ย้อนกลับไปห้วงเวลานี้เมื่อ 14 ปีที่แล้ว บริเวณย่านกลางเมืองอย่าง ‘แยกราชประสงค์’ เป็นพื้นที่การชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เพื่อขับไล่รัฐบาลภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลที่ถูกตั้ง ‘ขัด’ กับหลักการประชาธิปไตย และในเวลาต่อมา กลายเป็น ‘พื้นที่สังหาร’ เมื่อรัฐบาลตัดสินใจ ‘กระชับพื้นที่’ นำมาสู่ความสูญเสียของ ‘คนเสื้อแดง’ กว่า 87 คน เหตุการณ์ดังกล่าวจึงนับว่าเป็น ‘การสังหารโหด’ ใจกลางเมืองที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชน 

จวบจนวันนี้ แม้จะปรากฏหลักฐานหลายประการว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุ แต่กระบวนการยุติธรรมก็ยังไม่สามารถเอาผิดใครได้สักคน

ผ่านมา 14 ปี สถานการณ์หลายอย่างเปลี่ยนไป พรรคเพื่อไทยที่เคยเป็นฐานที่มั่นของ ‘คนเสื้อแดง’ ตัดสินใจข้ามขั้วไปจับมือกับพรรคฝ่ายอนุรักษนิยม ในเวลาเดียวกับที่ความกระตือรือร้นในการค้นหาความจริง หาผู้กระทำผิดในเหตุการณ์ดังกล่าวก็ค่อยๆ หายไป

ขณะเดียวกัน คนเสื้อแดงจำนวนไม่น้อยก็ตัดสินใจทิ้งพรรคเพื่อไทย ข้ามไปอยู่กับพรรคก้าวไกล ที่พวกเขาเห็นว่าต่อสู้กับ ‘อำมาตยาธิปไตย’ ได้ตรงประเด็นมากกว่า และในเวลาเดียวกัน ขบวนการคนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็แตกเป็นเสี่ยงๆ จากเดิมที่ผนึกกันเหนียวแน่น

ที่น่าสนใจก็คือในเวลา 14 ปี นอกจากคนเสื้อแดงจะเปลี่ยนแล้ว ‘แกนนำ’ ก็เปลี่ยนไปด้วย และในบรรดาคนที่ถูกมองว่าเปลี่ยนมากที่สุดคือ จตุพร พรหมพันธุ์ หนึ่งในแกนนำคนสุดท้ายที่อยู่ ณ เวทีราชประสงค์ ในวันสลายการชุมนุม ที่วันนี้กลายเป็นคนที่วิจารณ์ ทักษิณ ชินวัตร อย่างเผ็ดร้อนที่สุด

ในวาระ 14 ปีของการสลายการชุมนุมที่ยังหาผู้รับผิดชอบไม่ได้ The Momentum ชวนจตุพรนั่งทบทวนการต่อสู้ของขบวนการคนเสื้อแดง บทบาทของทักษิณในวันนั้น จวบจนวันนี้ที่จตุพรมองว่าทักษิณ มองคนเสื้อแดงเพียง ‘วัสดุใช้แล้วทิ้ง’ และอนาคตของการต่อสู้บนท้องถนน ในวันที่ ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ แตกเป็นเสี่ยงๆ

เสียงจากนอกประเทศ ‘แทรกแซง’ การชุมนุม

หากจำกันได้ ก่อนการสลายการชุมนุม 19 พฤษภาคม 2553 หลายวัน ป้อมค่ายของเสื้อแดงแตกสลาย โดยเฉพาะหลังการลอบยิง พลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 

คำถามสำคัญที่เราชวนจตุพรคิดก็คือ ในวันนั้น การตัดสินใจ ‘ยุติการชุมนุม’ ช้าไปหรือไม่

“ต้องยอมรับว่าเรา (แกนนำ) ไม่ได้นำการต่อสู้อย่างเบ็ดเสร็จ เรามีอดีตนายกฯ ทักษิณ ซึ่งอยู่ต่างประเทศ และเรายังมีคนของท่านที่รับคำสั่งโดยตรง ในระหว่างที่การชุมนุมเริ่มมีแนวความคิดที่แตกต่างกัน ในเวลานั้น แกนนำจำนวนมากก็เห็นควรว่าจะต้องยุติการชุมนุมแล้ว คุณวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. ณ ขณะนั้น ก็ได้ตัดสินใจลาออก 

“ก่อนหน้านั้นไม่นาน เรามีการประชุมกันที่ตู้คอนเทนเนอร์หลังเวที ซึ่งเสียงเกือบทั้งหมดนั้นต้องการให้ยุติการชุมนุม มีเสียงคนหนึ่งก็คือ ผมได้แจ้งกับที่ประชุมว่า แม้ว่าเราจะมีมติเลิกการชุมนุมไป แต่เวทีนี้จะไม่เลิก เพราะจะมีอีกชุดหนึ่งที่รับภารกิจตรงจากอดีตนายกทักษิณ พวกเขาจะมายึดเวทีและนำการต่อสู้ต่อ และแกนนำการต่อสู้ดังกล่าวนั้นจะจบลงที่ความตายมากกว่าเดิม 

“ผมเองก็พูดกับทุกคนว่า ขอให้ทุกคนได้ออกจากเวทีโดยสวัสดิภาพ ผมจะรอส่งประชาชน เหมือนดังเช่นเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 หลังจากถูกสลายที่ราชดำเนิน”

นั่นทำให้การชุมนุมเดินต่อ ท่ามกลางแกนนำบางคนที่ตัดสินใจเดินออกจากที่ชุมนุม ไปอยู่ในเซฟเฮาส์ ไปต่างประเทศ ขณะที่จำนวนผู้ชุมนุมก็น้อยลงเรื่อยๆ

“แต่ท้ายที่สุดก็เดินต่อ ในระหว่างทางนั้นหลายคนก็ได้เดินออกจากที่ชุมนุม ไปต่างประเทศก็มี บางคนมีโอกาสมาร่ำลาผม ผมก็อวยพรให้เขาได้รอดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ผมก็ยังอยู่ในที่ชุมนุมกับหมู่มิตรที่ยังอยู่ ณ เวลานั้น” จตุพรเล่าให้ฟัง

แต่ตัวคุณน่าจะได้รับสัญญาณว่าด้วยการสลายการชุมนุมมาก่อนแล้ว คุณประเมินอย่างไร? เราถามกลับไปยังจตุพร

เขาเล่าให้ฟังว่า ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 วุฒิสภาจัดตัวแทนเพื่อเจรจา โดยให้วุฒิสภาเป็นเจ้าภาพเพื่อจะหาหนทางยุติ และแกนนำ นปช. เองก็ได้แจ้งกับวุฒิสภาว่า ต้องการหยุดความตาย ไม่ต้องการให้มีความตายเพิ่มขึ้นมาอีก

“แต่ว่าระหว่างการแถลงข่าว ในทางการข่าวของผมก็เห็นว่า ได้มีการสั่งการของรัฐบาลในขณะนั้น ให้เคลื่อนกำลังมายังราชประสงค์ทุกทิศทาง และผมได้แจ้งบนเวทีกับวุฒิสภาว่า ที่ท่านเข้ามาเจรจานั้น บัดนี้รัฐบาลไม่ได้เอาตามท่านแล้ว ถัดจากนี้คือการใช้กำลังในการล้อมปราบประชาชน

“ผมได้พูดในการยุติการชุมนุมว่า เหตุที่ต้องตัดสินใจยุติการชุมนุม เพราะความตายที่เพิ่มมากขึ้นนั้น มันไม่ได้เป็นความตายของผมเอง แต่เป็นความตายของพี่น้องที่ร่วมในการต่อสู้ และเชื่อว่าเมื่อกำลังทหารได้เข้ามาถึงเวที พี่น้องที่อยู่หน้าเวทีก็พร้อมจะเอาชีวิตเข้าแลก 

“นั่นคือสิ่งที่ผมไม่อาจที่จะยอมรับได้ จึงตัดสินใจยุติการชุมนุม และก็บอกกับคนเสื้อแดงทุกคนว่า การต่อสู้ยังไม่ได้สิ้นสุด ยังจะต้องต่อสู้กันต่อไป”

ภาพเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553

ทางสองแพ่งของทักษิณ-จตุพร

หลังการชุมนุมของคนเสื้อแดง จตุพรโดนคดียาวเป็นหางว่าว แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยังเป็น ‘คนโปรด’ ของทักษิณคนหนึ่ง ในการเลือกตั้ง 2554 ซึ่งยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จตุพรมีสถานะเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 8 ของพรรคเพื่อไทย เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันช่วยยิ่งลักษณ์ในเกมสภาฯ

และก่อนการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ไม่นาน จตุพรคือคนที่นำเวที ‘คนเสื้อแดง’ ร่วมกันปกป้องรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนนาทีสุดท้าย

แต่จตุพรในปี 2567 เขาคือคนที่วิพากษ์วิจารณ์ทักษิณได้อย่างเผ็ดร้อนทุกคำ แม้คำเรียกของเขาถึงอดีต ‘นาย’ จะเรียกอย่างสุภาพอ่อนโยนว่า ‘ท่านนายกฯ ทักษิณ’ ทุกคำ

แล้ว ‘ทักษิณ’ เชื่อในขบวนการต่อสู้แบบประชาธิปไตยจริงหรือ? เราถามจตุพร

“ผมได้ต่อสู้ในขบวนการประชาชนมาก่อนที่จะรู้กับกับนายกฯ ทักษิณ ผมรู้จักนายกทักษิณวันที่เขาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรมวันแรก แล้วก็ชวนมาพูดที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปัจจุบันก็ร่วม 30 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นแนวทางการต่อสู้ประชาธิปไตย ณ ขณะนั้น ในสิ่งที่คุณทักษิณพูดกับความเชื่อของเรานั้นตรงกัน

ณ วันนี้ หากมองย้อนกลับไป แม้ขบวนการของ ‘คนเสื้อแดง’ 14 ปีก่อน จะมี ‘ทักษิณ’ เป็นผู้นำ และได้รับการสนับสนุนโดย ส.ส.น้อยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย แต่เขาก็ยังเชื่อว่าการต่อสู้เรียกร้องให้อภิสิทธิ์ยุบสภาฯ และข้อเรียกร้องว่าด้วยการต่อสู้กับ ‘อำมาตยาธิปไตย’ นั้น ยังเป็นเรื่องถูกต้อง

แต่จตุพรระบุว่าบางเรื่องเขาก็รับไม่ได้ เช่นการที่ทักษิณตัดสินใจให้ยืดเวลาการชุมนุมออกไป แล้วปรากฏความตายเพิ่ม 

แล้วทำไมเรื่องนี้เพิ่มหยิบยกเอามาพูดในเวลานี้ ในเวลา 14 ปีให้หลัง? เราถามต่อ

อดีตแกนนำ นปช.กล่าวอย่างกระอักกระอ่วนใจว่า ความตายมันทำให้เราปิดปาก มันยากที่จะพูด 

“ท่ามกลางความตาย ความตายร่วม 100 ศพ ทั้งในเหตุการณ์และหลังเหตุการณ์ การพูดอะไรที่กระทบกระเทือนญาติคนที่ตาย ผู้บาดเจ็บ และพี่น้องประชาชนที่ร่วมเป็นร่วมตายนั้น เราต้องใช้ท่วงทำนองอย่างระมัดระวัง เพราะเรื่องหลายอย่างนั้นผมก็สามารถรื้อค้นได้ตามหลัง ว่ามีภาพในเชิงซ้อนมากมาย

“และที่สำคัญที่สุดในท่ามกลางการต่อสู้หรือระหว่างทางนั้น ผมกับอดีตนายกฯ ทักษิณก็เห็นต่างกัน ต่างกรรม ต่างวาระ เพียงแต่ว่าไม่ปรากฎเป็นข่าวเท่านั้นเอง จนกระทั่งว่าต้องแยกทางก็ทุกเรื่องราว ทุกคนที่ร่วมเป็นร่วมตายก็พึงจะต้องรับรู้ ผมเองเห็นว่าตลอดเส้นทางเรามันเหมือนต้อง ‘กลืนเลือด’ ตลอดเวลา

จตุพรยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในบรรดาแกนนำทั้งหลายนั้น ตนเป็นคนที่ถูกดำเนินคดีมากที่สุด แต่ความเจ็บปวดเหล่านี้ยังไม่สามารถเทียบได้กับวีรชนที่บาดเจ็บ ล้มตาย ท่ามกลางการต่อสู้ในสนามรบได้แม้แต่นิดเดียว

“คือในขณะนั้น เราต่อสู้… เราพูดเรื่องโครงสร้าง เราต่อสู้… เราพูดเรื่องความอยุติธรรม เราก็เข้าใจว่าเขา (ทักษิณ) เป็นของจริง ทั้งที่ผมก็ยืนอยู่ในแถวข้างหน้า แต่วันหนึ่งมันไม่ใช่ 

“เพราะฉะนั้นผมก็ยอมรับว่าที่ผ่านมา มันคือการต่อสู้ มันไม่ใช่อยู่ในบริบทการมานั่งจัดรายการโทรทัศน์และมาแบก เราอยู่ในสนามที่มีความตายทุกขณะ ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน มันคือการต่อสู้ที่ไม่ใช่การแบก 

“แต่เราคิดว่ามันคือการร่วมเป็นร่วมตาย แต่ท้ายที่สุดมันไม่ใช่ ประชาชนและพวกเราใครจะตายก็ตายไป เขาต้องรอดเพื่อจะเสพอำนาจและผลประโยชน์สืบไป” จตุพรอธิบาย

วัสดุใช้แล้วทิ้งมูลค่าเพียง 7.5 ล้านบาท

“ประชาชนเป็นเพียงวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้แล้วทิ้ง” คือทัศนะของทักษิณที่มีต่อคนเสื้อแดงในมุมมองของจตุพร

“ประชาชนก็เป็นเครื่องมือหนึ่งทางการเมือง คือเขาจะคิดทุกเรื่อง ใช้เป็นตอนๆ เขาไม่ต้องการจะคบกับใครเป็นนิรันดร์ ซึ่งจะแตกต่างกับเราที่อยู่ในสนามการต่อสู้ มองเห็นความตาย และคิดว่าทุกคนนั้นไม่ควรมีใครจะไปตาย”

ญาติผู้วายชนม์เข้ารับเงินเยียวยาจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ตัวเลข 7.5 ล้านบาทคือ ‘เงินเยียวยา’ ที่รัฐบาลภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เยียวยาให้กับครอบครัวของผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2555 จากเหตุการณ์นับตั้งแต่การรัฐประหาร 2549 มาจนถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงปี 2553

ปัญหาก็คือ แม้จะจ่าย 7.5 ล้านบาท แต่ในทางคดีความ เรื่องกลับไปไม่ถึงไหน ไม่สามารถเอาผิดได้ทั้งผู้ที่สั่งการ วางแผน หรือผู้ที่ลั่นไกสังหารประชาชน

“สำหรับผม 7.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจากภาษีประชาชน มันก็ไม่คุ้มค่ากับชีวิต ที่มันจะคุ้มค่ามากที่สุดมันคือจุดยืนอุดมการณ์การต่อสู้ ซึ่งเขาไม่มี เราก็เข้าใจว่าเขาเป็นนักต่อสู้ แท้จริงเขา (ทักษิณ) ก็เป็นพ่อค้าธรรมดาที่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้นเอง 

“โลกแห่งความเป็นจริงก็มีอยู่เท่านี้ คือหลักคิด เรื่องการเยียวยาก็อีกเรื่องหนึ่งที่ใช้กลไกรัฐ แต่ว่าตลอดระยะเวลามันก็ลุ่มๆ ดอนๆ ในช่วงที่มีอำนาจ เขากลับทำให้การต่อสู้ของประชาชนมันก็เริ่มอ่อนแอลง” จตุพรกล่าว 

ประจักษ์พยานสำคัญคือการเลือกตั้งปี 2562 ที่พรรคอนาคตใหม่เติบโตอย่างรวดเร็ว ได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรกว่า 81 เสียง สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีการขยับของ ‘คนเสื้อแดง’ ออกจาก ‘พรรคเพื่อไทย’ 

“เราได้เห็นร่องรอยต่างๆ และเข้าใจว่าคนที่มาร่วมต่อสู้ จำนวนหนึ่งอาจจะมีความรักกับนายกทักษิณ แต่จำนวนที่มันมากคือทุกคนมีอุดมคติ มีอุดมการณ์ ต้องการให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ไม่มีสองมาตรฐาน ไม่มีอภิสิทธิ์ชนใดๆ ทั้งสิ้น”

ในมุมของจตุพร พรรคเพื่อไทยรู้เรื่องนี้ดี โดยก่อนการเลือกตั้งปี 2566 ไม่นาน พรรคเพื่อไทยถึงกับต้องมีแคมเปญตามคนเสื้อแดงกลับบ้าน โดยมี ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ’ อดีตเกลอเก่าของจตุพรเป็นหนึ่งในหัวหอก นำปราศรัยในทุกเวที

“คำถามก็คือในการเลือกตั้งปี 2566 ก็ใช้แคมเปญ ‘ตามเสื้อแดงกลับบ้าน’ กลับบ้านแล้วอย่างไร? จตุพรตั้งคำถาม

“ท้ายที่สุดก็มาหักหลังเขา ในการจัดตั้งรัฐบาล และที่สำคัญที่สุดนั้นตั้งแต่วันที่ นายกฯ ทักษิณกลับมาไทยวันแรก จนกระทั่งวันนี้ ท่านมีโอกาสได้พูดในแต่ละที่มากมาย ท่านเคยพูดถึงคนเสื้อแดงสักครั้งไหม? เคยทำบุญให้สักครั้งไหม? เคยวางดอกไม้ให้สักครั้งไหม? 

“ผมเชื่อว่ามีประชาชนจำนวนมากที่มีความเจ็บปวด ขณะเดียวกัน ผมว่าสายป่านสุดท้ายของคนเสื้อแดงที่มีอุดมคติ มีอุดมการณ์ สู้ตามความเชื่อ เอาชีวิตเข้าแลก วันที่ 22 สิงหาคม 2566 คือวันสุดท้าย คือ ‘วันตระบัดสัตย์แห่งชาติ’ 

22 สิงหาคม 2566 ที่จตุพรพูดถึง คือวันที่ ‘ทักษิณ’ บินด้วยเครื่องบินส่วนตัวแตะพื้นที่สนามบินดอนเมือง และเป็นวันเดียวกับที่ เศรษฐา ทวีสิน ได้รับเลือกจากที่ประชุมร่วมรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นวันที่ ‘ดีล’ ข้ามขั้วระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ สำเร็จไปด้วยดี โดยที่สมาชิกวุฒิสภายอมโหวตให้กับเศรษฐา

และเป็นวันที่พรรคเพื่อไทยยอมทิ้งสิ่งที่เคยหาเสียงไว้ว่า ปิดสวิตช์ 3 ป. ปิดสวิตช์ ส.ว.เพื่อข้ามขั้วไปจับมือกับฝ่ายตรงข้าม ด้วยเหตุผลว่า ‘ประชาชนรอไม่ได้’ 

ในความคิดของจตุพร นั่นคือการทิ้งอุดมการณ์ การต่อสู้ทั้งหมด รวมถึง ‘คนเสื้อแดง’ ที่ในที่สุดได้กลายเป็นวัสดุใช้แล้วทิ้ง

“เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องการในการต่อสู้กันมานั้น คือความมั่นคงในจุดยืนอุดมการณ์ การออกมาต่อสู้ทั้งหมด การเอาชีวิตเอาไปแลกกับคนที่ไม่ควรจะแลกให้นั้น มันก็ย่อมที่จะเจ็บปวด เพราะในขณะที่เราสู้ เราคิดว่าเขาเป็นของจริง เขาต้องการร่วมเป็นร่วมตาย ต้องการให้บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ

“แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์ ประชาชนเป็นเพียงวัสดุสิ้นเปลืองที่ใช้แล้วทิ้งเท่านั้นเอง” อดีตแกนนำคนเสื้อแดงกล่าว 

ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเพียง ‘ละครฉากใหญ่’

14 ปีที่ผ่านมายังเอาผิดใครไม่ได้ คุณมีความพยายามที่จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร?

จตุพรตอบคำถามนี้ว่า นับตั้งแต่ 22 สิงหาคม 2566 ประกายของความหวังที่จะหาความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตก็ยิ่งริบหรี่ลงไป เมื่อพรรคเพื่อไทยหันไปสมคบกับผู้ปราบปรามประชาชน 

“ทุกอย่าง ทุกหนทาง มันยิ่งยากมากขึ้น จากเดิมที่ยากมากอยู่แล้ว” จตุพรกล่าวสั้นๆ 

“พรรคเพื่อไทยรับปากกับประชาชนว่า จะไปแก้ไขกฎหมาย ทั้งกฎหมาย ป.ป.ช.กฎหมายวิธีพิจารณาความในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ คนที่ตาย สามารถฟ้องตรวจได้ภายใน 100 วัน หลังจากการเป็นรัฐบาล 

“แต่ปรากฎว่าไม่ทำตาม 100 วัน ไปยื่นแก้ไขกฎหมายหลังจากนั้น แต่ว่าก่อนที่นายกฯ ทักษิณออกจากโรงพยาบาลวันเดียว ก็ไปถอนกฎหมายฉบับนี้ออกจากสภาฯ และไม่มีวี่แววว่าจะส่งกลับไป

“เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องผ่าน ป.ป.ช. และ ป.ป.ช.ตีตก การที่จะเอาคนผิดมาดำเนินคดีก็แทบจะปิดประตู และในวันที่ผู้ถูกฆ่ากับผู้ฆ่ามาสมคบคิดกันนั้น ความตายของประชาชนจึงเป็นความตายที่เจ็บปวดมากที่สุด มันไม่สูญเปล่าหรอก แต่มันเจ็บปวด

อดีตแกนนำ นปช.ยังกล่าวว่า ในวันที่ผู้มีอำนาจกลับมาคืนดีกัน มันทำให้เกิดความรู้สึกราวกับว่า ‘พลัดหลงไปในโรงละคร’ แต่ละเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเรื่องจริง กลับเป็นเพียงละครฉากหนึ่งเท่านั้น

“คือความจริง นักการเมือง พ่อค้า คิดแต่เรื่องอำนาจและผลประโยชน์ เราก็เลยกลายเป็นผู้มีปัญหา เพราะเรายังยืนในการต่อสู้” จตุพรระบุ

“เพราะฉะนั้น หลังจากพรรคที่เราสนับสนุนกลับไปมีอำนาจ ผมเป็นคนหนึ่งที่กลายเป็นมีปัญหา วิพากษ์วิจารณ์ผู้บัญชาการทหารบก (พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ผู้บัญชาการทหารบกก็ต้องโทรไปบอกนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็ต้องโทรมาบอกผมว่า “คุณตู่… ปูขอก็แล้วกัน ผบ.ทบ.มาฟ้องปู” ผมก็ได้เตือนทั้งนายกฯ ยิ่งลักษณ์และนายกฯ ทักษิณว่าอย่างไร พลเอกประยุทธ์จะยึดอำนาจ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น พูดต่างกรรม ต่างวาระ

 “ผมเตือนแม้กระทั่งในการปลด พลอากาศเอก สุกําพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ณ เวลานั้นออก ว่าท่านจะโดนยึดอำนาจ เพราะทันทีที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไปนั่งควบเองนั้น คนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตัวจริงนั้นคือพลเอกประยุทธ์ก่อนการยึดอำนาจ ผมก็เตือนว่าคนที่จะมาทำหน้าที่นายกฯ แทนคือพลเอกประยุทธ์ 

เรื่องเล่าที่จตุพรพูดอยู่บ่อยครั้งก็คือ ก่อนการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ไม่นาน ทักษิณสั่งให้ผู้ชุมนุมถอนจากเวทีการชุมนุที่ถนนอักษะ ทำให้วันสุดท้ายเหลือผู้ชุมนุมเพียงหลักร้อย โดยผู้ที่จัดการเรื่องมวลชนร่วมเวทีชุมนุมคือทักษิณ ซึ่งในมุมจตุพรเห็นว่าทักษิณนั้นรู้ล่วงหน้าว่าจะมีการยึดอำนาจ

“การชุมนุมก่อนจะเกิด กปปส.มีคนเพียงหลักพัน แต่พอมีเรื่อง ‘สุดซอย’ ลักหลับในตอนใกล้รุ่งสาง ต่อมาคนก็เต็มท้องถนน และปลายทาง… ผมก็มารู้ภายหลังว่า ก่อนการยึดอำนาจนั้นก็ไปสมคบคิดกันอีก นั่นคือจุดที่รอเวลาแห่ง ‘การแตกหัก’ เหมือนกับว่าผมต้องกลืนเลือดอยู่ตลอดเวลา”

‘โรยรา อ่อนแรง ถูกใช้เป็นเครื่องมือ’ สิ่งที่คนเสื้อแดงต้องเจอ

คำถามสำคัญก็คือ 14 ปีให้หลัง สถานะคนเสื้อแดงยังมีความสำคัญอยู่หรือไม่กับการเมืองไทยที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น

“ถามว่าวันนี้คนเสื้อแดงยังเป็นจุดชี้ขาดอะไรหรือไม่ ถ้ามองแต่ละฝ่ายที่ต่อสู้กันมาโดยตลอดนั้น ผมว่าวันนี้มันข้ามเรื่องสีเสื้อไปแล้ว เพราะแกนนำแต่ละฝ่ายก็ชราภาพ และเหตุการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป มันเป็นเรื่องในแต่ละเหตุการณ์ แต่ละห้วงเวลา ประเด็นในการต่อสู้ บริบทมันเปลี่ยนแปลงไป 

“เพราะฉะนั้นวันนี้ผมว่าเป็นเรื่องถูกกับผิด อย่างที่ผมบอกว่า เราจะเลือกหนทางใดในการต่อสู้ คือถ้าประชาชนยังแบ่งแยกกันเหมือนเดิม ก็เสร็จผู้มีอำนาจ เพราะผู้มีอำนาจต้องการ ‘แบ่งแยกและปกครอง’ ทีนี้ประชาชนมาแบ่งแยกให้เอง มันก็เข้าทางเขา

“วันนี้ประชาชนเดินมาถึงอีกจุดหนึ่งแล้ว มันมีตัวอย่าง แม้กระทั่งการต่อสู้ในปี 2563 ก็ต้องคิดอ่านสถานการณ์ พ.ศ.นั้นกับ พ.ศ.นี้ บริบทมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ผมเชื่อว่าประชาชนที่จะร่วมมือกันในวันข้างหน้า ถ้ามันมีจุดร่วมกันนั้น” อดีตแกนนำ นปช.ระบุ

แล้วเสียดายหรือไม่ที่ขบวนการประชาธิปไตยแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทุกวันนี้ เราถาม?

“ทุกองค์กรสักวันมันก็ต้องแตกสลาย เพียงแต่ ‘คนเสื้อแดง’ มันเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน เมื่อการต่อสู้จางลง ก็เฉกเช่นเดียวกับทุกเหตุการณ์ที่จะมีแต่ญาติผู้วายชนม์เท่านั้นที่จัดงานรำลึก เว้นแต่ปีนั้นเป็นปีการเลือกตั้ง ความสำคัญของผู้สูญเสียจะถูกชุบชีวิตขึ้นมา” จตุพรกล่าว

จตุพรพูดถึงงานรำลึก ‘คนเสื้อแดง’ เมื่อปี 2566 ซึ่งเกิดในห้วงเวลาเดียวกับการเลือกตั้งใหญ่ ในปีนั้น พรรคเพื่อไทยให้ความสนใจส่งแกนนำไปร่วมงานจำนวนมาก

“แต่ในปีนี้ ลองดูเถิดว่า การร่วมงานของคนเสื้อแดง หรือแม้กระทั่ง 17 พฤษภาคม 2535 ปีนี้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว ปีที่แล้วจะคราคร่ำไปด้วยนักการเมือง แต่ปีนี้มันไม่มีเลือกตั้ง นักการเมืองก็จะน้อย คือทุกคนก็จะมองการต่อสู้ของประชาชนเป็นเครื่องมือทั้งสิ้น แต่คนที่อยู่กับความจริงมากที่สุดก็คือญาติวีรชน ซึ่งก็กำลังโรยราตามลำดับในแต่ละเหตุการณ์

“แต่ถ้ามองย้อนกลับไป ผมเชื่อว่าการต่อสู้ของคนเสื้อแดงก็เป็นตำนานหนึ่ง เพราะเป็นการต่อสู้ที่งอกงามระดับประเทศ จังหวัด และอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เป็นความตื่นตัวของประชาชน 

“ผมเคยบอกกับนายกทักษิณช่วงแรกๆ ว่า ท่านเอาสตางค์ของท่านมาน้อยๆ ขอให้เสียงและพลังมาร่วมกันทำงาน เพราะว่าถ้าท่านใช้สตางค์ในการนำการต่อสู้นั้น อย่าว่าแต่เสียงปืนเลย เสียงประทัดนัดเดียวคนก็ไม่อยู่แล้ว 

เพราะฉะนั้น การเดินทัพของคนเสื้อแดงจึงยาวนานเป็นปี เปลี่ยนวัฒนธรรมการปราศรัย จากปกติคนภาคอีสาน คนภาคเหนือ เขาฟังการปราศรัย 19.00 น. ก็กลับบ้านแล้ว แต่ขบวนการคนเสื้อแดงที่ต้องการชุมนุมยืดเยื้อ เขาสามารถฟังข้ามคืนกันได้ 

“ขบวนการคนเสื้อแดงทำให้เห็นว่าการต่อสู้นั้นประชาชนพร้อมที่เอาชีวิตเข้าแลกโดยไม่กลัวความตาย และจุดยืนในทางการต่อสู้นั้นเป็นเรื่องอนาคตของประเทศ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง”

‘บทเรียนของคนที่ตื่นช้า’ ในวันที่ประชาธิปไตยยังมาไม่ถึง

การจากไปของ บุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม สร้างแรงสะเทือนให้กับสังคม คำถามที่เราถามไปยังจตุพร นักเคลื่อนไหวที่เดินเข้าสู่เวทีนี้ตั้งแต่เหตุการณ์ พฤษภาฯ 2535 ก็คือเขามี ‘คำแนะนำ’ อะไรที่จะส่งต่อ

“ผมเข้าใจเขานะ ผมว่าสังคม ณ ปัจจุบัน ความเข้าใจเป็นเรื่องใหญ่ วันนี้ถ้าทุกคนได้คุยกัน ไม่ใช่ผลักกัน สังคมเราเห็นต่างก็เป็นศัตรูแล้ว ผลักกัน ตอนที่มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ทุกครั้งถ้ามีฝั่งหนึ่งฝั่งใดติดคุก ผมก็ออกมาเตือนว่า เราต้องเหลือความเป็นมนุษย์เอาไว้ ไม่ใช่ฝั่งนู้นติดคุกเราเฮ พอฝั่งเราติดคุกฝั่งนู้นเฮ ฝั่งนี้ตาย ฝั่งนู้นเฮ เราจะไม่เหลือพื้นที่ความเป็นมนุษย์อยู่เลย 

“อุทาหรณ์กรณีบุ้ง เพื่อให้เห็นว่าความเด็ดเดี่ยวของเธอนั้น เธอเป็นคนที่เรียนดีมากนะ ได้เกรด 4 ได้ที่ 1 มาจากครอบครัวที่ดี เราก็ผ่านเหมือนเขามาก่อน เขาเป็นคนรุ่นใหม่ เราก็เป็นคนรุ่นใหม่เหมือนเขามาก่อน เราก็เคยสู้ในขณะที่เป็นนักศึกษามาก่อน บริบทบางเรื่องอาจจะมีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นความเข้าใจต่างหากที่จะไปแก้ไขปัญหา และทุกเรื่องคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าต้องกล้าเข้าไปคุยกับคนที่เป็นผู้เยาว์กว่า 

จตุพรยกตัวอย่าง ภูมิธรรม เวชยชัย และนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่วันหนึ่งเคยเป็นแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จับปืนสู้กับรัฐไทย หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แต่ ณ วันนี้ ภูมิธรรมเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และนายแพทย์พรหมินทร์เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สะท้อนว่าวันหนึ่ง เมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนไป สถานการณ์เปลี่ยนไป นโยบายรัฐเปลี่ยนไป ทุกคนล้วนมี ‘โอกาส’ เสมอ

จตุพรหยิบยกเรื่องของภูมิธรรมและหมอพรหมินทร์ เทียบกับ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และอีกหลายคนที่ถูกคุมขังโดยไม่ได้รับสิทธิปล่อยตัวชั่วคราว ขณะที่อีกหลายคนถูกดำเนินคดีด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และอาจมีชะตากรรมต้องเข้าเรือนจำในเร็วๆ นี้ 

“พี่อ้วน (ภูมิธรรม) คุณหมอมิ้ง (นายแพทย์พรหมินทร์) นั่นจับปืนสู้นะ แต่กับเด็กพวกนี้เขาทำอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรเลย

“วันนี้เป็นเพียงความคิดเห็นที่แตกต่าง ทำไมไม่คุยและหาทางออกร่วมกัน คือถ้าผลักกันว่าเห็นต่างกันเป็นศัตรูกันหมด ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นคนไทยเหมือนกับเรา และเรามีความขัดแย้งเรื่องมันเลวร้ายมากกว่านี้ คือที่ผ่านมาบางเวลาคนหนุ่มสาวก็เข้าใจผมคนละอย่าง เพราะผมเตือนในสิ่งที่ผ่านมา แต่ผมเคารพการตัดสินใจของเขาเสมอ ก็คือหมายความว่าในยุคสมัยเรา เราก็ต่อสู้ในแต่ละเหตุการณ์ไม่ได้ต่างกันหรอก 

“ประเทศ ถ้าไม่มีคนหนุ่มสาวลุกขึ้นมาต่อสู้เลย ประเทศนั้นเราจะหาความหวังไม่ได้ มันเป็นเรื่องยุคสมัย มันเป็นเรื่องความหวัง ความเห็นต่างสามารถพูดคุยกันได้ แลกเปลี่ยนกันได้ หาทางออกกันได้ หนักกว่านี้ยังคุยกันได้มาแล้ว เรื่องนี้เล็กมากเมื่อเทียบกับเรื่องที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าคนรุ่นนั้นใจมันใหญ่กว่า คนรุ่นนี้ใจมันขี้หมาเท่านั้นเอง ไม่พร้อมที่จะพูดคุย” จตุพรตอบ

บทสนทนาระหว่างเราและจตุพรเดินทางมาถึงช่วงท้าย เราได้เลือกคำถามที่แสนเรียบง่ายว่า อีกนานแค่ไหนประเทศไทยจะเป็นประชาธิปไตยเฉกเช่นเดียวกับนานาอารยะเสียที

จตุพรนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “นอกจากจะตอบคำถามอันแสนยากเย็นแล้ว สิ่งที่น่าห่วงคือ เรากำลังจะเสียประชาธิปไตยแบบไม่ถึงครึ่งใบแบบนี้ด้วย”

เรื่องที่จตุพรกังวลก็คือเมื่อ ‘ท่านนายกฯ ทักษิณ’เล่นเกมนี้ กลับมามีอำนาจ-แก้แค้น และเริ่ม ‘หักหลัง’ ในดีลอันแสนแพง ฝ่ายตรงข้ามอาจรวมตัวกัน ‘ตลบหลัง’ ทำรัฐประหารอีกครั้ง ตามแบบที่ฝ่ายอนุรักษนิยม ฝ่ายเชียร์ทหาร กำลังยุให้ยึดอำนาจ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

และเมื่อเป็นเช่นนั้น เท่ากับสถานการณ์การต่อสู้หลายสิบปีที่ผ่านมา ต่อสู้จนกระทั่ง ‘ฝ่ายประชาธิปไตย’ สามารถเอาชนะการเลือกตั้งได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแทบไม่มีความหมายอะไร เมื่อทักษิณเอาเสียงของประชาชนไปแลกกับ ‘ดีล’

“บทเรียนที่แสนแพงของประเทศนี้ด้วยความที่เป็นคนที่ตื่นช้าและไม่ทันกับสถานการณ์ ไม่สามารถปกป้องและเข้าใจอำนาจที่ตัวเองมี ความรู้สึกของประชาชนคือการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพียงไม่กี่วินาที หลังจากนั้นก็ปล่อยปละละเลยบ้านเมือง จนกระทั่งว่าถูกยึดอำนาจ และจะไปต่อสู้หรือว่าอย่างไร ได้เลือกตั้งใหม่ ก็เป็นวัฏจักรเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

“เมื่อนักการเมืองและทหารไม่เปลี่ยน ประชาชนก็ควรจะเปลี่ยนตัวเอง คือต้องลุกขึ้นสู้ และจัดการประเทศนี้ด้วยตัวเอง และจะไม่ยอมกลับไปเหมือนเดิมอีก เหมือนกับช่วง 90 ปีที่ผ่านมา” จตุพรกล่าวทิ้งท้ายการสนทนา

Fact Box

  • จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง อดีตผู้นำนักศึกษาในช่วงเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ต่อมาก่อตั้งพรรคศรัทธาธรรมในรั้วรามคำแหง จนกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ‘ตู่ ศรัทธาธรรม’
  • จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นเพื่อนสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง กับบิดาของบุ้ง-เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ ‘บุ้ง ทะลุวัง’ โดยผ่านเหตุการณ์รุนแรงเดือนพฤษภาคม 2535 มาด้วยกัน
  • จตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งในเวลานั้นเป็นอดีตรองโฆษกพรรคไทยรักไทย ได้ร่วมกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และวีระ มุสิกพงศ์ จัดรายการให้กับสถานีโทรทัศน์ PTV ภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และได้กลายเป็นแกนนำคนสำคัญของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ในการชุมนุมใหญ่ปี 2552, 2553 ก่อนที่บทบาทของคนเสื้อแดงจะค่อยๆ จางลง พร้อมกับคดีความจำนวนมากที่ติดตัวจตุพรและแกนนำคนอื่นๆ
Tags: , , , , ,