องนี้กระจ่าง ถ้าพึ่งคนอย่างผม ด้วยวัยที่ตอนนี้ล่วงเลยมามาก ไม่เข้มแข็งเท่าช่วงที่ทำงานในขณะนั้น เวลานี้หูตาเริ่มฝ้าฟาง ผมก็เริ่มขาว ผิวหนังเริ่มย่นตามวัย อาจต้องเป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไป

แต่ในด้านหนึ่ง สิ่งที่คุณปวีณออกมาเปิดเผยก็ทำให้เรื่องเหล่านี้เหมือนเป็นชนักติดตัวคนกลุ่มดังกล่าวไปตลอด เพียงรอเวลาที่จะได้พิสูจน์ความจริง

ยังไงผมก็ยังยืนยันว่าผมได้เอามีดปักไว้กลางกบาลของคนกลุ่มนี้เป็นที่เรียบร้อย พวกนี้ถอนมีดอย่างไรก็ไม่ออก มีแต่จะยิ่งทำให้แผลเหล่านี้อักเสบมากยิ่งขึ้น

สักวันแผลอักเสบนี้แหละที่จะทำให้คนเหล่านี้ตายจากประเทศนี้ไป เพราะว่าหลักฐานที่มียังชัดเจนอย่างแน่นอน เพียงแต่อำนาจที่เขามีอยู่คอยปิดบังเขาไว้

ผมยืนยันว่าพยานหลักฐานในการดำเนินคดีคนพวกนี้ยังมี แต่พวกเขามีทั้งอำนาจและอาวุธปืนในมือ แล้วใครที่จะกล้าไปสืบเสาะมาเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ยังมีหลักฐานอื่นๆ ที่จะมัดพวกนี้ไว้จนดิ้นไม่หลุด เช่นเดียวกับ พลโท มนัส คงแป้น ถูกจับไม่ใช่เพราะมีพยานมาชี้ แต่เราไปตรวจค้นเจอหลักฐานการโอนเงิน ตอนนั้นมนัสเป็นพันเอก คุมเรื่องโรฮีนจา ต่อมาโตเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นพลตรี พลโทได้อย่างไร ถ้าเงินไม่มาดาวบนบ่าไม่ได้เกิด ผมเชื่อมั่นเลยว่าคนกลุ่มนี้ถ้าไม่พึ่งเงิน ไม่มีทางขึ้นมาได้หรอกครับ

แน่นอนว่าหลักฐานเหล่านี้แหละที่จะมัดคนพวกนี้ให้ดิ้นไม่หลุด ลองให้ไปตรวจสอบ รับรองว่าไม่รอด ผมยืนยันได้เลยว่าหากธนาคารในประเทศไทยมีความจริงใจ รักประชาชนคนไทย ไม่ทำตามคนมีอำนาจ เรื่องพวกนี้ก็จะเปิดเผยออกมา

มองวงการตำรวจทุกวันนี้อย่างไร คิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

ผมไม่ค่อยได้ติดตามสักเท่าไร แต่พูดให้ทุกคนฟังได้ว่าระบบราชการไม่ใช่แค่ตำรวจ ทั้งหมดมันเละเทะฟอนเฟะไปหมด เพราะพื้นฐานโตมาด้วยระบบเส้นสาย เอื้อพวกพ้อง ระบบอุปถัมภ์กลายเป็นใหญ่ เขาไม่ได้เติบโตด้วยความรู้ความสามารถ คนพวกนี้ทั้งตะกละตะกลามแล้วไปโตอยู่ตรงนู้นตรงนี้

ถ้าเจาะไปตรงไหนก็เจอความเน่าทั้งหมด กรณีที่เจอว่าเละเทะ พวกนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้นเอง ยังมีอีกมากมาย ในขณะที่ผมทำงานอยู่ผมอาจเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ที่ออกมากระชากระบบราชการที่มันเน่า ซึ่งทั้งหมดก็มาจากข้อเท็จจริงที่ผมเจอมาทั้งหมด

การทำงานของผมไม่เคยปล่อยโอกาสแม้แต่วันเดียว เรื่องโรฮีนจาก็เหมือนกัน ผมทำเต็มที่ ไม่สนใจว่าใครจะเติบโตมาด้วยเส้นสายอย่างไร ในความเป็นจริงผมอยากจะจับผู้ว่าราชการในหลายจังหวัดด้วยซ้ำไป ที่พอจะไปแตะนิดแตะหน่อย ผู้ใหญ่ก็เริ่มทุบโต๊ะกันแล้ว

ผมขอพูดเลยว่าเมืองไทยไม่ได้ขาดแคลนคนเก่ง คนที่เก่งมีคุณธรรมมีเยอะแยะ แต่สิ่งที่ทำให้ประเทศเราไปไม่ถึงไหน คือเราไม่มีคนกล้า เวลาเราไปทำคดีสำคัญอะไรก็อยากหิ้วคนเก่งๆ ไปด้วย คนเก่งเยอะแยะ แต่เมื่อจะชวนไปทำคดีที่เกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโต ปรากฏว่า ‘ผมไม่กล้าครับพี่’ เจอลักษณะแบบนี้เยอะ คือไม่กล้าที่จะทำถูกต้อง แต่กล้าที่จะทำผิด เปิดบ่อน รับเงินจากสถานบริการ ค้ามนุษย์ เต็มไปหมด พอเรื่องเช่นนี้ทำไมถึงกล้า แต่พอจะทำถูกต้องกลับกลัว เป็นเหมือนกันหมดเลยวงการตำรวจไทย กล้าทำผิด แต่ไม่กล้าทำให้ถูกต้อง

ส่วนที่ถามว่าเปลี่ยนแปลงอย่างไร คงไม่ต้องให้ใครมาเล่าให้ผมฟัง ผมเชื่อว่าดูจากคนที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในตอนนี้ ไล่ลำดับลงไปเรื่อยๆ ลองดูรายชื่อแล้วเราจะฝากความหวังกับพวกเขาได้อย่างไร

คนเก่งๆ ที่มีคุณธรรมเยอะแยะ ไม่มีทางเติบโตได้ ถ้าคนพวกนี้ยังอยู่ แต่อย่างน้อยที่สุด ผมก็หวังให้พวกเขาสำนึกและทำอะไรให้ประชาชนเห็นบ้าง ถ้ายังนึกห่วงใยประชาชนอยู่ ก็ขอให้เห็นการทำงานบ้าง อย่างที่ท่านพุทธทาสภิกขุบอกว่า คุณทำงานก็เหมือนคุณได้ช่วยคนได้เยอะแล้ว แต่ถามว่าเขาทำกันรึเปล่าเท่านั้นเอง

แต่คุณปวีณยังยืนยันแน่นอนใช่ไหม ว่าหากถึงเวลาที่เหมาะสม คนไทยจะได้เห็น ‘ปลาตัวใหญ่’ และตอนจบของคดีค้ามนุษย์

 จะไปให้ถึงตอนจบคงต้องพึ่งองค์ประกอบในหลายส่วน ถึงจะเรียกว่าเวลาที่เหมาะสม มันจึงจะสำเร็จ หากไม่มีสิ่งประกอบที่เหมาะสมก็เป็นการยากที่จะทำสิ่งเหล่านี้ให้สำเร็จได้ ยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าไร พยานหลักฐานก็อาจบกพร่อง หายไป ยิ่งในประเทศไทยด้วยโอกาสที่หลักฐานจะสูญหายตามกาลเวลายิ่งเป็นไปได้มาก ต่างจากต่างประเทศ เป็นคดี 20-30 ปี เขารื้อฟื้นกลับมาได้ แต่เป็นเมืองไทยเพียงช่วงระยะเวลารัฐบาลเดียว หลักฐานก็หายไปหมดแล้ว

The Momentum เลือกให้คุณปวีณเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของปีนี้ และเป็นบุคคลที่สร้างแรงกระเพื่อมกับสังคมไทย คุณรู้สึกว่าตัวเองเป็นเช่นนั้นไหม

ผมยังนึกอยู่ว่าเป็นไปได้หรือ ด้านหนึ่งเราคิดตลอดว่าเรายังลำบากขนาดนี้จะไปสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมไทยได้อย่างไร แค่เอาชีวิตรอดมาถึงวันนี้ก็บุญโขแล้ว แต่ดีใจที่ยังมีคนมาพูดถึงและให้เราเป็นตัวแทนของคนที่กล้าออกมาเปิดเผยสิ่งที่อยู่ใต้พรม

สมัยที่ผมทำงาน มีแต่ก้อนอิฐที่ถาโถมเข้ามาจากคนในวงการเดียวกัน แต่ผมยังยึดมั่นว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าคำตอบของสิ่งเหล่านี้คือก้อนอิฐและคำด่าที่ถาโถมเข้ามาก็ตาม ตอนนั้นผมคิดเสมอว่าหากทำเรื่องนี้จบก็จะขอเกษียณไปเงียบๆ แต่ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามนั้น

ในช่วงแรกที่มาที่นี่ เงินที่สะสมไว้หายเกลี้ยง ภาษาต้องมาเรียนใหม่ มองรอบกาย ข้างๆไม่มีใคร ผมเลยไม่มั่นใจว่าคนอย่างผมจะกลายเป็นแรงกระเพื่อมของสังคมได้จริงหรือไม่ ผมไม่รู้ว่าบรรยากาศในประเทศไทยวันนั้นเป็นอย่างไร ที่รังสิมันต์ โรม พูดในสภาฯ รวมถึงหลังสารคดีของอัลจาซีราเผยแพร่ออกไป

แต่ในขณะเดียวกัน ผมไปอ่านก็มีคนสงสัยว่า ไอ้ปวีณคนนี้โกหกรึเปล่า ไอ้นี่ไม่ได้อยู่ออสเตรเลียจริง เป็นต้น ผมก็ได้แต่สงสัยนะว่าทำไมเขาถึงถามแบบนี้ หลายครั้งหลายหนก็ไปขุดเรื่องต่างๆ ที่ผมเคยทำคดีในหลายที่ขึ้นมา แต่ผมคงไม่ไปตอบโต้อะไร เพราะสุดท้ายหลักฐานก็เห็นกันเป็นที่ประจักษ์

ผมคงไม่ถือว่าตัวเองสร้างแรงกระเพื่อมได้มากมาย แต่ก็ดีใจที่ยังมีคนสนใจและติดตาม ไม่ให้เรื่องการค้ามนุษย์เงียบหายไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ๆ ที่ต่างให้ความสนใจและตอบรับเป็นอย่างดี

รู้สึกอย่างไรกับการที่คนรุ่นใหม่หลายคนอยากย้ายประเทศ ไม่อยากอยู่เมืองไทย

ผมไม่แปลกใจเลยที่คนรุ่นใหม่ๆ เขาอยากจะย้ายประเทศมา เมื่อก่อนผมไม่เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ แต่เมื่อต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของพลเมืองประเทศนี้ พบว่าประเทศออสเตรเลียเป็นรัฐสวัสดิการที่ค่อนข้างจะติดอันดับโลก การได้รับค่าตอบแทนจากการทำงานล้วนสมเหตุสมผล อนาคตที่จะสร้างมีโอกาสมากกว่าเมืองไทยมาก

คงต้องบอกว่าเมืองไทยตอนนี้น่าสมเพช โดยเฉพาะคนรุ่นผมที่เป็นผู้นำประเทศที่ได้สร้างอนาคตอันมืดดำให้กับคนรุ่นใหม่ จนกระทั่งมองไม่เห็นแม้แต่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มันจึงเกิดปรากฏการณ์ที่เด็กๆ หรือวัยไหนก็แล้วแต่เขาอยากแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า ไม่มีหรอกที่เขาจะอยากอยู่ในที่ดักดาน อยู่ในที่ที่มันไม่มีอนาคต มองไม่เห็นอะไรเลยที่จะดีขึ้น ยิ่งผมมาอยู่ที่นี่ยิ่งตอกย้ำให้เห็นเลยว่า แม้ออสเตรเลียอาจไม่ใช่ประเทศที่สมบูรณ์ ยังมีอะไรอีกมากที่ไม่ดี แต่อย่างน้อยสิ่งที่ไม่ดีก็ยังดีกว่าเมืองไทยไม่รู้กี่เท่า

แต่คุณปวีณก็คงยังคิดถึงบ้านอยู่ใช่ไหม

คำถามนี้คงไม่ต้องถามอีกแล้ว ผมตอบทีไรผมก็อยากจะร้องไห้ทุกที เพราะทุกวันนี้สิ่งนี้เป็นทั้งความหวังและความฝัน ที่ทำให้ผมยังคงสู้ต่อไปในฐานะผู้ลี้ภัย ไม่ให้ผมยอมแพ้ ไม่มีวันไหนที่ผมไม่คิดถึง

อะไรคือสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทำให้คุณยังมั่นคง เข้มแข็ง

ครอบครัวสำคัญที่สุดที่เป็นผู้ให้กำลังใจ และผมต้องขอบคุณพวกเขาทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นภรรยา ลูกๆ และทุกคน พวกเขาไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ทุกคนต่างสนับสนุนสิ่งที่ผมทำ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรก็ตาม นั่นคือกำลังใจที่ดีที่สุดที่ทำให้ผมยึดมั่นทำในสิ่งที่ถูกต้องมาทั้งชีวิต

ถ้าคุณสามารถมอบของขวัญสักอย่างให้คนไทยได้ สิ่งนั้นคืออะไร

ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง หายใจยาวๆ มีชีวิตอยู่รอวันที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และรอให้เด็กๆ ในวัยนี้เติบโตไปในวันข้างหน้า นี่คืออนาคตของโลก ไม่ใช่อนาคตในยุคของคนรุ่นผม

เมื่อก่อนครูจะบอกว่าเด็กๆ เป็นอนาคตของชาติ ในวันนั้นเราอาจจะยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร แต่ในวันที่ตัวเองมีอำนาจ มีความรู้ หลายสิ่งต้องพึ่งพาการตัดสินใจที่อยู่ในมือของคนเหล่านี้ พวกเขาจึงหมายถึงอนาคตของชาติ อนาคตอยู่ในมือของคนรุ่นใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น

พวกผมนับวันมีแต่จะถอยหลัง มีแต่คนรุ่นใหม่เท่านั้นที่จะเป็นอนาคตของประเทศ ผมหวังจากคนรุ่นใหม่ที่มีพลังที่กล้าหาญพอจะมาเปลี่ยนสังคมและประเทศ ไม่ต้องฝากความหวังตำรวจคนกล้า นายกฯ คนดี หรือนายทหารผู้ซื่อสัตย์ คนรุ่นนี้อาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน แต่เด็กๆ ที่เขาโตขึ้นมานี่ต่างหากคือความหวัง และเป็นความสุขของคนรุ่นผมที่จะหวังเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น

ของขวัญเหล่านี้ไม่ต้องขอจากใคร แต่ให้ขอจากตัวเองก็เพียงพอแล้ว

สุขสันต์วันปีใหม่ครับ

Fact Box

  • พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ รับราชการตำรวจมาตลอดชีวิต พร้อมรางวัลเกียรติคุณมากมายจากการปฏิบัติหน้าที่ อาทิ พนักงานสอบสวนดีเด่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 ปีซ้อน, รางวัลที่ 1 โรงพักต้นแบบ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องมาศึกษาเป็นกรณีพิเศษ ขณะดำรงตำแหน่งผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรกะทู้ จังหวัดภูเก็ต และผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ตและอีกมากมาย
  • พลตำรวจตรีปวีณจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 35  รุ่นเดียวกับ พลตำรวจเอก ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล นั่นทำให้เขาเป็นรุ่นพี่พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ซึ่งจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 36 หนึ่งปี
  • คดีค้ามนุษย์โรฮีนจาคือคดีสุดท้ายคือ และในปัจจุบัน กลุ่มผู้กระทำหรือ 'ปลาตัวใหญ่' ที่เขาคิดว่ายังคงลอยนวลอยู่ ทำให้ชีวิตของเขาจากนายตำรวจน้ำดีมีอนาคต สู่การเป็นผู้ลี้ภัยนับตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบันน
  • ปัจจุบัน พลตำรวจตรีปวีณได้รับสัญชาติออสเตรเลียเป็นที่เรียบร้อย และสามารถใช้ชีวิตอยู่ในฐานะพลเมืองของประเทศออสเตรเลียอย่างถูกต้องตามกฏหมาย แต่ถึงอย่างไรทั้งความหวังและความฝันของเขาคือการได้กลับบ้านมาอยู่ในประเทศไทย
Tags: , , , , , ,