ไม่ว่าใครเป็นฝ่ายคว้าชัยในศึกชิงประธานาธิบดี ผลประโยชน์อเมริกันในเศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศย่อมเป็นเป้าหมายสูงสุดเสมอ แม้กระนั้น ทรัมป์กับไบเดนยึดถือมรรควิธีต่างกัน ถ้าไบเดนชนะ แนวทางพหุภาคีจะเข้าแทนที่เอกภาคีของทรัมป์
ผ่านไป 4 ปี สิทธิเลือกตัวแทนใช้อำนาจอธิปไตยกลับคืนสู่ชาวอเมริกันอีกครั้ง ถึงแม้โดยทั่วไปผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีมักสะท้อนเสียงเรียกร้องเกี่ยวกับนโยบายภายในเป็นด้านหลัก ทว่าผู้รณรงค์หาเสียง ขออาณัติจากประชาชน ต้องแสดงวิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศไปพร้อมกัน
โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ครองเก้าอี้ผู้นำจากพรรครีพับลิกัน แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาเน้นแนวทางดำเนินการฝ่ายเดียวเป็นเครื่องมือรักษา แสวงหา และเพิ่มพูนผลประโยชน์แห่งชาติ
โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต แสดงท่าทีว่า ถ้าชนะเลือกตั้งในวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน เขาจะใช้แนวทางดำเนินการหลายฝ่าย
ตามผลสำรวจของหลายสำนัก ไบเดนมีคะแนนนิยมนำหน้าทรัมป์ นักสังเกตการณ์จึงเสนอฉากทัศน์ให้เห็นว่า ถ้าไบเดนชนะ ประเด็นร้อนต่างๆ ในการต่างประเทศของสหรัฐฯ จะถูกขับเคลื่อนผิดแผกไปจากยุคทรัมป์อย่างไร
ฟื้นฟูระบบพันธมิตร
คาดกันว่า ไบเดนจะนำพาสหรัฐฯ หันหน้ากลับเข้าหาบรรดาพันธมิตร และผูกพันสหรัฐฯ เข้ากับพันธะในระดับโลกอีกครั้ง หลังจากนโยบาย ‘อเมริกาต้องมาก่อน’ ของทรัมป์สร้างความขุ่นเคืองแก่มวลมิตรเก่าแก่และประเทศหุ้นส่วนทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรป
ในยุคทรัมป์ อเมริกาประกาศถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อน ซึ่งจะมีผลในวันที่ 4 พฤศจิกายน 2020 และประกาศถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก ซึ่งจะมีผลในวันที่ 6 กรกฎาคม 2021
เมื่อเดือนมิถุนายน ทรัมป์ยังประกาศที่จะลดกำลังทหารอเมริกันที่ประจำการในเยอรมนีในฐานะกองกำลังนาโต้ลงประมาณ 9,500 นาย
ทั้งหมดนี้ ทรัมป์อ้างว่าเป็นการลดภาระที่อเมริกาแบกโลกไว้บนบ่ามานานจนเกินทน คนที่เรียกร้องให้สหรัฐฯ อุปถัมภ์ค้ำจุน ควรควักกระเป๋าตัวเองให้สมน้ำสมเนื้อกว่าที่เป็นมา และทำประโยชน์แก่อเมริกาให้คุ้มค่ากว่าเดิม
ไบเดนให้คำมั่นที่จะรื้อถอนนโยบายของทรัมป์เหล่านี้ตั้งแต่วันแรกบนเก้าอี้ประธานาธิบดี โดยคงสมาชิกภาพและจ่ายเงินสนับสนุนองค์การอนามัยโลกต่อไป พร้อมกับเลิกโต้แย้งความตกลงปารีสว่าด้วยภูมิอากาศ
นอกจากนี้ เขาจะขอเปิดประชุมร่วมกับผู้นำชาตินาโต้เพื่อประกาศการหวนคืนสู่ยุโรป พบหารือกับบรรดาผู้นำชาติมหาอำนาจในปีแรกในตำแหน่งผู้นำอเมริกา และยกเลิกคำสั่งของทรัมป์ที่ห้ามรับคนย้ายถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากประเทศมุสลิม
สำหรับประเด็นระดับสากลอื่นๆ เช่น การต่อต้านการก่อการร้าย การควบคุมอาวุธยุทธศาสตร์ และอื่นๆ รัฐบาลไบเดนมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีประสานความร่วมมือผ่านกลไกและข้อตกลงระหว่างประเทศ ด้วยความเห็นพ้องจากพันธมิตรและมิตรประเทศ
ระดมพลังทัดทานจีน
ในยุคทรัมป์ อเมริกางัดข้อกับจีนในหลากหลายประเด็น ความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ตกต่ำหนักสุดนับแต่สิ้นสุดสงครามเย็น จนกระทั่งเกิดเสียงวิจารณ์ว่า วอชิงตันกำลังจะทำสงครามเย็นรอบใหม่กับปักกิ่ง
ไมตรีที่อเมริกาเคยมีกับจีนในฐานะหุ้นส่วนเมื่อยุครัฐบาลบารัค โอบามา แปรเปลี่ยนเป็นคู่แข่ง รัฐบาลทรัมป์ถือจีนเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความรุ่งเรือง ท่าทีเช่นนี้นำไปสู่สงครามการค้า มีการขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กันไปมาจนเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย กระทั่งต้องเจรจาหย่าศึก คลอดข้อตกลงการค้าระยะที่ 1 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
แต่การประนีประนอมด้วยคำสัญญาของฝ่ายจีนที่จะซื้อสินค้าและบริการของอเมริกันให้มากขึ้นเป็นลำดับ ไม่อาจเดินหน้าสู่ข้อตกลงระยะที่ 2 หลังจากทรัมป์กล่าวโทษจีนว่าเป็นต้นตอของโรคระบาดไวรัส
ความสัมพันธ์ยิ่งดิ่งเหวเมื่อทรัมป์คว่ำบาตรฮ่องกงเพราะประเด็นกฎหมายความมั่นคง และเล่นงานจีนในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์
ว่าไปแล้ว ไบเดนมองจีนไม่ต่างจากทรัมป์ เขาปราศรัยว่า ถ้าปล่อยไว้ จีนจะยังคงปล้นเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของอเมริกันต่อไป รวมทั้งบังคับให้บริษัทอเมริกันในจีนยอมเปิดความลับทางการค้า
อย่างไรก็ตาม เขาพูดในคราวเดียวกันนั้นว่า อเมริกาจะพยายามสร้างแนวร่วมของมิตรและหุ้นส่วนที่จะท้าทายพฤติกรรมมิชอบต่างๆ ของจีน
หาพวกต้านภัยนิวเคลียร์
ภัยคุกคามจากอิหร่านและเกาหลีเหนือเป็นอีกประเด็นที่อดีตประธานาธิบดีสมัยโอบามา และอดีตวุฒิสมาชิกผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศของวุฒิสภาผู้นี้ ตั้งใจจะใช้แนวทางพหุภาคีในการรับมือ
เมื่อปี 2018 ทรัมป์จัดการกับประเด็นนิวเคลียร์อิหร่านด้วยการถอนตัวจากข้อตกลงสมัยโอบามา ซึ่งมีชาติยุโรปและรัสเซียร่วมเป็นภาคี พร้อมกับหวนกลับมาคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านอีกครั้ง และเรียกร้องให้อิหร่านเจรจาจัดทำข้อตกลงควบคุมปรมาณูฉบับใหม่
ข้อตกลงฉบับที่ทรัมป์ฉีกทิ้งไปนี้ ไบเดนเคยมีส่วนในทีมเจรจาจัดทำเมื่อปี 2015 เขาบอกว่า ถ้าได้นั่งในทำเนียบขาว เขาจะกลับเข้าเป็นภาคีตามเดิมหากอิหร่านกลับมาปฏิบัติตามข้อห้ามต่างๆ ในสนธิสัญญา พร้อมกับบอกว่า เขาจะใช้การทูตแบบแข็งกร้าว และอาศัยแรงสนับสนุนจากชาติพันธมิตรในการปรับปรุงและต่ออายุข้อตกลง
สำหรับเกาหลีเหนือ ทรัมป์เคยเล่นบททั้งขู่ทั้งปลอบ ในช่วงแรก เขาประกาศนโยบาย ‘กดดันขั้นสูงสุด’ ออกมาตรการคว่ำบาตรหลายระลอก แถมขู่ที่จะส่ง ‘ไฟประลัยกัลป์’ ไปถล่มเปียงยาง ต่อมาเขาพบหน้ากับคิมจองอึนรวม 3 ครั้งเมื่อปี 2018 และปี 2019
แต่ทั้งไม้แข็งและไม้นวมยังไม่ส่งผลคืบหน้าเท่าไรนัก การเจรจาระดับเจ้าหน้าที่ชะงักงัน เพราะต่างยังมีข้อเกี่ยงงอน ส่งผลให้เป้าหมาย ‘ถอดถอนนิวเคลียร์บนคาบสมุทรเกาหลี’ ยังดูเลือนราง
สำหรับไบเดน เขาประกาศว่าจะไม่ยอมพบกับผู้นำเปียงยางโดยปราศจากเงื่อนไข และจะเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรเพื่อกดดันให้เกาหลีเหนือยอมเจรจาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ที่สำคัญ เขาบอกว่าจะประสานมือพันธมิตร คือ ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ให้ช่วยกันออกแรงอีกทาง พร้อมกับผลักดันให้จีนร่วมมือโดดเดี่ยวเกาหลีเหนือ
แนวทางหลายฝ่ายของไบเดนจะให้ผลลัพธ์เหนือกว่าแนวทางฝ่ายเดียวของทรัมป์หรือไม่ แค่ไหน อย่างไร ยังรอคอยการพิสูจน์
เหนืออื่นใด ไบเดนจะต้องชนะให้ได้เสียก่อน
อ้างอิง:
USA Today, via MSN News, 16 October 2020
Tags: เลือกตั้งสหรัฐฯ 2020, โจ ไบเดน