Studio, Art Gallery, Coffee?
เคนเล่าให้ฟังว่าหลังจากลาออกจากการเป็นสจ๊วต ก็ได้ทำอาชีพช่างภาพอิสระอยู่สักพัก ก็ได้เกิดไอเดียอยากทำสตูดิโอ และอาร์ตแกลเลอรีเป็นของตัวเอง ประจวบกับเน้ย ที่มีความฝันอยากเปิดร้านกาแฟมานาน ทั้ง 2 คนจึงตัดสินใจหาที่พื้นที่เช่า จนเลี้ยวผิดมาเจอบ้านหลังหนึ่งติดป้ายให้เช่าในซอยปรีดีพนมยงค์แบบ ‘Out of Nowhere’ จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘House of Nowhere’ นั่นเอง
เน้ยเล่าถึงที่มาของบรรยากาศของร้าน H.O.N. ที่ให้กลิ่นอายเหมือนกับ ‘บ้าน’ นั้น มาจากการที่ว่าตัวเองอยากได้พื้นที่ที่สามารถนั่งเล่น ทำงาน ดื่มกาแฟ และสังสรรค์กับเพื่อนแบบสบายๆ เหมือนอยู่ที่บ้าน ซึ่งก็มีอิทธิพลต่อการตกแต่งร้านของเธอเองอย่างสนุกสนาน ราวกับว่ากำลังแต่งบ้านของตัวเองอยู่จริงๆ
นอกจากบรรยากาศโซนหลักที่ผู้คนผลัดกันเข้ามานั่งอย่างประปราย ชั้นบนของร้านก็เป็นสตูดิโอถ่ายภาพที่สามารถมาเช่าถ่ายได้ และยังมีโซนอาร์ตแกลเลอรีด้านข้าง ที่จัดแสดงผลงานศิลปะต่างๆ ซึ่งจะคอยหมุนเวียนกันมาให้ชมได้ไม่มีเบื่อ แถมยังมีการจัดแสดงภาพถ่ายสตรีทของเคนเองอยู่อีกด้วย
Escape from Reality
ร้าน House of Nowhere นอกจากความรู้สึกเหมือนบ้านที่อบอุ่น แถมกรุ่นไปด้วยเมล็ดกาแฟ ยังให้กลิ่นอายของบ้านยุคกลางศตวรรษ ที่ยังคงความโมเดิร์นไว้พอหอมปากหอมคอ ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจจากแถบสแกนดิเนเวีย ช่วงประมาณปี 1950-1960 เช่น เก้าอี้ Eames Side Shell Chair ของ Charles & Ray คู่รักนักออกแบบชาวอเมริกัน โคมไฟ Louis Poulsen PH5 ที่เปรียบเสมือนตัวแทนเฟอร์นิเจอร์ของประเทศเดนมาร์กที่ออกแบบโดย Paul Hemmingsen และเก้าอี้ DSC 106 ออกแบบโดย Giancarlo Piretti นักออกแบบชาวอิตาเลียน
อีกทั้งเคนและเน้ยก็ยังนำสิ่งของส่วนตัวจริงๆ มาวางเรียงประดับร้าน เช่น กล้องฟิล์ม โปสเตอร์ ภาพถ่าย และนิตยสารศิลปะต่างๆ ซึ่งเพิ่มมิติและชั้นเชิงให้กับบ้านหลังนี้ยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าทุกครั้งที่เงยหน้าชายตาขึ้นมามองรอบตัว ก็จะสังเกตถึงรายละเอียดใหม่ๆ ได้ตลอด
ด้วยความที่เป็นช่างภาพสายสตรีท และมีความหลงไหลในศิลปะมานาน เคนอยากจะให้ใครก็ตามที่เข้ามาภายในร้านนี้ รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาหลุดออกจากโลกภายนอกเข้ามาสู่โลกอีกใบที่สามารถทำให้ใครก็ตามได้มีโอกาสพักผ่อนอย่างสบายใจ ปราศจากความกังวลใดๆ
Homemade that made at home
สำหรับเมนูซิกเนเจอร์ของก็คือ Dirty ที่กำลังเป็นเมนูฮิตของสายคาเฟ่ฮอปปิ้งในยุคนี้ โดยที่เคนเล่าว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟ Dirty มานานแล้ว และยังหา Dirty ได้ไม่ค่อยเยอะในประเทศไทย ก็เลยอยากจะให้เมนูนี้เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน
Dirty – 120 บาท
เมนูนี้มีทุกอย่างที่ Dirty ที่ดีควรจะมี หอม นุ่ม และมัน รสสัมผัสแรกของครีมนุ่มๆ ตามมาด้วยรสชาติกาแฟที่ไม่เข้มจนเกินไป ละมุนใจสุดๆ
Cold Drip Black Coffee: Ethiopia – 180 บาท
กาแฟสกัดเย็น สำหรับแก้วนี้ทางร้านเลือกเป็นเมล็ดจากเอธิโอเปีย ที่จะมีรสสัมผัสเบา ดื่มง่าย มีรสชาติของผลบลูเบอร์รีติดเลมอนนิดๆ ไม่เปรี้ยวจนเกินไป รวมถึงกลิ่นหอมของลาเวนเดอร์ ให้ความสดชื่น เติมพลังในวันที่เหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี สำหรับคอกาแฟที่มีความหลงใหลในเสน่ห์ของเมล็ดกาแฟต่างๆ ห้ามพลาด เพราะว่าทางร้านจะนำเมล็ดกาแฟต่างๆ มาหมุนเวียนให้เลือกสรรกันเรื่อยๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ
Oat Bran Scone – 120 บาท
โฮมเมดสโคนเสิร์ฟคู่กับแยมสตรอเบอร์รีและวิปครีม มีความหอมกลิ่นโอ๊ตมาก รสสัมผัสกรุบๆ แต่ไม่แห้ง และไม่ร่วนเกินไป กินคู่กับกาแฟกำลังพอดี
นอกจาก 3 เมนูนี้ House of Nowhere ก็ยังมีมินิครัวซองต์ ชีสเค้กหน้าไหม้ และดาร์กช็อกโกแลตบราวนี ให้เลือกกินคู่กับกาแฟมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นโฮมเมดทั้งหมดจากมือ
สำหรับใครที่กำลังเหน็ดเหนื่อยจากชีวิตอันเร่งรีบในเมืองใหญ่ ก็อย่าลืมแวะเวียนกันมาพักกายพักใจที่บ้านเพื่อนสนิทหลังนี้ในซอยปรีดีพนมยงค์ ณ House of Nowhere
Fact Box
House of Nowhere
ตั้งอยู่ที่ซอยปรีดีพนมยงค์ 42 แยก 6 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ใกล้กับ BTS พระโขนง
ตัวร้านไม่มีที่จอดรถ หากใครนำรถส่วนตัวมาเองสามารถจอดได้ในซอยด้านใน
เวลาทำการ 11.00-17.00 น. ร้านหยุดทุกวันพุธ