ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับเด็กสาวกลุ่มใหญ่จากวงที่สมาชิกมากถึง 51 คน แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวงไอดอลเกิร์ลกรุ๊ปที่ชื่อ BNK48 ได้สร้างปรากฏการณ์พิเศษในวงการบันเทิงเมืองไทยอย่างมาก กับซิงเกิลเพลงสุดฮิตอย่าง ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ และวัฒนธรรมการพบปะแฟนคลับแบบใหม่จนเป็นที่พูดถึงกันทั่วประเทศตลอด 2 ปีที่ผ่านมา

คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันเยอะกับวงไอดอลสัญชาติไทยที่มีศักดิ์เป็นวงน้องสาวของวงต้นฉบับอย่าง AKB48 ว่าเป็นใครมาจากไหน หลังพวกเธอยกสถานะตนเองเป็นกลุ่มซูเปอร์สตาร์ดวงใหม่ที่ขโมยหัวใจแฟนคลับชาวไทย (โดยเฉพาะหนุ่มๆ) ไปเกือบทั่วประเทศ อันเป็นผลพวงจากความสำเร็จของซิงเกิลเพลงลำดับ 2 ของพวกเธอ Koisuru Fortune Cookie (คุกกี้เสี่ยงทาย) ที่จุดติดอย่างรวดเร็วและฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองจนถูกแฟนๆ รวมถึงศิลปิน ดาราชื่อดัง นำไปคัฟเวอร์ลง โซเชียล มีเดีย อย่างล้นหลาม ด้วยดนตรีสนุกสนานสดใสพร้อมวรรคทองอมตะ ‘ให้คุกกี้ทำนายกัน’ อันกลายเป็นที่จดจำฝังหัวไปเรียบร้อย

กระนั้นเอง ไม่มีความสำเร็จใดที่อยู่ได้อย่างยั่งยืนหากไม่มีการต่อยอดที่ดี BNK48 ก็กำลังเจอสิ่งนั้นอยู่เช่นกัน เพราะหลังจากเพลง ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ หมดกระแสฮิต ซิงเกิลอื่นที่คลอดตามกันมาล้วนไม่ประสบความสำเร็จเท่าเพลงก่อนหน้าเลยทั้ง Shonichi (วันแรก), Kimi wa Melody (เธอคือ…เมโลดี้), BNK Festival, Beginner รวมถึงซิงเกิลพิเศษ River และ JABAJA ที่เปิดตัววันที่ 5 กรกฏาคมที่ผ่านมา

แม้ยอดขายซิงเกิลทั้งหมดจะยังอยู่ในระดับน่าพอใจ พรีออเดอร์กันล้นหลาม แต่ก็ต้องยอมรับสิ่งที่แฟนคลับต้องการมากกว่าคือของแถมที่อยู่ในกล่อง CD อย่างบัตรจับมือ, บัตรถ่ายรูปคู่ 2-Shot หรือบัตรลงคะแนนงานเลือกตั้ง Senbatsu General Election ที่แฟนคลับลงทุนซื้อกันอย่างมหาศาลเพื่อสนับสนุนเมมเบอร์ที่ตัวเองรักมากกว่า (ซึ่งก็ฟันเงินถล่มทลายกว่า 200 ล้านบาท ผู้บริหารยิ้มกริ่มร่ำรวยกันไปเลย) ส่วนซิงเกิลต่างๆ ก็มีเดินสายโปรโมทบ้าง แต่ก็เหมือนทำตามหน้าที่เสียมากกว่า

แม้หลายคนรู้ว่า BNK48 ไม่ได้มีสถานะเป็น ‘ศิลปิน’ แบบ 100% ในวงการดนตรีเมืองไทย เพราะผู้บริหารนั้นตั้งใจให้ BNK48 มีสถานะเป็นดั่งโรงเรียนปลุกปั้นเด็กสาวที่มีความฝันเข้าไปโลดแล่นในวงการบันเทิง แต่การที่พวกเธอเดินสายรับรางวัลต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะสื่อในวงการดนตรีหลายสำนักที่ประเคนรางวัลให้ BNK48 ทั้งศิลปินกลุ่มยอดนิยมแห่งปี, เพลงฮิตยอดนิยมแห่งปี, ศิลปินหน้าใหม่มาแรง ฯลฯ ในเมื่อวงดังมาจากเพลง ดังนั้นคนทั่วไปก็เลยติดภาพว่าพวกเธอเป็นศิลปินนักร้องแบบช่วยไม่ได้  (ขนาด น้องแก้ว พี่ใหญ่ประจำวงยังพูดบนเวทีรับรางวัลแห่งหนึ่งว่าจะพัฒนาตัวเองและเติบโตในฐานะศิลปินที่แท้จริงให้ได้เลย) และโดยธรรมชาติของศิลปินทั่วโลก หากสร้างเพลงฮิตขึ้นมาอีกไม่ได้ ความนิยมก็หดหายเป็นธรรมดา

เมื่อเพลงยุคหลังของ BNK48 ไม่ช่วยให้พวกเธอโด่งดังขึ้นจากเดิม หนทางที่จะทำให้วงยังอยู่ในกระแสธารบันเทิงเมืองไทย เป็นที่พูดถึงกันต่อไปก็คือการส่งเมมเบอร์ในวงไปร่วมงานแขนงต่างๆ เอาเป็นว่าตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเราก็ได้เห็นน้องๆ เมมเบอร์หลายคนขยับขยายไปอยู่ในจักรวาลอื่นเพียบ เช่นภาพยนตร์จอเงินที่เราได้เห็นกันไปแล้วหลายเรื่องอย่าง Homestay (เฌอปราง), Sisters กระสือสยาม (มิวนิค), AppWar (อร), Where We Belong (มิวสิค-เจนนิษฐ์) ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ที่ดีมากๆ จากกลุ่มผู้ชม หรือที่เตรียมเข้าฉายช่วงปลายปี 2019 อย่าง ไทบ้าน x BNK48W ที่วงไปจับมือร่วมงานกับทีมผู้สร้างภาพยนตร์ ‘ไทบ้าน เดอะ ซีรีส์’ ซึ่งเป็นหนังที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มผู้ชมต่างจังหวัด การร่วมงานรอบนี้มองง่ายๆ ก็คือออกไปสร้างฐานแฟนคลับใหม่กับชาวต่างจังหวัด นอกเหนือจากเมืองกรุงที่ยึดพื้นที่ได้แล้ว

ตัดมาที่ละครซีรีส์ มีโปรเจกต์น่าสนใจอย่าง ‘One Year 365 วัน บ้านฉัน บ้านเธอ’ ที่ BNK48 ไปร่วมงานกับ GDH และ นาดาว บริษัทผู้ผลิตซีรีส์ชื่อดังระดับประเทศ โดยมี เฌอปราง กัปตันวงเป็นนักแสดงหลัก ร่วมกับเมมเบอร์น้องๆ ในวงอีก 7 คน ถ่ายทำและรอฉายช่วงปลายปี เช่นเดียวกับฝั่งของ ThaiPBS ที่ทำซีรีส์ ‘ลูกเหล็กเด็กชอบยก’ ที่มีสมาชิก BNK48 ไปร่วมแสดงอีก 3 คน

รวมถึงโปรเจกต์ใหญ่ จับมือกับ Youtuber ชื่อดัง ‘บี้ เดอะ สกา’ ร่วมกันทำคอนเทนต์วีดีโอบันเทิงบนโลกออนไลน์ตามสไตล์ของพวกเขา โดยมีน้องๆ BNK48 ผลัดกันมาร่วมเป็นแขกรับเชิญสร้างสีสัน เป้าหมายของผู้บริหาร BNK48 ออฟฟิเชียล คือหวังได้ฐานแฟนคลับเป็นเด็กๆ เพิ่มขึ้นมาอีก แม้จะเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีกำลังพอจะสนับสนุนสินค้าของที่ระลึกจากวงมาก แต่อย่างน้อยรู้จักกันไว้ก่อนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย อนาคตอยากมี photoset ของวง BNK48 ก็ออกไปหางานพิเศษทำเพื่อเอาเงินมาซื้อเอง

การส่งสมาชิกวง BNK48 ไปผจญภัยดินแดนใหม่ๆ เป้าหมายจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากทำให้วงยังคงเป็นที่พูดถึงในวงการบันเทิงต่อไป เพราะอย่างที่เขียนไว้ข้างต้นเมื่อ ‘เพลง’ ที่เคยเป็นตัวจุดกระแสความนิยมไม่อาจสร้างอิมแพคใดๆ ได้แล้วในปัจจุบัน ก็ต้องดิ้นรนไปทำงานศาสตร์แขนงอื่นเพื่อให้วงยังไม่ถูกลืมหาย พร้อมหาแฟนคลับกลุ่มใหม่ที่ไม่รู้จักหรือสนใจ BNK48 มาก่อนให้หันมารักและชอบวงบ้าง ครั้นจะหากินจากแฟนคลับ (หรือโอตะ) ที่ติดตามกันมานานอย่างเดียวมันก็ไม่อาจเติบโตไปได้มากกว่านี้เพราะฐานก็ยังคงเท่าเดิม แถมช่วงหลังทีมงานหลังบ้านก็สร้างประเด็นบริหารงานผิดพลาดหลายครั้งจนแฟนคลับเอือมระอา เลิกติดตามกันไปก็หลายคน

มาถึงจุดนี้เราคงเรียก BNK48 ในฐานะศิลปินนักร้องแบบ 100% ไม่ได้แล้ว จากการที่วงเดินหน้าไปทำงานอื่นในวงการบันเทิง กระนั้นเองสิ่งที่ต้องระวังคือคอนเทนต์แต่ละตัวที่ออกมาต้องมีคุณภาพที่ดีพอสมควรก่อนปล่อยสู่สายตาคนดู รวมถึงเลือกทำงานกับบุคลากรที่ชื่อมือได้ เพราะด้วยโปรเจกต์เยอะแยะแบบนี้ หากเน้นทำแบบสุกเอาเผากินเหมือนที่ทำห่วยๆ กับสินค้าที่ระลึก คนก็จะรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดและตัววงก็จะมัวหมองไปด้วย หรือต่อให้วงมีประเด็นดราม่าด้านลบจนช่วยให้มีชื่อออกสื่อทุกวัน ทว่าแทนที่จะได้แฟนคลับหรือมีโอชิเพิ่มเติม ก็จะกลายเป็นได้รับคำอุทานว่า โอ้ว ชิ….. (จงเติมคำในช่องว่าง) กลับมาแทนเสียมากกว่า

Tags: