“ยูโชคดีมากๆ เลยนะ มาโคเปนเฮเกนในวันที่ฝนตก”
คุณลุงคนขับรถบอกพวกเรา ขณะนั่งรถจากสนามบินไปที่พัก พลางมองมาที่ฉันที่ทำหน้าคิ้วขมวด
“ก็เราเจอลมหนาวมาหลายวัน วันนี้ฝนทำให้อากาศอุ่นขึ้นมานิดนึง”
อาจจริงอย่างที่คุณลุงบอก เพราะฉันเดินออกจากโรงเเรมแบบสบายๆ ไม่ต้องสวมถุงมือแม้อากาศจะแตะที่ 1 องศาเซลเซียส แต่อุ่นที่ว่าก็ยังเย็นยะเยือก ดูได้จากลมที่พัดกิ่งใบไม้หญ้าและผมเผ้าของฉันจนกระเจิง โคเปนเฮเกนในช่วงธันวาคมมีแสงไฟประดับประดาทั่วเมือง ฟุ้งด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองไปตลอดทาง พืชพรรณที่ออกดอกออกผลในช่วงฤดูหนาวตามสวนและริมน้ำต่างๆ ก็พากันอวดผลผลิตออกมาแข่งกับไฟตามท้องถนน
พืชพรรณธรรมชาติและไฟประดับสวยไม่ต่างกัน
กลางวันที่แสนสั้นกับกลางคืนที่แสนยาวนานแบบนี้ การออกไปเดินเล่นในตลาดคริสต์มาสสักหน่อยก็ฟังดูเย้ายวนใจดี ตลาดคริสต์มาสมักมาคู่กับไวน์ร้อน (Mulled Wine) หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมประจำเทศกาลเฉลิมฉลองที่ช่วยคลายความหนาวได้ตั้งแต่จิบแรก แต่ละชาติมีการปรุงรสชาติไวน์ร้อนให้อร่อยแตกต่างกัน อาทิ Gløgg หรือไวน์ร้อนในแถบสแกนดิเนเวีย จะใส่ลูกเกด เมล็ดอัลมอนด์สับ และ ซินนามอนสติ๊กลงไป รสชาติเครื่องเทศกระจายในปากเคล้ากับรสหวานของไวน์ได้พอดีกลบกลิ่นแอลกอฮอล์ชนิดอื่นๆ ที่ผสมมาจนมิด แต่หวาน หอม อร่อยแบบนี้อาจเมาได้ไม่รู้ตัว ในเดนมาร์กจะขาย Gløgg คู่กับ Æbleskiver ขนมหวานรูปลักษณ์เหมือนทาโกยากิ รสชาติคล้ายแพนเค้กแป้งหนาราดหน้าด้วยแยมผลไม้ ไวน์กับขนมหวานอาจฟังดูไม่เข้าท่า แต่ Gløgg และ Æbleskiver นี่มันเข้ากันดีและหาได้ทั่วไปรวมถึงในตลาดคริสต์มาสด้วยค่ะ
อย่างไรก็ตาม โคเปนเฮเกนจำแนกตลาดคริสต์มาสออกเป็น ตลาดขนาดใหญ่ และตลาดขนาดย่อมที่จัดแค่ช่วงสั้นๆ เหมือนงานอีเวนท์ บางที่ก็อาจจะหาของกินได้ยาก และบางที่เปิดให้เข้าชมแค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ต้องขอบคุณโซเชียลมีเดีย ที่ช่วยให้เราค้นหาตลาดเล็กตลาดน้อยเหล่านี้เจอจากการพิมพ์ Julemarked (Christmas Fair) ลงไปด้วยความคิดง่ายๆ ว่า ถ้าเลือกไม่ได้ ก็ไปให้หมด
Gløgg และ Æbleskiver
Free Town Christiania กับตลาดที่แอบซ่อนอยู่
บรรยากาศภายนอกตลาดคริสต์มาสประจำปี
Freetown Christiania หรือเรียกสั้นๆ ว่า คริสเตียเนีย (Christiania) เป็นชุมชนเสรีที่รู้จักกันดีในฐานะ ดินแดนฮิปปี้ใจกลางโคเปนเฮเกน เราไม่ได้พาคุณไป Pusher Street อันเลื่องชื่อหรอกค่ะ แต่เราจะแวะไปที่ตลาดคริสต์มาสประจำปีที่รวมพ่อค้าแม่ค้าชาวคริสเตียเนียไว้ ตัวตลาดจัดอยู่ในที่ร่มมีสินค้าทำมือจากชาวบ้านในชุมชนมาวางขาย ทั้งผลงานจิตรกรรมและหัตถกรรมต่างๆ พร้อมด้วยซุ้มอาหารนานาชนิด ด้วยความสนใจจากคนทั้งเมืองที่แห่มาคริสเตียเนียในวันนี้ตลาดคริสต์มาสในร่มของเราจึงดูแคบมาก ต้องค่อยๆ ขยับทีละซ้ายทีละขวากว่าจะเดินผ่านแต่ละตรอกได้
Ornaments แบบหายาก
สินค้าที่วางขายมาจากชาวบ้าน จึงมีของแปลกให้ค้นหามากกว่าตลาดอื่น ระหว่างเดินเล่นรอบชุมชน แกลเลอรีศิลปะบางแห่งจะกลายร่างเป็นตลาดคริสต์มาสอันเล็กอันน้อย แค่ปล่อยตัวปล่อยใจเดินตามป้ายหรือโปสเตอร์ Julemarked ดูก็จะเจอค่ะ แต่ตลาดบางที่ซ่อนตัวอยู่ชั้นบน ต้องขึ้นบันไดวนไปกว่า 3-4 ชั้น
Julemarked ซ่อนอยู่ในชุมชน
Tivoli กึ่งตลาดกึ่ง Christmas Wonderland
นึกถึงโคเปนเฮเกน ก็ต้องนึกถึงสวนสนุก Tivoli เก่าแก่ใจกลางเมืองที่จำแลงแปลงกายเป็น Winter Wonderland ในช่วงฤดูหนาว เสียงคนกรีดร้องจากเครื่องเล่น น่าจะบอกความสนุกและความหนาวที่พรั่งพรูไปทั่วดินแดนแห่งเทพนิยายแห่งนี้ไม่น้อย Tivoli เป็นหนึ่งในตลาดที่เสียค่าเข้า(ไม่รวมค่าเครื่องเล่นต่างๆ) เป็นตลาดเดียวที่เปิดในช่วงคริสต์มาส และลากยาวไปจนถึงปีใหม่ (ปีนี้ Tivoli เปิด Christmas Wonderland ตั้งแต่ 16 พ.ย. 62 – 5 ม.ค. 63 ) สวนกระแสกับตลาดอื่นๆ ใจกลางเมืองที่ปิดตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม แค่นึกถึงต้นคริสต์มาสกว่า 7 หมื่นต้น และแสงสีสวยรอบกระท่อมไม้น้อยๆ ที่ประดับอยู่ทั่วทั้งสวนก็คุ้มค่ากับ 120 โครนที่เสียไปแล้วค่ะ
คริสมาสต์ใน Tivoli
Strøget ตลาดคริสมาสต์กลิ่นอายเยอรมนี
ในบรรดาตลาดคริสต์มาสทั้งหมดในเมืองโคเปนเฮเกน ตลาดตรงลาน Højbro Plads บริเวณจัตุรัส Strøget อาจใกล้เคียงกับตลาดคริสต์มาสตามธรรมเนียมดั้งเดิมจากประเทศเยอรมนีมากที่สุด ตั้งแต่การจัดร้าน สินค้า ร้านอาหารนานาชนิดที่ยกไส้กรอกเยอรมันรูปแบบต่างๆ มาทั้งพวง อาจมีการโรยหอมเจียวและแตงกวาดองตามสไตล์เดนิชบ้าง แต่ไวน์ร้อนในแต่ละร้านนี่มันตามสูตร Glühwein ของเยอรมนีมาแบบเป๊ะๆ
กลิ่นอายแบบเยอมนีในโคเปนเฮเกน
ด้วยความที่ตลาดตั้งอยู่ใจกลางเมือง มองไปทางซ้ายมีป้าย Louis Vuitton ทางขวามี Hermes และมีเสียงเพลงจากศิลปินสมัครเล่นที่วนเวียนอยู่รอบจัตุรัสให้ฟัง เงยหน้าไปมองบนดาดฟ้าของห้าง IIums Boligus มีร้านกาแฟ Orginal Coffee ที่ชาวเมืองชอบขึ้นไปมองวิวจากข้างบนนั้น ดาดฟ้าสูงจนคนตัวเล็กเหมือนเอลฟ์ใส่ชุดกันหนาว คุณลุงคุณป้าข้างๆ ฉันพูดติดตลกว่าเดี๋ยวสักพักแกสองคนก็จะไปยืนโบกมือลงมาให้นะ
บรรยากาศแบบเยอรมนี ผสมบรรยากาศที่เต็มไปด้วยสิ่งละอันพันละน้อย แบบฮุกกะ (Hygge – ปรัชญาความสุขฉบับเดนมาร์ก) นี่มันเพลินดีจนฉันเผลอทำซอสแกงกะหรี่เลอะใส่เสื้อโดยไม่รู้ตัว
บรรยากาศหน้าลาน Højbro Plads
ตลาดคริสมาสต์ขนาดจิ๋ว ที่ Greenland House
ใกล้กับจัตุรัส Strøget เดินเข้าไปในซอยเล็กๆ เป็นที่ตั้งของ Greenlandoc House หรือชื่อในภาษาเดนิชว่า Det Gronlandske Hus กรีนแลนด์มีความสัมพันธ์กับเดนมาร์กหลายด้าน และประชากรในส่วนมากยังพูดภาษาเดนิช จึงไม่แปลกที่บ้านกรีนแลนด์แห่งนี้ จะเป็นทั้งร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ และศูนย์รวมสมาคมชาวกรีนแลนด์ในเมืองโคเปนเฮเกน
ในบ้านกรีนแลนด์ Det Gronlandske Hus
ตลาดคริสต์มาสประจำปีจะจัดขึ้นแค่สุดสัปดาห์หนึ่งในเดือนธันวาคมเท่านั้น เป็นตลาดเพื่อชาวกรีนแลนด์ จากชาวกรีนแลนด์ และเหมาะกับทุกคนที่หลงรักในความเป็นกรีนแลนด์ (หรืออยากรู้จักกรีนแลนด์เฉยๆ ก็ยังได้) ร้านค้าในบ้านกรีนแลนด์แบ่งออกเป็น 45 แผงโดยประมาณ สินค้ามีตั้งแต่หมวกขนแกะ สร้อยคอ ไปจนถึงแม็กเน็ตติดตู้เย็นรูปสัตว์ทะเลประจำท้องที่ ทั้งยังมีมุมสงบให้ชื่นชมศิลปะและวัฒนธรรมของกรีนแลนด์อีกด้วย
ด้วยเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของคนขาย และสินค้าที่มีเสน่ห์ในราคาที่ดีจนน่าตกใจ อุปสรรคทางภาษาที่เหมือนน้ำแข็งที่กั้นระหว่างฉันกับคนขาย (บางท่าน) ค่อยๆ ละลายไป เช่น เมื่อฉันจะลองเสื้อคลุมตัวหนึ่งแต่มือไม้เต็มไปด้วยกล้องและแก้วกาแฟ คุณป้าเจ้าของร้านก็คว้าไปสวมให้แทนพร้อมฉีกยิ้มเช็คเรตติ้งความถูกใจ เป็นต้น ตลาดคริสต์มาสนี้พิเศษกว่าที่อื่นเพราะมันคล้ายงานเลี้ยงประจำปีที่ ชาวกรีนแลนด์ในโคเปนเฮเกนได้มารวมตัวกัน เสียงทักทายดังก้องไปทั่วทั้งงาน รวมถึงภาพการกอดทักทาย ถ้ามาคนเดียวแบบฉันไม่ต้องกลัวเหงานะคะ เพราะมีมุมกาแฟให้กดทานฟรีๆ ระหว่างคำนวณความเสียหายจากการช้อปปิ้งในครั้งนี้
จากชาวกรีนแลนด์ เผื่อคนที่ชอบและสนใจกรีนแลนด์
Kongens Nytrov ตลาดคริสต์มาสใหญ่ที่สุดในโคเปนเฮเกน
มัวแต่อ้อยอิ่งกับแสงไฟระหว่างทาง จนแสงอาทิตย์โบกมือลาแต่จำนวนคนก็ไม่น้อยลงเลย หากโคเปนเฮเกนมีตลาดขนาดน้อย ก็ต้องมีตลาดขนาดใหญ่ใช่ไหมคะ ฉันขอยกให้ตลาดที่ Kongens Nytrov คว้าตำแหน่งนั้นไปถ้าวัดจากจำนวนร้านค้า ที่รับประทานอาหาร และความหลากหลายของซุ้มต่างๆ และทำเลทองหน้า Hotel d’Angleterre จุดที่ทำให้ใครหลายต่อหลายคนยอมสู้ลมหนาว หันมาถ่ายรูปหน้าโรงเเรมที่ตกแต่งได้สวยงามราวความฝัน และแตกต่างกันไปตามธีมในแต่ละปี โดยปีนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Winter Wonderland ของสแกนดิเนเวียจึงเน้นสีฟ้าและสีขาวเป็นสีหลักในการตกแต่ง
บรรยากาศก่อนพระอาทิตย์ตก ที่ Kongens Nytrov
พระอาทิตย์ตก ลมแรงแบบนี้ คิวหน้าร้านขาย Gløgg และ Æbleskiver ก็ค่อยๆ ยาวขึ้นเป็นเท่าตัว รวมถึงที่นั่งที่เห็นวิวโรงเเรมใต้ฮีตเตอร์อุ่นๆ ก็ยิ่งจับจองได้ยาก (แต่ฉันไวพอจะคว้ามาได้สัก 1 ที่) เสียงประกาศว่าไวน์ร้อนของเราหมดแล้วทำให้แถวทั้งแถวหายวับในพริบตา ด้วยจำนวนร้านค้าและร้านอาหารนานาชาติที่มีอยู่ทั่วทั้งตลาดทำให้ลูกค้าสามารถเดินไปต่อคิวที่ร้านใกล้ๆ ได้แบบไม่ต้องกลัวผิดหวัง ทั้งยังมีอาหารประเภท ฟิชแอนด์ชิพ เนื้อย่าง อาหารไทยไว้ให้บริการอีกด้วย นอกจาก Gløgg แล้ว ในช่วงคริสต์มาส โรงเบียร์ต่างๆ จะออกเบียร์สุดพิเศษสำหรับเทศกาลคริสต์มาสออกมา ถ้าเลือกไม่ถูกลองถามหา Christmas Beer ดูก็ได้ค่ะ และร้อยละ 90 ของร้านค้าในตลาดสามารถชำระผ่านบัตรได้ แต่ถ้าเป็นเงินสดก็ไม่ว่ากัน
ยิ่งมืดยิ่งครึกครื้น
แม้โคเปนเฮเกนจะไม่ใช่ปลายทางในฝันของใครหลายคน ในการมาเดินตลาดคริสต์มาสเหมือนประเทศต้นกำเนิดธรรมเนียมตลาดคริสต์มาสอย่าง เยอรมนีและออสเตรีย (ที่หลายเมืองแถบนั้น เขาจริงจังและคงความดั้งเดิมของ “จิตวิญญาณแห่งคริสต์มาส” ไว้แบบไม่เข้มข้นเราไม่นอนจริงๆ) แต่โคเปนเฮเกนก็มีกิมมิค ชวนให้ชื่นชมสิ่งเล็กๆ รอบตัว ตามสไตล์ฮุกกะ ปรัชญาความสุขของเดนมาร์ก รสชาติของ Christmas Spirit ที่นี่ปรุงออกมาได้เข้ากันได้ดีแบบไม่คิดว่าจะลงตัวขนาดนี้ ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือน Gløgg และ Æbleskiver นั่นแหละ
Fact Box
- God Jul (ก็อค ยูล) แปลว่า สุขสันต์วันคริสต์มาสในภาษาเดนิช เช่นเดียวกับในภาษาสวีเดนและนอร์เวย์
- สำหรับประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (ถึงจะพูดอังกฤษกันได้ทุกคนก็เถอะนะ) เดนมาร์กฉลองคริสต์มาสวันที่ 24 ธันวาคม โดยเป็นวันที่ครอบครัวมักใช้เวลาในการรับประทานอาหารด้วยกัน เรียกว่า JuleFrokost หรือ Julebord ซึ่งหมายถึงมื้อกลางวัน แต่ก็มักจะกินค่อนไปช่วงบ่ายแก่ๆ จัดเต็มทั้งคุณภาพ ปริมาณอาหาร และระยะเวลาในการรับประทานที่ว่ากันว่า บางทีเกิน 7 ชั่วโมงก็มี ยิ่งใกล้เทศกาล บรรดาร้านอาหารจะผุดเมนู Christmas Lunch แบบดั้งเดิมให้เราได้ลองชิมลางบรรยากาศความสุขของการดื่มกินแบบเต็มอิ่มก่อนจะถึงวันคริสต์มาส