เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาในศึกการแข่งขันตำแหน่งนายก อบจ.ของแต่ละจังหวัด จังหวัดที่อยู่ในความสนใจของหลายฝ่ายคงหนีไม่พ้นจังหวัดใหญ่ๆ ที่มีการแข่งขันสูงจาก ‘มนต์ขลังทักษิณ-พลังบ้านใหญ่-กระแสส้ม’ เช่น จังหวัดเชียงใหม่, สมุทรปราการ หรือระยอง สนามเหล่านั้นถูกมองเป็น ‘สนามประลองทางการเมือง’ ย่อมๆ ของแต่ละพรรค
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในพรรคที่ถูกจับจ้องมากที่สุดครั้งนี้หนีไม่พ้น ‘พรรคประชาชน’ เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาจะชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2566 แต่การเมืองท้องถิ่นนั้นอาจกล่าวได้ว่า พวกเขายังไม่ช่ำชองนัก เมื่อมองย้อนกลับไปที่การเลือกทั้งท้องถิ่นครั้งที่ผ่านๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งนายก อบจ.ในนามคณะก้าวหน้า เมื่อปี 2563, การเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร (กทม.) ตลอดจนนายกเมืองพัทยา หลายครั้งพวกเขาต้องหอบความผิดหวังกลับไป
เช่นเดียวการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่ทุกคนคาดหวังว่า ‘กระแสสูง’ จากสนามการเมืองใหญ่จะส่งให้พวกเขาคว้าชัยอย่างน้อย 5 จังหวัด แต่สุดท้ายกลับมีจังหวัด ‘ส้ม’ เพียงแห่งเดียว ในจังหวัดเล็กๆ ทางภาคเหนือที่ชื่อว่า ‘ลำพูน’ ทำให้การแข่งขันครั้งนี้พรรคส้มสามารถปักธงได้สำเร็จในการเลือกตั้งท้องถิ่นเสียที
เฮง-วีระเดช ภู่พิสิฐ กลายเป็น ‘ส้ม’ ลูกแรกและลูกเดียวที่คว้าชัยในสนามนายก อบจ.ของพรรคส้ม ในระหว่างที่กำลังเตรียมตัว ‘แต่งตัว’ รับตำแหน่งนายก อบจ. เขาเปิดบ้านซึ่งอยู่หลังโกดัง ‘ไม้ไผ่อัดลำพูน’ ธุรกิจใหญ่ของครอบครัว คุยเรื่องชีวิต วิสัยทัศน์ ความฝัน และความหวังที่จะเห็นจังหวัดเล็กๆ แห่งนี้เปลี่ยนแปลง
ส่วนจะเป็นจริงได้แค่ไหน อีก 4 ปีข้างหน้า ลองย้อนกลับมาอ่านบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ดูอีกครั้ง
เพราะอะไรถึงอยากเข้ามาทำงานการเมืองท้องถิ่น
เราทํางานกับพรรคมาตลอดตั้งแต่สมัยอนาคตใหม่ เราเฝ้ามองจากปัจจัยภายนอกก่อน ถ้าเป็นเรา เราทําได้ดีกว่านายก อบจ.คนก่อนหน้าหรือไม่ นโยบายของเราสู้เขาไหวไหม อีกอย่างคือเรามองเห็นในสิ่งที่เขาไม่เห็นเยอะ เราจึงสนใจอยากมาทํางานตรงจุดนี้ ก็เลยมาลองดูว่า ถ้าเราจะทำให้ลําพูนดีขึ้นทําได้หรือไม่ หากทําไม่ได้ ติดอยู่กับข้อจํากัดอะไร อีกอย่างเรารู้สึกว่า นักการเมืองท้องถิ่นลําพูนเป็นนักการเมืองที่อยู่มานาน เราอยากเห็นการถ่ายเลือดให้กับนักการเมืองรุ่นใหม่ลําพูนบ้าง นี่คือจุดเริ่มต้นในการนำเสนอตัวเองกับพรรค
จริงๆ ผมชอบอุดมการณ์ของพรรคนี้ เพราะว่ามองคนเท่ากัน เราต้องยอมรับว่าคนทุกคนเท่ากัน ผมดูอย่างคุณธนาธร (จึงรุ่งเรืองกิจ) ผมมองเขาเป็นไอดอลเรื่องหนึ่งเลยนะ การวางตัว มีเงินเยอะ มีทรัพย์สินเป็นหมื่นเป็นพันล้าน แต่เวลาเขาอยู่กับประชาชนคือ เขาอยู่ได้ทุกรูปแบบจริงๆ ไปนั่งกินข้าวกลางป่ากับคนอื่น ก็นั่งกินกลางป่า เขาไม่ได้เรื่องมาก
ทำอะไรมาก่อนที่จะเป็นนายก อบจ.ลำพูน หลายคนบอกว่า คุณเป็น ‘บ้านใหญ่’ เพราะคุณพ่อ (โกเก๊า-ประเสริฐ ภู่พิสิฐ) เคยเป็นนายก อบจ.
ก่อนหน้านี้ก็ช่วยงานธุรกิจที่บ้าน ทําไม้อัด ทําห้องเย็น เป็นคนทําธุรกิจทั่วไปที่กลับมาช่วยทําธุรกิจที่บ้าน ไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพลหรือเป็นบ้านใหญ่ ผมไม่ได้เหมือนลูกนักการเมืองคนอื่น ยังใช้ชีวิตแบบโลว์โปรไฟล์เสียด้วยซ้ำ อยากไปไหนก็ไป แต่หลังจากนี้คงต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตพอสมควร
ถามจริงๆ คิดไหมว่าจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้
คิด ในช่วงที่เริ่มลงพื้นที่วันนั้น เราต้องอ่านปัจจัยที่ไม่ใช่แค่ตัวเรากับคู่แข่ง ช่วงหาเสียงแรกๆ คนอาจจะไม่ค่อยรู้จักเรา ซึ่งจุดอ่อนของเราคือตรงนี้ แต่พอเวลาผ่านไปเริ่มรู้สึกว่า กระแสตอบรับจากประชาชนในพื้นที่มันดีขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มคิดว่าน่าจะชนะการเลือกตั้ง
ประกอบกับเลือกตั้งครั้งนี้เป็นศึกตัวต่อตัว เป็นแบบ One on One บังเอิญว่าเราอายุ 37 ปี แต่คู่แข่งอายุ 73 ปี คนลำพูนจึงล้อกันว่า เลือกเอาจะเอา 37 หรือ 73 ข้อหนึ่งมันแสดงให้เห็นว่า เป็น ‘สงครามระหว่างวัย’ ให้ประชาชนลำพูนเลือกว่า จะเลือกคนรุ่นใหม่หรือเลือกคนรุ่นเก่า
คุณรู้สึกกดดันหรือไม่ เพราะเป็นส้ม ‘ลูกเดียว’ ในเวทีการเลือกตั้งท้องถิ่นระดับ อบจ.ทั้งประเทศ
ไม่ได้กดดัน เพราะเรารู้สึกว่า ถ้าเราตั้งใจทํางาน ทำนโยบายแล้วจะส่งผลดีต่อจังหวัด หรือทําการเมืองรูปแบบใหม่ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาสะท้อนปัญหาด้วยตัวเอง ให้ประชาชนมาช่วยกันเขียนนโยบายก็จะทำให้ประชาชนตื่นตัว
พอเป็นการเมืองระดับท้องถิ่นที่ให้ชาวบ้านมาช่วยกันเขียนว่า ถนนบ้านเขาเส้นนี้ไฟไม่สว่าง เกิดอุบัติเหตุบ่อย หรือไฟตรงนั้นตรงนี้มืด คือเขาสามารถสะท้อนมาได้หมดเลย นี่คือการเอาการเมืองท้องถิ่นไปใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้น
ถามว่ากดดันหรือไม่ ผมว่าไม่ได้กดดัน เพราะไม่มีจังหวัดอื่นมาเปรียบเทียบ ณ เวลานี้ ถามว่ามีจังหวัดใดบ้างที่ อบจ.เปิดให้ประชาชนมาระดมความคิดเห็น ก็มีลําพูนที่แรก อย่างแรกคือจุดเริ่มต้นของเราอยากทําให้คนได้เห็นว่า มีพรรคการเมืองนี้แหละที่จะทําการเมืองท้องถิ่นในรูปแบบใหม่
คุณคิดเห็นอย่างไร เมื่อมีคนกล่าวว่า ‘ชนะการเลือกตั้ง ไม่ยากเท่ากันการทำงานจริง’
ชนะการเลือกตั้งคือเราสู้กับตัวเอง เราสู้กับความรู้สึกของประชาชน แต่การทํางานจริง เราสู้กับ ‘ความคาดหวังของประชาชน’ ไม่ใช่แค่ในจังหวัด แต่คือทั้งประเทศและก็สู้กับแรงต้านอีก ต้องเข้าใจว่าการเมืองท้องถิ่น หากเราพูดกันแบบตรงไปตรงมา มันมีเรื่องผลประโยชน์อยู่ ถ้าคุณรู้จักระบบจริงๆ ข้าราชการมีส่วนสําคัญ การที่บริหารงานให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ เรายินดีอยู่แล้ว เพราะที่บ้านผมก็เจ็บปวดกับทางการเมืองมาเหมือนกัน
การทำงานท้องถิ่นเราต้องได้รับความร่วมมือจากข้าราชการด้วย ให้เขาเห็นว่านโยบายนี้จะทําให้ลําพูนพัฒนาจริงๆ หรือนโยบายนี้จะแก้ปัญหาภายในหัวใจคนลําพูนจริงๆ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะจะต้องสู้กับระเบียบ คือเราไม่สามารถเอาเงินไปใช้โดยอิสระ อบจ.จะต้องสู้กับระเบียบ ต้องสู้กับอะไรต่างๆ นานาเยอะมาก
หากฟังเสียงของชาวลําพูน เรื่องไหนคือปัญหาใหญ่
ปัญหาส่วนใหญ่มักจะแบ่งปัญหาเป็น 2 ส่วนคือ ปัญหาที่ได้รับในชีวิตประจําวัน เช่น น้ำประปาไม่ไหล ไฟไม่สว่าง หรือถนนมีขรุขระเกิดอุบัติเหตุบ่อย ก็เป็นพวก Pain Point คือปัญหาพวกนี้เราก็จะจัดการได้โดยดูว่า แต่ละโซนจะเจอปัญหาไหน สมมติเรื่องถนน ก็ต้องมาดูว่าถนนเส้นใดที่เป็นถนนของ อบจ. เราก็ต้องดำเนินการซ่อมก่อน เรียงลำดับความเดือดร้อนจากมากไปน้อย ควบคู่ไปกับการใช้งบประมาณ
อีกประเภทคือปัญหาเชิงประเด็น เช่น ราคาสินค้าเกษตร ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งบางครั้งปัญหาเชิงประเด็นอาจเกินบทบาทหน้าที่ของ อบจ. เราก็ต้องบอกว่า เรายินดีเป็นคนกลางที่จะนําเสนอต่อการเมืองระดับชาติว่า ประชาชนเจอปัญหานี้ ดังนั้นอะไรที่อยู่ในอำนาจ อบจ.เราก็ยินดีที่จะจัดการให้ แต่เราต้องตอบพวกเขาให้ได้ว่า จัดการเมื่อไร ช่วงเวลาใดที่เราจะเริ่มวางแผนการทําพัฒนา
ใน 100 วันแรก ประชาชนชาวลำพูนจะเห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมอะไรบ้าง
ผมว่ามีอยู่ 2 เรื่อง โดยเรื่องแรกคือ ‘เว็บไซต์ อบจ.’ อันนี้ทําได้เลย พร้อมกับระบบ Traffy Fondue ที่เราจะเริ่มเปิดให้ประชาชนใส่ข้อร้องเรียนมากับท้องถิ่นว่าเกิดปัญหาอะไรบ้าง อันนี้คือมันเปลี่ยนแน่นอน ที่ผ่านมาเว็บไซต์ อบจ.อาจจะไม่ได้ให้ความสําคัญกับการพัฒนาเว็บไซต์เท่าไร แต่เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงแน่นอน
เรื่องที่สองคือ เราจะติดตามงานก่อสร้างที่ค้างๆ อยู่ อย่างสนามกีฬากลาง อบจ.ลำพูน คงต้องเรียกมาคุยกันว่า ต้องรีบทําให้มันเสร็จ เพราะประชาชนจะได้ใช้ออกกําลังกายโดยที่รู้สึกปลอดภัยหรืออุ่นใจมากขึ้น
และที่เปลี่ยนแปลงสําคัญคือ นายก อบจ.คนนี้จะเริ่มออกตระเวนเดินสาย เริ่มดูงานไปเรื่อยๆ เราจะหาประเด็นทุกวัน ถ้าวันไหนไม่มีประชุมอะไร เราจะเริ่มออกพบปะชาวบ้านในทุกๆ วัน
ด้วยงบประมาณที่ได้มาปีละ 500 ล้านบาท คิดว่าจะเป็นข้อจํากัดในการทํางานหรือไม่
จริงๆ แล้วถามว่าน้อยไปไหม ที่จะทําให้จังหวัดเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเลย ต้องบอกเลยว่าน้อยไป แต่สําหรับการแก้ปัญหามันไม่มีน้อยหรือมากไป เราต้องบอกว่า ถ้าเรามีเท่านี้ สิ่งที่นายก อบจ.ทําได้คือเราจะหาเงินเพิ่ม
รายได้จาก อบจ.ตรงๆ เลยคือ เก็บภาษีโรงแรมและป้ายทะเบียนรถ อย่างแรกคือ อยากเชิญชวนให้คนลําพูนที่ใช้ป้ายเชียงใหม่กลับมาใช้ป้ายลําพูน ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องอายแล้ว ใช้ป้ายลําพูนเท่จะตาย อันนี้คือช่องทางที่เราจะหารายได้ในการบริหารจัดการ อบจ.เพิ่ม
แต่สิ่งสําคัญที่สุดคือ เราต้องตอบประชาชนได้ว่างบประมาณของเราที่มีอยู่อย่างจำกัด เราจัดสรรไปกับอะไรและมันสามารถแก้ปัญหาอะไรบ้างแล้ว ด้วยทรัพยากรที่มีจํากัด นั้นเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดขนาดไหน ตรงนี้ต่างหากคือหัวใจสำคัญ เราไม่สามารถบอกได้ว่าน้อยไปหรือไม่
ขณะที่เรื่องน้ำประปา เราจะแก้ปัญหา แต่ละเฟสจะแบ่งอย่างไรได้บ้าง หรือเราทําได้มากที่สุดแค่ไหน เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ประเด็นงบประมาณ แต่ก็มีข้าราชการบางส่วนบอกว่า ถ้าทําแบบนี้เสี่ยงติดคุก เพราะผิดระเบียบ เราก็ต้องศึกษาระเบียบให้ถ่องแท้เลยว่า อะไรทําได้ไม่ได้ และถ้าทําได้เราต้องทําอย่างไร
น้ำประปาดื่มได้ ยังมีอยู่ในนโยบายของ อบจ.ลําพูนหรือไม่
อย่างแรกต้องมี Know-How เสียก่อน ต้องดูว่าระบบประปาของแต่ละหมู่บ้านเป็นอย่างไร เรื่องนี้ต้องไปดูหน้างานจริงๆ และการอุดหนุนงบประมาณลงไปนั้นต้องดูว่าจะอุดหนุนผ่านช่องทางใด ถ้าระเบียบเปิดช่องให้ทําได้ ผมว่าโดยเบื้องต้นทําได้ เพราะขนาดเทศบาลตำบลอาจสามารถ จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ทางคณะก้าวหน้าเขาไปทํา ทําไมเขาทําได้ เราที่เป็น อบจ. หากจะผลักดันให้เกิดการพัฒนาเรื่องนี้ขึ้น มันจะเป็นไปไม่ได้หรือ
ในภาพกว้างตลอดระยะเวลา 4 ปีของการบริหาร เราจะวางแนวทางการพัฒนาลำพูนอย่างไร
ผมแบ่งเป็นเฟสอย่างนี้ เฟสแรก โซนพื้นที่ในเมือง เรารู้ว่า คนในเมืองมีทุกอย่างเพียบพร้อม เขาจะไม่มีปัญหาเรื่องไฟไม่สว่าง หรือปัญหาถนนหนทางก็จะมีเล็กน้อยประปราย แต่สิ่งที่เราอยากทําให้เกิดขึ้นคือ ลําพูนต้องมีสวนสาธารณะ ต้องมีพื้นที่ให้เด็กได้เรียนรู้ ผมถึงบอกว่า เราจะต้องพัฒนาสนามกีฬาให้กลับมาใช้ให้ได้ คือต้องใช้ได้ดีและทันสมัย
เฟสที่สอง ภาพรวมรอบนอกเมือง นโยบายเรื่องการเกษตร เราก็จะทําโครงการน้ำเข้าหาสวน คือ อบจ.จะนําร่องวางแผนเลยว่า ในช่วงฤดูฝน เราวางแผนการจัดการน้ำให้ชาวบ้านอย่างไร เขาไม่ต้องไปเถียงกับนาแปลงข้างๆ เพราะ อบจ.จะช่วยวางแผนจัดการน้ำทั้งระบบให้เข้าไปที่สวนได้
เฟสที่สาม การท่องเที่ยว ต่อไปนี้เราต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสคือ ทุกคนก็ไม่ได้รู้หรอกว่า มาเที่ยวลําพูนต้องมาเที่ยวที่ไหน มาอย่างไร เรื่องนี้มันก็ต้องพัฒนาทีละส่วน ดังนั้นเราจะทำ ‘City Data’ รวบรวมแหล่งท่องเที่ยวว่ามีที่ใดบ้าง นักท่องเที่ยวสามารถทําอะไรได้บ้าง จะเดินทางไปอย่างไร สมมติว่านักท่องเที่ยวจะไปอําเภอบ้านโฮ่ง ที่นั่นมีร้านอาหารที่ไหนบ้าง ตรงนี้มันคือพื้นฐานที่ทำให้คนรับรู้ก่อนและการท่องเที่ยวก็จะตามมา จริงๆ ลำพูนมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเยอะ แต่คนไม่ค่อยรับรู้ เพราะฉะนั้นภาพรวมจะค่อยๆ ขยับ
แล้วแนวทางการพัฒนาการศึกษาของจังหวัดเป็นอย่างไร เห็นว่ามีโรงเรียนสังกัด อบจ.เพียง 4 แห่งเท่านั้น
อย่างแรก ผมว่าคนที่จะเห็นภาพคือผู้ปกครอง เพราะเราตั้งเป้าว่า จะพัฒนาโรงเรียนสังกัด อบจ.ให้เป็นโรงเรียนนําร่องในจังหวัด ถ้าผู้นํามีวิสัยทัศน์สามารถทําให้โรงเรียนดีได้ คนที่เห็นผลคือผู้ปกครอง เพราะนักเรียนจะกลับไปบอกพ่อแม่ได้ว่า เดี๋ยวนี้โรงเรียนมีวิชาทางเลือกให้นะ ลูกชอบเล่นกีฬา ขอไปเล่นกีฬา หรือลูกอยากช่วยพ่อแม่จุนเจือรายได้ ก็มีหลักสูตรที่สามารถเรียนไปด้วยทํางานไปด้วยได้ ตรงนี้ เราสามารถทําได้เลย
โรงเรียนในสังกัด อบจ.มีความโชคดีในความโชคร้ายอยู่คือ เป็นโรงเรียนที่อยู่ในอําเภอลี้ ซึ่งเป็นอําเภอห่างไกลที่สุดของจังหวัดลําพูน แต่ถ้าเราสามารถทําให้นักเรียนที่อยู่พื้นที่ห่างไกลได้รับการศึกษาดีๆ เทียบเท่ากับโรงเรียนในเมือง หรือเทียบเท่ากับโรงเรียนในกรุงเทพฯ ได้ เขาก็จะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้ ทำให้โอกาสชีวิตมีมากขึ้น
เข้ามา 100 วันแรกก็เจอปัญหาไฟป่า ในฐานะนายก อบจ.ทําอย่างไรได้บ้าง
เร็วๆ นี้ผมเพิ่งคุยกับทางทีมงานว่า ในข้อบัญญัติของ อบจ.ปีงบประมาณปี 2568 ไม่ได้ตั้งงบเรื่องป้องกันไฟป่าเลย ถ้า กกต.รับรองแล้ว สิ่งแรกเราทําคือ ต้องรีบเปิดสภาฯ และขอแก้ข้อบัญญัติใหม่
อย่างแรกคือ ‘อุปกรณ์’ อุปกรณ์และเทคโนโลยีจะช่วยให้เราสามารถป้องกันคนที่ทําไฟป่าได้ ผมก็ปรึกษาคุณธนาธรว่า ในต่างประเทศเขาจัดการกับปัญหานี้อย่างไร ในเรื่องการวางแนวป้องกันไฟป่า ควรจะต้องมี Mark Point ใช่หรือไม่ และเราจะรีบจัดตั้งทีมอาสา เพื่อไปช่วยกันทําแนวป้องกันไฟป่า ดับไฟ พอเราเข้ารับตําแหน่งแล้วคงต้องวางแผนป้องกันไว้ล่วงหน้า เพราะว่าเราก็มีนโยบายเรื่องป้องกันไฟป่า เช่น ผลักดันให้ปราชญ์ชุมชนเขาวางแนวป้องกันไฟป่าของชุมชนพวกเขาเอง เราเพียงแต่สนับสนุนงบประมาณอุปกรณ์
ด้วยความที่เชียงใหม่เป็นเมืองใหญ่ เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของภาคเหนือ และเศรษฐกิจลำพูนเองก็พึ่งพาเชียงใหม่อยู่มาก คุณจะทำอย่างไรให้ลำพูนมีความคึกคักทางเศรษฐกิจได้บ้าง
พื้นฐานของเมืองสําคัญคือ เรามองในมุมนักลงทุนก็แล้วกัน ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวมาพัก ใครจะมาทําโรงแรม เพราะฉะนั้นต้องกลับไปที่ว่าเราจะทําให้มีแหล่งท่องเที่ยวก่อน เพื่อให้คนเริ่มรู้จัก สิ่งหนึ่งที่ อบจ.ยุคนี้จะพยายามผลักดันคือ เทรนด์การท่องเที่ยวให้กลับไปสู่ในเมืองเก่า ผมขับรถเข้าไปในตัวเมืองลําพูนซึ่งเป็นแหล่งเศรษฐกิจเดิม แต่กลับกลายเป็นว่า 2 ทุ่มก็แทบจะเตะบอลกันกลางถนนได้แล้ว เพราะเมืองมันปิด ขณะที่เชียงใหม่ 2 ทุ่ม รถยังติดอยู่เลย
ส่วนใหญ่ที่ถามว่า ลำพูนพึ่งพาเชียงใหม่หรือไม่ จริงๆ ต้องบอกว่า เชียงใหม่ต่างหากที่พึ่งพาลําพูน พนักงานระดับผู้บริหาร-ระดับผู้จัดการที่ทํางานในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ ไปซื้อบ้านอยู่ที่เชียงใหม่ ข้าราชการทํางานที่ลำพูนก็ไปซื้อบ้านเชียงใหม่ เพราะเขารู้สึกว่าที่นี่ไม่มีอะไรอํานวยความสะดวก แต่ถ้าเรากลับโมเมนตัมให้เป็นเช่นว่า อยู่ลําพูนนี่แหละ สบาย สะอาด สงบ มันก็จะเป็นแรงดึงดูดให้คนหันมาซื้อบ้านที่ลําพูนมากขึ้น
ธนาธร-พิธา-ณัฐพงษ์จะมีส่วนช่วยในการทำงานของ อบจ.ลำพูนอย่างไร
จริงๆ แล้ว พวกเขามาช่วยในสิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดนะคือ ‘องค์ความรู้’ อย่างคุณธนาธร เขามาช่วยดูว่า 700-800 กว่าหมู่บ้านในลําพูน ถ้าต้องทําน้ำประปาควรทำพื้นที่ใดก่อน เขามีองค์ความรู้ว่าเราต้องทําตรงนี้ ตรงนั้น อย่างคุณเท้ง (ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ) เขาเป็นผู้นําฝ่ายค้าน ก็อาจจะต้องมาช่วยลําพูนว่า เอาปัญหาระดับชาติไปพูดแทน ไม่แน่อีกสักหน่อย ปัญหาลำพูนคงจะพูดในสภาบ่อยมากขึ้น
ขณะที่คุณพิธา (ลิ้มเจริญรัตน์) เขาอยากมาช่วยเรื่องการท่องเที่ยวตั้งแต่แรก เพราะว่าตอนที่คุณพิธาไปลงพื้นที่อำเภอลี้ คุณพิธาบอกผมว่า จะมาเป็นทูตเรื่องการท่องเที่ยว ทำให้คนเริ่มมาเที่ยวลำพูนมากขึ้น แต่ก่อนจะพาใครมาเที่ยว ต้องช่วยกันทําบ้านเราให้มันน่าเที่ยวก่อน นี่คือสิ่งที่คุณพิธาจะมาเข้ามาช่วย
หากมีโอกาสสื่อสารไปถึงประชาชนชาวลำพูนว่า ในอีก 4 ปีข้างหน้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง อยากสื่อสารกับพวกเขาว่าอย่างไร
เราตั้งใจว่า เราทําสนามกีฬาที่ให้มันดี ให้ใช้ได้ก่อน ให้มันสะอาด อย่างที่สองคืออยากสัญญากับประชาชนว่า นายกฯ จะรับฟังปัญหาและเดินหาประชาชนทุกหมู่บ้าน ภายใน 4 ปี เพราะเราตั้งใจจะทํา อย่างน้อยขอให้คนลำพูนมั่นใจว่า ‘วันนี้ลำพูนไม่ลำพังแล้ว’ เรามาช่วยกันสร้างบ้านเมืองไปด้วยกัน เพราะเราจะเป็น อบจ.ที่แรกในประเทศไทยที่จะเปิดให้คนมาร่วมเขียนนโยบายด้วยกันได้