ไม่ว่าจะนึกถึงอาหารชาติใด ก็ต้องมีอาหารจานไก่อยู่เสมอ เชื่อหรือไม่ว่า ในปัจจุบัน ไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่คนนิยมกินมากที่สุดทั่วโลก นิยมมากกว่าหมูหรือเนื้อวัวเสียอีก การเลี้ยงไก่กลายเป็นอุตสาหกรรมอันดับต้นๆ และวัฒนธรรมการกินไก่มีวิวัฒนาการที่หลากหลายและรวดเร็วจนตามแทบไม่ทัน แต่สิ่งที่คุณอาจไม่รู้ก็คือ บรรพบุรุษไก่ก็ไม่ใช่ไก่ที่คนเลี้ยงอยู่ในบ้านอย่างที่คิด

ไก่เป็นสัตว์ปีกที่อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่อดีตกาล ทั้งบนจานอาหารและหยั่งรากอยู่ในความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ทั่วโลก บรรพบุรุษไก่ก็คือไก่ป่า (Red Junglefowl) ที่อาศัยอยู่ในแถบเอเชียใต้ไปจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจรู้ได้ สำหรับฟอสซิลกระดูกไก่เก่าแก่ที่สุดที่มีการค้นพบทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งมีอายุเก่าแก่ย้อนไปได้ถึง 5,400 ปีก่อนคริสตกาล แต่ด้วยสภาพอากาศของภูมิประเทศแถบนั้นไม่น่าจะเอื้อกับไก่ป่าที่เป็นบรรพบุรุษของไก่ ทำให้สันนิษฐานว่ามันเดินทางมาจากแถบอุษาคเนย์ การติดต่อแลกเปลี่ยนในอดีตคงเป็นสะพานเชื่อมให้บรรพบุรุษของไก่กระจายตัวกันไปอยู่ตามที่ต่างๆ บนโลก เช่นเดียวกับพืชพรรณและสัตว์อื่นๆ อีกมากมาย

ไก่กับความเชื่อ

เริ่มแรก ไก่กลับเป็นสัตว์ที่มีส่วนร่วมกับมนุษย์มากกว่าสัตว์ประเภทอื่นในด้านของจิตวิญญาณ อย่างในสมัยโรมัน ก่อนออกรบจะมีการสังเกตพฤติกรรมของไก่ (หรือเราควรเรียกว่าระกาพยากรณ์) ถ้าไก่เจริญอาหารดีก็แปลว่าศึกนั้นจะมีชัย หากไก่ไม่ยอมกินอาหารก็จะเป็นลางร้ายกันไป ส่วนในอาณาจักรบาบิโลนที่ตอนนี้เป็นพื้นที่แถวๆ อิรัก ก็มีการเคารพบูชาไก่ และยังเผยแผ่ความเชื่อไปสู่อาณาจักรเปอร์เซีย ชาวเปอร์เซียโบราณนับถือศาสนาโซโรแอสเตอร์ (ศาสนาหนึ่งของอิหร่าน) ที่มีความเชื่อตั้งอยู่บนเรื่องของความสว่างและความมืด ชาวเปอร์เซียจึงยกย่องให้ไก่ โดยเฉพาะไก่โต้ง เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันจะขันตั้งแต่รุ่งสางก่อนตะวันขึ้น ไก่จึงเป็นสัญลักษณ์ของการตื่น ทั้งการตื่นจากความง่วงงุนของร่างกาย และการตื่นของจิตวิญญาณพร้อมกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆ สว่างขึ้นในยามเช้า

ในสมัยโรมัน ก่อนออกรบจะมีการสังเกตพฤติกรรมของไก่ (หรือเราควรเรียกว่าระกาพยากรณ์) ถ้าไก่เจริญอาหารดีก็แปลว่าศึกนั้นจะมีชัย

สำหรับชาวยิว ไก่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการให้และการไถ่บาป เขาจะมีประเพณีที่เรียกว่า Kapparot ซึ่งจะทำก่อนวันยมคิปปูร์ (Yom Kippur) หรือวันไถ่บาป ในพิธีไถ่บาปนี้ ชาวยิวจะนำไก่เป็นๆ มาวนรอบหัว ในสมัยก่อนจะใช้ไก่ตัวผู้อย่างเดียว แต่สมัยนี้ก็ใช้ไก่ตัวผู้สำหรับผู้ชายและไก่ตัวเมียสำหรับผู้หญิง ในระหว่างที่จับไก่วนรอบหัวก็จะท่องบทภาวนาว่า นี่คือสิ่งแลกเปลี่ยน นี่คือตัวแทนแห่งข้า นี่คือการไถ่บาป ไก่โต้ง (แม่ไก่) ตัวนี้จักเป็นเครื่องสักการะ ขอสันติสุขและชีวิตยืนยาวจงมีแด่ข้า (This is my exchange, this is my substitute, this is my atonement. This rooster (hen) will go to its death, while I will enter and proceed to a good long life and to peace.) หลังจากนั้นก็นำไก่ไปเชือดและมอบให้กับผู้ยากไร้เป็นมื้ออาหารก่อนยมคิปปูร์ในวันถัดไป

สำหรับบางพื้นที่ พฤติกรรมจิกตีของไก่ก็กลายมาเป็นแหล่งความบันเทิงของมนุษย์ และสืบทอดมาให้เห็นจวบจนปัจจุบันอย่างการแข่งชนไก่ ถึงแม้จะเป็นประเด็นถกเถียงของเหล่านักอนุรักษ์ว่าเป็นการทรมานสัตว์ แต่เลี่ยงจะพูดไม่ได้ว่ามันเป็นประเพณีท้องถิ่นในหลายพื้นที่ทั่วโลก แม้ในอเมริกาได้แบนกิจกรรมชนไก่ไปนานแล้ว แต่ในประเทศอื่นก็ยังมีการฝึกไก่ชน ทั้งแบบถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย รวมถึงบ้านเรา ตามพื้นที่ในชุมชนนอกเมืองก็ยังมีการแข่งชนไก่ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ

ไก่ยังเป็นสัญลักษณ์ถึงความอุดมสมบูรณ์ การเจริญพันธุ์ เพราะไก่ตัวเมียผลิตไข่ได้ทุกวันอย่างที่ไม่มีสัตว์ประเภทใดทำได้ ทำให้มีวัฒนธรรมการนำไข่ไปแขวนในวิหารของอียิปต์ เพื่อขอพรให้น้ำท่าอุดมสมบูรณ์

วัฒนธรรมการกินไก่

การกินไก่ในวัฒนธรรมฝั่งตะวันตกอาจไม่ได้เริ่มมาตั้งแต่แรก เนื่องด้วยความเชื่อที่เห็นว่าไก่ศักดิ์สิทธิ์ หรืออาจจะเป็นเพราะพื้นที่แถบยุโรปและอเมริกาก็ไม่ได้มีการเลี้ยงไก่ หรือมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะกับการเลี้ยงไก่อยู่แล้ว แต่เรากลับนึกถึงวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ที่จะมีเมนูตามประเพณีอย่างไก่งวงอบหรือย่างเป็นจานเด่นให้เห็นกันจนชินตา แต่ความจริงไก่ง่วงคือนก มันคือสัตว์ปีกคนละตระกูลกับไก่ และดั้งเดิมเริ่มแรกแล้ว การเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าก็ไม่ได้กินนก (ไก่งวง) นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าคนเคยเฉลิมฉลองด้วยการกินไก่!

วันขอบคุณพระเจ้าคือการเฉลิมฉลองฤดูเพาะปลูกหรือฤดูใบไม้ผลิ เริ่มต้นจากสมัยที่ชาวอังกฤษเดินเรือมาตั้งรกรากบนแผ่นดินใหม่ในเขตที่เรียกว่านิคมพลีมัธ (Plymouth Colony) ในปี 1620 เมื่อมาถึงทวีปอเมริกาพวกเขาต้องผจญกับฤดูหนาวอันแสนโหดร้าย ผู้แสวงหาแผ่นดินใหม่ครึ่งหนึ่งไม่สามารถอยู่รอดจนได้เห็นฤดูใบไม้ผลิ ด้วยความช่วยเหลือจากชนพื้นเมืองทำให้หนึ่งปีถัดไป ข้าวโพดที่พวกเขาปลูกก็เริ่มออกดอกออกผลงดงาม ผู้แสวงดินแดนใหม่จึงจัดงานเฉลิมฉลองถึงสามวัน ในการเฉลิมฉลองครั้งแรก ผู้คนคงไม่ได้ให้ความสนใจกับอาหารเท่าไรนัก พวกเขาน่าจะให้ความสำคัญที่พิธีการทางศาสนาและคงจะเสิร์ฟไก่หรือกวาง เพราะสามารถหาได้สะดวกในตอนนั้น เรียกว่ามีอะไรให้จับกินได้ก็กินอันนั้นนั่นแหละ

ดั้งเดิมเริ่มแรกแล้ว การเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าก็ไม่ได้กินนก (ไก่งวง) นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าคนเคยเฉลิมฉลองด้วยการกินไก่!

การเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้ากลายเป็นประเพณีของชาวอเมริกันจริงๆ ก็ในช่วงศตวรรษที่ 18 หลายปีหลังจากที่มีสงครามกลางเมือง ประธานาธิปดีอับราฮัม ลินคอล์น เชิญชวนให้ประชาชนทุกคนอ้อนวอนและขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยดูแลคนที่ต้องกลายมาเป็นแม่หม้าย เด็กกำพร้า หรือใครก็ตามที่เจ็บปวดจากสงครามกลางเมือง พวกเขาเปลี่ยนการทำอาหารมื้อสำคัญจากไก่หรือกวางให้กลายเป็นไก่งวง เพราะมันตัวใหญ่กว่าไก่ธรรมดามากๆ รวมทั้งยังหาได้ง่ายกว่า ไก่งวงอบหรือย่างจึงกลายเป็นมื้อใหญ่ๆ หนึ่งมื้อที่กินกันได้ทั้งครอบครัวหรือมากกว่า เพราะในสมัยนั้นไก่งวงหนึ่งตัวอาจมีน้ำหนักได้มากถึง 27 กิโลกรัม ประเพณีกินไก่งวงในวันขอบคุณพระเจ้าจึงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และมันก็ดันอร่อยกว่าโดยเฉพาะเมื่อราดน้ำเกรวี่ ในขณะเดียวกัน ทำเนียบประธานาธิบดีอีกนั่นเองที่ริเริ่มประเพณีปลดเกษียณหรือปล่อยไก่งวงให้กลับไปอยู่ฟาร์มและรอดพ้นการโดนเชือด จากเอกสารของทำเนียบขาว บางแหล่งถึงกับบอกว่าประธานาธิบดีลินคอนน์นั่นเองเป็นผู้มีคำสั่งปล่อย (pardon) ไก่งวงเป็นคนแรก เมื่อปี  1863 ตามคำอ้อนวอนของลูกชาย

ความเชื่อและการกินไก่

สัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของไก่ไม่ได้มีแค่เฉพาะชาวตะวันตกเท่านั้น ทางฝั่งเอเชีย วัฒนธรรมที่มีไก่เป็นพระเอกอย่างเห็นได้ชัดก็คือจีน ไก่เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ความสุขและสมบูรณ์ คนจีนมองว่าคือการรวมตัวกันของมังกรและฟีนิกซ์ คือความเป็นศิริมงคล ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมการไหว้วันตรุษจึงต้องมีไก่ ทั้งบ่งบอกว่าปีที่กำลังหมดไปนั้นเป็นปีที่ดี และขอพรให้ปีที่กำลังจะมาถึงนั้นเป็นปีที่ดีเช่นเดียวกัน

ไก่ต้มที่นำมาไหว้เจ้าจำเป็นต้องอยู่ครบทั้งตัวรวมถึงหัวและเท้า เพราะมันหมายถึงการอยู่กันพร้อมหน้าของครอบครัวและการรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว และต้องไหว้พร้อมกับอาหารมงคลอื่นๆ แต่ในปัจจุบันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ไม่ได้เคร่งครัดแบบสมัยก่อน ได้ยินมาว่ามีบางครอบครัวใช้ไก่ทอด KFC ซึ่งแน่นอนว่าต้องมาเป็นชิ้นๆ ในการไหว้บรรพบุรุษแล้วด้วย

ในงานแต่งงาน ชาวจีนนิยมใช้ตีนไก่ที่มองว่าเหมือนเท้าของนกฟีนิกซ์ เสิร์ฟพร้อมกับอาหารที่แทนค่าเป็นมังกร เช่น ล็อบสเตอร์ เพื่อเป็นมงคลให้มีครอบครัวและชีวิตแต่งงานที่สมบูรณ์ ในขณะที่งานศพก็มีไก่เป็นสัญลักษณ์ในพิธีเช่นเดียวกัน ในแง่ของพลัง ไก่เป็นสัญลักษณ์ของความสว่างและพละกำลัง เรียกว่าเป็นธาตุหยาง แต่ไก่สีขาวจะถูกใช้ในฐานะธาตุหยินที่เป็นจิตวิญญาณของความมืด ขนบหนึ่งในพิธีศพคือในระหว่างที่นำร่างของผู้เสียชีวิตไปยังสุสานหรือฮวงซุ้ย ถือกันว่าเสียงขันของไก่ผู้นำวิญญาณจะช่วยทำให้มั่นใจได้ว่าวิญญาณของผู้ตายจะยังอยู่ที่ร่างหรือสามารถกลับมาที่ร่างได้ หรืออีกขนบหนึ่งก็คือในขณะที่กำลังลดโลงศพลงหลุม จะมีการโยนไก่สีขาวจากฝั่งหนึ่งของหลุมไปอีกฝั่งและลูกชายคนโตจะต้องรับไก่ให้ได้ ถ้าหากว่ารับไม่ได้จะมีลางร้ายมาสู่ครอบครัว หลังจากนั้นจะมีการกินอาหารที่หนึ่งในนั้นก็คือจานไก่ และตั้งอาหารไว้ที่หน้าฮวงซุ้ยของผู้ตายเป็นสัญลักษณ์ว่า วิญญาณของผู้ตายจะไม่ต้องทรมานกับความหิวโหยระหว่างที่เดินทางไปยังสวรรค์

ในงานแต่งงาน ชาวจีนนิยมใช้ตีนไก่ที่มองว่าเหมือนเท้าของนกฟีนิกซ์ เสิร์ฟพร้อมกับอาหารที่แทนค่าเป็นมังกร เช่น ล็อบสเตอร์ เพื่อเป็นมงคลให้มีครอบครัวและชีวิตแต่งงานที่สมบูรณ์

เราอยู่ในยุคที่ทั้งความเชื่อและปากท้องหลอมรวมเข้าด้วยกัน จึงทำให้ไก่ยังคงเป็นสัตว์ที่อยู่คู่บ้านคู่ครัวของคนทั่วโลก เหมือนกับเจ้านายคนขาวที่ก็ต้องพ่ายให้กับไก่ทอดสูตรเด็ดของทาสแอฟริกันอเมริกันจนเป็นหนึ่งในเมนูอาหารยอดนิยม เหมือนกับที่คนเอเชียคลั่งไคล้ไก่ KFC เหมือนเมนูอันดับหนึ่งของเกาหลีอันได้แก่ไก่ทอดราดซอสที่กินคู่กับเบียร์ หรือเหมือนกับที่คนอังกฤษก็รับแกง chicken tikka masala เป็นอาหารประจำชาติไปเรียบร้อยแล้ว เหมือนอาหารจานไก่ต่างๆ ที่แค่ได้กลิ่นก็ทำให้นึกถึงบ้านของคนไทย

 

ภาพประกอบหน้าแรกโดย ปรางวลัย พูลทวี

อ้างอิง:

http://news.nationalgeographic.com/news/2014/12/141221-chickens-civilization-avian-flu-locavore-turkey-ngfood-booktalk/

http://www.businessinsider.com/why-do-we-eat-turkey-on-thanksgiving-2016-11

http://www.smithsonianmag.com/history/how-the-chicken-conquered-the-world-87583657/

Fact Box

สหรัฐอเมริกาเริ่มประเพณีปลดเกษียณไก่งวงเมื่อปี .. 1947  และอดีตประธานาธิปดี จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช เป็นคนประกาศให้เป็นประเพณีประจำชาติในปี .. 1989 ปกติจะมีการปลดเกษียณปีละหนึ่งตัว แต่บารัค โอบามา อดีตประธานาธิปดีสหรัฐได้ทำการปลดเกษียณไก่งวงปีละหนึ่งคู่ นับแต่ปีแรกที่เขาได้รับตำแหน่ง โดยปี 2016 ปีสุดท้ายที่เขารับตำแหน่ง โอบามาปลดเกษียณไก่ง่วงตัวผู้สองตัว โดยตั้งชื่อว่าเท็ทส์และท็อท

Tags: , , , ,