การท่องเที่ยวในจีนอาจไม่ปลอดภัยอีกต่อไป เมื่อทางการจีนแอบติดตั้งซอฟต์แวร์บางตัวลงในโทรศัพท์มือถือของนักท่องเที่ยว

กระบวนการแทรกแซงทางข้อมูลของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของประเทศจีนนี้ถูกเปิดเผยออกมา เมื่อนักท่องเที่ยวเปิดเผยร่องรอยของซอฟต์แวร์ที่หลงเหลือในโทรศัพท์ของเขากับสื่อ

ก่อนทีมสืบสวนของสำนักข่าวเดอะการ์เดียนและพันธมิตรระหว่างประเทศจะร่วมกันติดตามกรณีล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งนี้และพบว่าตำรวจตรวจคนเข้าเมืองของจีนจะแอบติดตั้งแอปพลิเคชันบางอย่างในโทรศัพท์ของนักเดินทางที่เดินทางเข้าสู่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ผ่านทางประเทศคีร์กีซสถาน

นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวหลายรายยังเปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ของทางการจีนจะขอให้นักท่องเที่ยวส่งมือถือพร้อมรหัสสำหรับเข้าใช้งานให้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะนำโทรศัพท์หายเข้าไปในห้องราว 1-2 ชั่วโมงและนำกลับออกมาให้ในภายหลัง ซึ่งจากการติดตามดูโทรศัพท์ส่วนมากจะถูกถอนการติดตั้งของแอปฯ ออกไปก่อนส่งคืน แต่ในบางครั้งนักท่องเที่ยวก็พบว่าแอปฯ ยังอยู่ในเครื่องของพวกเขา

โดยแอปฯ ดังกล่าวจะทำหน้าที่ดาวน์โหลดข้อมูลส่วนบุคคลหลายอย่าง ทั้งข้อความ ข้อมูลติดต่อ และประวัติการใช้งานบางอย่างส่งกลับไปที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่หน้าด่าน โดยเฉพาะผู้ที่เข้าเมืองผ่านทางเขตพรมแดน Irkeshtam ซึ่งอยู่สุดเขตตะวันตกของจีนที่มีการหลงเหลือของร่องรอยการติดตามในโทรศัพท์ของนักท่องเที่ยวเป็นประจำ

ขณะเดียวกัน ยังไม่สามารถทราบได้ว่าข้อมูลดังกล่าวถูกดูดออกไปเพื่ออะไรและทางการจีนจะเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้นานแค่ไหน และแม้ว่าจะไม่พบหลักฐานการติดตามข้อมูลภายหลังจากการเดินทางผ่านข้ามแดน แต่ข้อมูลภายในเครื่องก็ยังสามารถใช้ในการติดตามค้นหาตัวตนของเจ้าของเครื่องได้

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์โดยสำนักข่าวเดอะการ์เดียน นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ระบุว่า แอปฯ ดังกล่าวที่ถูกออกแบบโดยบริษัทในจีนจะค้นหาข้อมูลที่ทางการจีนคิดว่าเป็น “ปัญหา”  ซึ่งหมายรวมถึงคำศัพท์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับลัทธิหัวรุนแรง Islamist และคู่มือปฏิบัติการอาวุธ รวมถึงข้อมูลอื่นๆ อย่างการถือศีลอดในช่วงรอมฎอนจนถึงวรรณกรรมของดาไลลามะ และวงดนตรีเมทัลจากญี่ปุ่นชื่อ Unholy Grave 

โดยกระบวนการล่วงละเมิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความเข้มงวดที่จีนมีต่อเขตปกครองตนเองซินเจียง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลจีนได้ควบคุมเสรีภาพในพื้นที่ดังกล่าวโดยการติดตั้งกล้องสำหรับจดจำใบหน้าประชากรมุสลิมทั่วท้องถนนและมัสยิด รวมถึงมีรายงานว่ามีการบังคับให้ประชาชนในพื้นที่ดาวน์โหลดซอฟต์แวร์เพื่อติดตามโทรศัพท์ของพวกเขา

ด้าน Edin Omanović หนึ่งในกลุ่มรณรงค์ด้านความเป็นส่วนตัวระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า “มันน่าตกใจมากที่เพียงแค่การดาวน์โหลดแอปฯ หรือบทความข่าวอาจทำให้ผู้คนต้องเข้าค่ายกักกัน”

เช่นเดียวกับ Maya Wang นักวิจัยอาวุโสของ Human Rights Watch กล่าวว่า พวกเรารู้กันอยู่แล้วว่าผู้ที่อยู่อาศัยในซินเจียง โดยเฉพาะชาวเติร์กและชาวมุสลิมถูกจับตาเพื่อเฝ้าระวังตลอดเวลาและในหลากหลายมิติ แต่สิ่งที่เราพึ่งค้นพบคือแม้แต่ชาวต่างชาติยังต้องพบกับการเฝ้าระวังแบบที่ผิดกฎหมาย

ฝ่ายทางการจีนได้รับการติดต่อจากทีมขอสำนักข่าวเดอะการ์เดียนให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว แต่ไม่มีการตอบกลับภายในเวลาที่ข่าวถูกเผยแพร่ออกมา และก่อนหน้านี้ทางการจีนได้ยกระดับการเฝ้าระวังในซินเจียงด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยอ้างว่าเพื่อรักษาความปลอดภัยในภูมิภาค

ปัจจุบัน ชาวมุสลิมอุยกูร์ยังเป็นประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ซินเจียงและแม้ซินเจียงจะอยู่ภายใต้ชื่อ “เขตปกครองตนเอง” แต่ก็อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างแน่นหนาผ่านเทคโนโลยีและตำรวจจำนวนมาก นอกจากนั้นในช่วงที่ผ่านมายังมี “ค่ายกักกัน” สำหรับชาวมุสลิมอุยกูร์ที่ถูกรายงานว่ามีการใช้ความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายครั้ง พร้อมทั้งมีจำนวนชาวมุสลิมอุยกูร์ที่ต้องอยู่ในค่ายกักกันมากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยชาวมุสลิมอุยกูร์กว่า 80% จาก 3,000 คนที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียมีญาติติดอยู่ในค่ายกักกันของจีน

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากทางการจีนระบุว่ามีผู้คนประมาณ 100 ล้านคนต่อปีที่เดินทางเข้าสู่เขตซินเจียง โดยมีทั้งนักท่องเที่ยวจากในและนอกประเทศ โดยส่วนใหญ่จะเดินทางเข้ามาจากพื้นที่อื่นๆ ในประเทศจีนเอง 

ที่มา

https://www.theguardian.com/world/2019/jul/02/chinese-border-guards-surveillance-app-tourists-phones

http://theconversation.com/explainer-who-are-the-uyghurs-and-why-is-the-chinese-government-detaining-them-111843

ที่มาภาพ: REUTERS/Thomas Peter

Tags: