“For God knows that in the day you eat of it, your eyes will be opened and you will be like God,knowing good and evil.”
หลังจากได้รับกระแสการตอบรับอย่างดีจากการปล่อยตอนแรกของซีซั่นนี้อย่าง Bandersnatch ที่สร้างความแปลกใหม่ให้กับซีรีส์ตระกูล Black Mirror เป็นอย่างมาก เนื่องจากได้เปิดประสบการณ์ให้ผู้ชมได้เป็นผู้เลือกเส้นทางให้กับตัวละคร ร่วมตัดสินใจในทุกทางแยกของชีวิตและพร้อมรับทุกความรับผิดชอบของตัวเอง ความว้าวไม่ได้มีแค่แนวทางการชมซีรีส์รูปแบบใหม่ที่ทลายกำแพงระหว่างผู้ชมและตัวละคร หากแต่ยังทวีความดาร์คให้กับเนื้อหาตามสไตล์ Black Mirror ด้วยอารมณ์หม่นๆ ตลอดเรื่อง
แต่เมื่อ 3 ตอนที่เหลือของซีซั่นนี้ได้ออกฉายไปได้ไม่นาน ผู้คนต่างบอกว่า Striking Vipers , Smithereens และ Rachel ,Jack and Ashley too ลดความดาร์คและความเข้มข้นไปจากมาตรฐานเดิมในซีซั่นก่อนๆ รวมทั้งตอนก่อนหน้าอย่าง Bandersnatch ที่ Black Mirror ได้สร้างเอาไว้ แม้ซีซั่นนี้จะลดความดาร์คอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองไป แต่ในตอนแรกของเรื่องอย่าง Striking Vipers ก็ได้นำเสนอประเด็นของเทคโนโลยีและความเป็นมนุษย์ในแบบที่ใครก็คาดไม่ถึง
Striking Vipers เป็นเรื่องราวของเกมต่อสู้ Striking Vipers ที่คาร์ลให้เป็นของขวัญวันเกิดกับแดนนี่ เพื่อนสนิทของตน จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยถ้าเกมนี้เป็นเกม 2D ธรรมดาทั่วไปที่แค่เลือกคู่ต่อสู้และเล่นเป็นรอบเพื่อค้นหาผู้ชนะ หากแต่เกมนี้เป็นเกมที่เพียงติดอุปกรณ์เข้าไปที่ขมับ ผู้เล่นก็จะเข้าไปใช้ชีวิตต่อสู้อยู่ในเกมได้เหมือนจริง โดยเกมจะเลียนแบบความรู้สึกทางกายภาพ ไม่ว่าจะรสสัมผัสใดก็เหมือนจริงทั้งสิ้น
แดนนี่เลือกตัวละครเป็นชายเอเชียรูปหล่อคนหนึ่ง ส่วนคาร์ล เลือกตัวละครเป็นหญิงสาวเซ็กซี่ชาวเอเชีย เหตุการณ์ยิ่งเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม เมื่อเพื่อนชายสุดซี้ทั้งสองคนที่หลุดเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แห่งการต่อสู้กลับไม่ได้ต่อสู้กันภายในเกมอย่างที่ควรจะเป็น แต่พวกเขาเปลี่ยนสังเวียนรบเป็นสังเวียนรักในแบบที่ใครก็ก้าวล้ำไปไม่ถึง เมื่อแดนนี่และคาร์ลในร่างของชายหนุ่มและหญิงสาวที่โลดแล่นอยู่ในเกมการต่อสู้นั้นมีเซ็กซ์กันในทุกครั้งของการเข้าสู่เกม การต่อสู้เป็นเพียงฉากหน้าหรือละครฉากหนึ่งที่หลอกลวงคนในชีวิตจริงว่าเขากำลังเล่นเกมอยู่ แต่ภายในเกมนั้น กลับเป็นสถานที่ปลดปล่อยความเป็นตัวตนของคนทั้งสองโดยไม่ได้คิดถึงสิ่งที่มี หรือสิ่งที่เป็นในโลกแห่งความจริง
ประเด็นแรกที่ทำให้เกิดความขัดแย้งในตัวละครทั้งสอง รวมไปถึงเราเองที่นั่งดูอยู่ด้วยก็คือ เมื่อคาร์ลตั้งคำถามที่ทำให้แดนนี่ต้องฉุกคิดว่าจริงๆ แล้วตัวเขาเป็นเกย์หรือไม่ หากแต่คำถามนี้ก็ยากที่จะหาคำตอบ เพราะในเกมที่เล่นนั้น แดนนี่ใช้ตัวละครผู้ชาย และการมีเซ็กซ์ภายในเกม เขามีเซ็กซ์กับตัวละครผู้หญิง ไม่ใช่ตัวละครผู้ชาย แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง ตัวละครผู้หญิงในเกมนั้นถูกควบคุมโดยคาร์ลเพื่อนชายของเขานั่นเอง ความย้อนแย้งกันระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกเสมือนจริงทำให้การค้นหาตัวตนของแดนนี่ยากขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาคงหลีกหนีไม่พ้นความสงสัยที่ว่าเขาเสพติดเกมนี้ด้วยแรงจูงใจจากคาร์ล หรือตัวละครที่คาร์ลเล่น เขามีเซ็กซ์กับคาร์ลหรือตัวละครของเขามีเซ็กซ์กับตัวละครของคาร์ล ในเมื่อโลกเสมือนในเกมมันให้รสสัมผัสเหมือนจริงขนาดนั้น
ประเด็นยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเมื่อคาร์ลบอกกับแดนนี่ (ซึ่งเลือกตัวละครในเกมเป็นเพศหญิง) ว่าเขาเคยลองมีเซ็กซ์กับตัวละครในเกมตัวอื่นๆ ที่เป็นฝ่ายชาย ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม ก็ให้ความรู้สึกประทับใจได้ไม่เท่ากับที่รู้สึกกับแดนนี่ ความพัวพันและซับซ้อนในประเด็นนี้จึงยิ่งมากขึ้นไปอีกเขาชอบมีเซ็กซ์ หรือเขาชอบมีเซ็กซ์กับแดนนี่ หรือเขาชอบมีเซ็กซ์กับตัวละครที่เป็นหญิงของแดนนี่ และแน่นอนมันมาสู่คำถามข้างต้นที่ว่าแล้วเขาเป็นเกย์หรือไม่
ทั้งเนื้อเรื่องเองที่ตัวละครเลือกเพศตรงข้ามกับเพศในโลกจริงของตัวเอง ก่อนจะไปมีเซ็กซ์กับตัวละครของเพื่อนสนิทในโลกเสมือน จนทำให้เกิดคำถามถึงเพศที่แท้จริงของตัวเอง สะท้อนให้เห็นว่า เพศไม่ใช่แนวคิดที่แบ่งแยกเพศเพียงหญิงหรือชาย หากแต่ ‘เพศ’ กลับกลายเป็นสเปกตรัมที่มีระดับสีหลากหลาย หรือเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงลื่นไหลมากขึ้น ไม่ได้จำกัดเพียงแค่สองขั้วแห่งชายหญิงเท่านั้น Striking Vipers ใช้ประเด็นปัญหาที่สำคัญของเรื่องนี้ตั้งคำถามแก่เราว่า แท้จริงแล้วเพศมันเลื่อนไหลได้เมื่อมีตัวแปรหรือไม่ และใช้สิ่งที่เรียกว่า ‘เทคโนโลยี’ มาเป็นตัวแปรในกรณีนี้
นอกจากประเด็นเรื่องการลื่นไหลทางเพศที่ทำให้เราต้องตั้งคำถามเหมือนกับคาร์ลที่ตั้งคำถามกับตัวเองแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่ Striking Vipers ชวนให้เราหาคำตอบด้วยเช่นกันก็คือ คาร์ลและแดนนี่ถือเป็น ‘ชู้’ กันหรือไม่ ในเมื่อความสัมพันธ์นั้นเกิดขึ้นในโลกเสมือนจริง เกม Striking Vipers ทำให้คนเข้าไปใช้ชีวิตตามแบบที่ต้องการได้โดยไร้ซึ่งกรอบ กฎเกณฑ์และศีลธรรมจรรยาของโลกแห่งความเป็นจริงที่ไม่ได้ตามไปพิพากษาสิ่งที่เกิดขึ้นของคนสองคนในโลกเสมือนจริง แต่ความเหลื่อมซ้อนในกรอบของโลกสองโลกก็ทำให้เกิดปัญหาในการใช้บรรทัดฐานในการตัดสินว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นควรใช้ไม้บรรทัดจากโลกแห่งความจริงมาตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่
โดยเฉพาะเมื่อตอนจบของเรื่อง ภรรยาของแดนนี่รู้เรื่องนี้เข้า แต่ก็ยอมให้แดนนี่และคาร์ลยังคงมีความสัมพันธ์กันในเกมต่อไป ในขณะที่เธอก็แสวงหาความสุขกับชายคนอื่นในโลกแห่งความจริงได้เช่นกัน คู่ความสัมพันธ์ของคาร์ลและแดนนี่ถือเป็นชู้หรือผิดศีลธรรมจรรยาหรือไม่ หรือว่าสิ่งที่ภรรยาของแดนนี่ทำนั้นผิดศีลธรรมจรรยามากกว่า
สิ่งนี้ได้ตั้งคำถามในเรื่องความสัมพันธ์ทั้งคำว่าชู้ หรือแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าครอบครัวผัวเดียวเมียเดียว พฤติกรรมของแดนนี่และภรรยาที่ต่างฝ่ายก็หาความสุขกับคนที่ไม่ใช่คู่ของตนเองภายใต้ความยินยอมเพียงแต่ฝ่ายหนึ่งอยู่ในโลกเสมือนจริงและอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในโลกแห่งความจริงนั้นสามารถเรียกว่าชู้ได้หรือไม่ และความเป็นครอบครัวยังมีความหมายอย่างที่เข้าใจกันหรือไม่ ทั้งยังเป็นครอบครัวผัวเดียวเมียเดียวในแบบสังคมโมโนกามี (Monogamy) หรือเปล่า หรือนี่คือรูปแบบของสังคมโพลีกามี (Polygamy) ที่ยังสามารถยึดโยงคนสองคนไว้ด้วยกันได้
ประเด็นสำคัญของ Black Mirror ในตอนนี้ คือการใช้เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องมือในการตั้งคำถามกับผู้คนเกี่ยวกับ ‘กรอบ’ ของบางสิ่งภายในโลกของเรา ไม่ว่าจะเป็นกรอบของเพศ กรอบของความหมายของความสัมพันธ์ กรอบของความหมายเชิงจริยธรรม กรอบของคำว่าชู้ ซึ่งการตั้งคำถามผ่านเทคโนโลยีนี้ทำให้เราสับสนกับความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ไม่น้อย เพราะเรากำลังมองหาว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก และสาเหตุที่ทำให้เราสับสนนั้น เป็นเพราะ เราได้นำ ‘กรอบ’ ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกที่เราอยู่ในชุดค่านิยมหนึ่ง ไปตัดสินความเป็นไปของโลกเสมือนจริงที่อยู่ในเกม Striking Vipers ดังเช่นที่คาร์ลและแดนนี่กำลังประสบอยู่ ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าสถานที่นั้นเป็นโลกแห่งความจริงหรือโลกเสมือน แต่ปัญหาคือการนำกรอบที่เป็นกรอบหรือแนวความคิด อุดมคติชุดหนึ่งในสถานที่หนึ่ง เข้าไปตัดสินในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งหากถอดเอาประเด็นความเป็นไซไฟของหนัง หรือความเป็นโลกเสมือนของเกมออกไป กรอบที่ว่านี้มันคือสิ่งที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ในสังคมปัจจุบันหรือเปล่า
ไม่เพียงแค่นั้น Striking Vipers ยังพาผู้ชมไปไกลกว่าการตั้งคำถามเรื่องเพศ อัตลักษณ์ ตัวตน ขอบเขตทางจริยธรรม ด้วยการพาเราก้าวออกจากการมองตัวละครเพียงไม่กี่ตัว ให้มองไปถึงโลกที่พวกเขาอยู่อาศัย ซึ่งภายในเรื่องนั้น ได้แสดงให้เห็นถึงโลกสองใบที่มีชุดความเชื่อและขอบเขตที่แตกต่างกัน ในโลกแห่งความเป็นจริงของแดนนี่ ภรรยาของเขา และคาร์ล เป็นโลกที่วิถีของมนุษย์ถูกกำหนดไว้ด้วยจารีต จริยธรรม บรรทัดฐานทางสังคมซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างชุดความเชื่อดังกล่าวขึ้น เป็นสิ่งสมมติให้เกิดข้อตกลงร่วมกันของสังคมด้วยการสร้างความบาป สร้างความถูกผิด สร้างให้เพศหญิงต้องคู่กับเพศชาย ฯลฯ
ในโลกปัจจุบันกรอบของสังคมในเรื่องเพศ จริยธรรม ถูกกำหนดโดยจารีต ประเพณีภายใต้อุดมการณ์หรือชุดความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งของสังคม แต่ทั้งหมดนี้ไม่เกิดขึ้นในโลกเสมือนอย่างเกม Striking Vipers เนื่องจากโลกดังกล่าวเป็นสถานที่ที่ไม่มีชุดความเชื่อแห่งจารีต ประเพณี ศีลธรรม มนุษย์ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีบรรทัดฐาน ไม่มีความผิดบาปให้ต้องกังวลใจ แดนนี่และคาร์ลจึงไม่ต้องสนใจความเป็นหญิงหรือชายของกันและกันหรือแม้กระทั่งของตัวเอง เหมือนที่คาร์ลเล่าให้แดนนี่ฟังว่า เขาลองมีเซ็กซ์กับทันดร้า ตัวละครที่เป็นหมีขั้วโลกมาแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในโลกอีกใบหนึ่งที่เป็นโลกแห่งความจริงได้ เหมือนว่าเราอยู่ภายใต้การกำกับของ ‘สายตา’ ของใครสักคนที่พร้อมจะตำหนิพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นสายตาของพระเจ้าหรือจากผู้คนด้วยกัน
Striking Vipers จึงเป็นเสมือนโลกใหม่ที่มอบหลุมหลบภัยให้แก่มนุษย์ ที่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ ศีลธรรมจรรยาแม้กระทั่งสายตาการตำหนิจากพระเจ้า โดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวหยิบยื่นความสวยงามที่ไร้ขอบเขต ไร้กรอบและไร้ความผิดบาปมาให้ และเมื่อนำเอาแนวคิดของคริสตศาสนามาใช้ในการมองเรื่องนี้ จะเห็นว่า Striking Vipers ก็ไม่ต่างอะไรกับ ‘สวนอีเดน’ ที่ปราศจากความบาป เปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ในยามที่อดัมและอีฟยังไม่ถูกล่อลวงด้วยงูที่แปลงร่างมาจากซาตาน และ ‘งู’ ในสวนอีเดนแห่งนี้เองก็ได้กลายเป็นตัวเชื่อมสำคัญที่ทำเราเข้าใจอีเดนแห่งเก่าตามพระคัมภีร์ไบเบิลและอีเดนแห่งใหม่ที่อยู่ใน Striking Vipers มากขึ้น
Striking Vipers แปลว่า การต่อสู้จู่โจมของอสรพิษ ในความหมายและความเชื่อของชาวคริสต์ตามคัมภีร์ไบเบิล งูคือตัวแทนของซาตาน ความชั่วร้าย การล่อลวง เนื่องจาก ‘งู’ ได้ทำให้ความรู้ผิดชอบชั่วดีของอดัมและอีฟก่อตัวขึ้น ด้วยซาตานที่แปลงร่างเป็นงูนั้นบอกให้อีฟกินผลไม้จากต้นไม้แห่งความผิดชอบชั่วดีซึ่งเป็นการละเมิดต่อคำสั่งของพระเจ้า หลังจากที่ทั้งสองกิน อดัมกับอีฟก็เกิดแนวคิดเรื่องความผิดบาป ตระหนักรู้ว่าตนเองเปลือยอยู่จึงเอาใบไม้มาปิด สิ่งสมมตินี้เองเกิดขึ้นหลังจากที่งูล่อลวงพวกเขา ตามที่พระยะโฮวาห์ได้กล่าวไว้ว่า “ดูเถิด มนุษย์กลายมาเป็นเหมือนผู้หนึ่งในพวกเราที่รู้จักความดีและความชั่ว บัดนี้เกรงว่าเขายื่นมือไปหยิบผลจากต้นไม้แห่งชีวิตมากินด้วยกัน และมีชีวิตนิรันดร์ตลอดไป”
แม้ในซีซั่นที่ผ่านๆ มาของ Black Mirror จะทำให้เราเข้าใจไปว่าเทคโนโลยีคือสิ่งที่ชั่วร้ายที่ล่อลวงให้มนุษย์จมดิ่งสู่ความดำมืด เกม Striking Vipers รวมทั้งเทคโนโลยีชนิดอื่นๆ อุปมาได้ว่าคือ ‘งู’ ที่กำลังล่อลวงเราให้หลงเข้าไปอยู่ในสิ่งที่ไม่ใช่ความจริง ล่อลวงให้เราหลงลืมความเป็นจริงของโลก เนื่องจากเรามองว่างูคือสิ่งชั่วร้ายที่ทำให้อดัมและอีฟละเมิดกฎ แต่ในอีกแง่หนึ่งมันก็ชวนให้เราตั้งข้อสงสัยด้วยว่า การที่อดัมและอีฟละเมิดกฎของพระเจ้าและนำมาซึ่งการรู้ความผิดชอบชั่วดี เป็นสิ่งไม่ดีอย่างไร
‘งู’ เป็นตัวกระตุ้นความรู้อยากเห็นของมนุษย์ นำมาซึ่งอิสระเสรีที่พยายามทำให้อดัมและอีฟมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่ให้ถูกควบคุมโดยพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว และพยายามผลักอดัมกับอีฟออกจากสวนอีเดนไปสู่พื้นที่แห่งเสรีภาพ ในทางเดียวกัน ‘งู’ อันเปรียบได้กับเกม ‘Striking Vipers’ นี้ ก็กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเรา และได้ชักชวนให้เราออกมาจากพื้นที่แห่งกฎเกณฑ์ ศีลธรรมจรรยาในรูปแบบหนึ่ง เข้ามาอยู่ในโลกแห่งความเสรี โลกที่ไม่ถูกควบคุมโดยศีลธรรมจรรยา ความผิดบาปและสายตาของพระผู้เป็นเจ้า
หรือแท้ที่จริงแล้ว ‘งู’ อาจจะไม่ใช่ตัวแทนแห่งความชั่วร้ายจริงๆ เหมือนกับที่เกม Striking Vipers ในฐานะของตัวแทนแห่งเทคโนโลยีก็ไม่ได้เป็นสิ่งล่อลวงให้มนุษย์เดินเข้าสู่ความชั่วร้ายดำมืด เพราะ ‘เกม’ ได้มอบพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งใหม่ที่สามารถหลบซ่อนสายตาของพระเจ้า จากกฎเกณฑ์และศีลธรรมจรรยาที่เป็นตัวกำหนดความผิดบาปในพฤติกรรมของมนุษย์
Black Mirror ใช้เกม Striking Vipers ในฐานะตัวแทนแห่งเทคโนโลยีเพื่อตั้งคำถามและกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเราให้หลุดออกจากกรอบแห่งกฎเกณฑ์เดิมๆ ที่เคยติดอยู่ ไปสู่พื้นที่แห่งอิสรภาพที่เรียกว่า ‘สวนอีเดนแห่งใหม่’ ซึ่งไร้สายตาที่จ้องมองจากผู้คน หรือแม้แต่สายตาของพระเจ้า เพื่อพิจารณาในทุกประเด็นที่ซีรีส์ชักชวนให้เราตั้งคำถาม มันอาจจะไม่ใช่คำถามเพื่อหาบทสรุปของความผิดถูก ชั่วดี แต่เป็นการตั้งคำถามถึงกรอบ การให้ค่า การลงโทษ ที่รัดแน่นในทุกอณูแห่งการใช้ชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบัน และที่สำคัญกรอบนั้นมันใช้ได้กับทุกคน ทุกหน่วยย่อยพื้นที่สังคมที่มีความแตกต่างกันทั้งศาสนา วัฒนธรรม เพศ ชาติพันธุ์ ฯลฯ หรือเปล่า หรือเราเพียงแต่ติดกับความเป็นมนุษย์และนำกรอบที่ว่าติดตัวไปตัดสินตัวเองและผู้คนอื่นๆ ในทุกแห่งหน เหมือนกับแดนนี่และคาร์ลที่หนีไม่พ้นสายตาของพระเจ้าไม่ว่าจะหลบลี้เข้าสู่สวนอีเดนแห่งใหม่ที่เรียกว่า Striking Vipers แล้วก็ตาม เพราะสายตาของพระเจ้ายังฝังอยู่ในความเป็นมนุษย์ของเขานั่นเอง
Tags: Black Mirror, TheMoJu