Beautiful Boy คือภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องราวการติดยาของเด็กวัยรุ่นชายในครอบครัวที่แสนอบอุ่น ถ่ายทอดโดยสองนักแสดงทรงพลัง อย่าง สตีฟ แคเรลล์ (Steve Carell) ในบทพ่อที่พยายามสุดความสามารถที่จะเข้าใจและช่วยเหลือลูกชายให้เลิกจากวงจรอุบาทว์นั้นและกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ และ ทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothée Chalamet) ในบทลูกชายติดยา โดยหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริง ที่อิงมาจากหนังสือสองเล่มที่ถูกเขียนโดยเดวิด เชฟ ผู้พ่อ (David Sheff) และนิค เชฟ ลูกชาย (Nic Sheff) ที่ต่างเขียนเล่าประสบการณ์ผ่านมุมมองของตนเองออกมา ก่อนจะถูก ลุค เดวี่ส์ (Luke Davies) ผู้เขียนบทร่วม และ เฟลิกซ์ แวน โกรนิงเก็น (Felix van Groeningen) ผู้กำกับ นำทั้งสองเรื่องเล่าจากประการณ์มารวมกัน และถ่ายทอดออกมาในหนังเรื่องนี้ได้อย่างสมจริง และจริงใจอย่างที่สุด
หนังเน้นเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้เป็นพ่อที่ได้ใช้เวลาและมีประสบการณ์ร่วมกันกับลูกชายในหลายช่วงวัย ด้านตัวของเดวิดเอง หย่าร้างกับภรรยาคนแรก และเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ก่อนจะมาแต่งงานใหม่ และมีลูกอีกสองคน ทั้งลูกของภรรยาคนแรกกับลูกของภรรยาคนใหม่ ต่างอาศัยอยู่ในชายคาเดียวกัน
มู้ดของหนัง เพลง ฉาก และโลเคชั่นต่างๆ ฉายภาพหนังรักของครอบครัวที่อบอุ่นได้อย่างหมดจด และการแสดงที่แสนอบอุ่นนุ่มนวลของนักแสดงทุกคนก็ช่วยส่งให้เราอยากเอาใจช่วยกับทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้นในหนังตั้งแต่ตอนเริ่ม
หนังเล่าเรื่องครอบครัว และความสัมพันธ์ในช่วงวัยต่างๆ สลับไทม์ไลน์ไปมา จากวัยรุ่นในไทม์ไลน์ปัจจุบัน กลับไปเด็ก ย้อนกลับมาช่วงวัยรุ่นแต่เป็นไทม์ไลน์อดีต แล้วกลับไปเป็นวัยเด็กที่เริ่มจะเข้าสู่วัยรุ่น จริงๆ แล้ว เราไม่มีปัญหากับการเล่าเรื่องสลับไทม์ไลน์แบบนี้ เพียงแต่มันส่งผลให้ความทรงพลังและความลึกซึ้งทางอารมณ์ของหนังยังถูกขับออกมาไม่เต็มที่ และทำให้คนดูต้องใช้พลังในการดูค่อนข้างเยอะ เพื่อความต่อเนื่องทางอารมณ์
หนังได้ทีมนักแสดงสายดราม่าที่เก่งกาจ สตีฟ แคเรลล์ ที่แม้มีชื่อเสียงจากสายคอมเมดี้ แต่กลับทำได้ดีมากในสายดราม่า และ ‘น้อง’ ผู้เป็นที่รักของคนค่อนโลก อย่าง ทิโมธี ชาลาเมต์ ที่ลงทุนลดน้ำหนักอีกกว่าแปดกิโลฯ ตามคำสั่งของผู้กำกับเพื่อให้ภาพเด็กชายติดยาในหนังเรื่องนี้เด่นชัดและสมจริงมากยิ่งขึ้นทั้งที่ตัวของน้องทิโมธีนั้นเป็น ‘สกินนี่บอย’ อยู่แล้วก็ตาม
ประเด็นหลักที่หนังต้องการจะเล่าให้คนดูได้ติดตาม คือเรื่องของความพยายามและความยากลำบากของพ่อ และครอบครัวที่จะพาลูกชายที่รัก ออกจากวังวนของยาเสพติด ที่ลูกชายพาตัวเองเข้าไปโดยไม่มีใครชักชวนและบังคับ การที่หนังฉายให้เห็นภาพของเด็กชายวัยรุ่นที่พาตัวเองเข้าไปเสพยา และติดยาด้วยตัวเขาเอง เป็นอีกภาพหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของชีวิตวัยรุ่น ที่ต่อให้มีครอบครัวที่อบอุ่นและเข้าใจตัวเขามากแค่ไหน การได้ ‘หลีกหนี’ จากความเป็นจริงในโลกนี้ไปชั่วขณะหนึ่ง ดูจะเป็นตัวเลือกไม่มีพิษภัยเลย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับนิค กลับกลายเป็นเขากำลังค้นพบบางสิ่งที่หายไปในที่ที่นั้น ทำให้การพาตัวเองออกมา เป็นสิ่งที่ดูจะขัดแย้งกับความต้องการและความสุขของการมีชีวิตอยู่ของเขา
ในขณะเดียวกัน พ่อที่มาค้นพบว่าลูกชายเล่นยามาทุกชนิด และติดยา หนังได้แสดงให้เห็นพลังของความเสียใจ รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปได้อย่างสมจริง แต่กระนั้นก็ยังมีความรักที่รอลูกชายสุดที่รักคนนี้อยู่เสมอ แต่ดูเหมือนว่าแค่ความรักอาจจะไม่เพียงพอ เมื่ออีกฝ่ายถูกครอบงำด้วยอำนาจของยา จนทำให้พฤติกรรม นิสัยใจคอของลูกเปลี่ยนไปแทบจะสิ้นเชิง
หนังเลือกถ่ายทอดวิธีจัดการกับลูกชายติดยาออกมาได้สมจริง ที่ดูจะเป็นวิธีที่ดีทีเดียว แต่ลูกชายที่ดูจะผีเข้าผีออกจากฤทธิ์ยา ไม่ได้ทำให้ผลออกมาน่าประทับใจนัก หนังฉายให้เห็นวังวนการใช้ยาของนิค ที่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ผ่านฉากนี้ไปแล้วเขาจะดีขึ้น หรือหลังจากเรื่องนี้ไปเขาจะดำดิ่งลงไปลึกขนาดไหน
ส่วนที่ดีของหนังดูจะเล่าไปเยอะมากแล้ว สำหรับส่วนที่หนังยังทำได้ไม่สมบูรณ์ดูจะเป็นการประกอบร่างที่สำหรับเราแล้ว ยังมีพลังไม่มากพอที่จะขับเคลื่อนให้อินกับมันได้ขนาดนั้น รวมไปถึง ความลึกซึ้งทางอารมณ์ของหนัง ที่ในบางฉากเหมือนถูกมีมาเพื่อให้หนังมันกลม และสมบูรณ์ขึ้น แต่พลังในฉาก รวมถึงบทสนทนาดูกระท่อนกระแท่นไปหน่อย จนแรงที่จะฉุดพาคนดูไปถึงจุดที่พีคที่สุดแบบน้ำตาต้องไหลแล้วนะฉากนี้ ยังมาไม่ถูกที่ถูกเวลา แต่อย่างไรก็ตาม ภาพโดยรวมของหนังก็ยังคงทำได้ดีและสามารถสะท้อนปัญหาการติดยาได้อย่างสมจริง ซับซ้อน หม่นหมอง แต่เต็มไปด้วยความรัก ความพยายาม และกำลังสนับสนุนจากคนรอบตัวได้อย่างงดงาม
กลับมาสู่อีกส่วนที่ดีงาม จนทำให้หนังโดดเด่นนั่นคือ ทิโมธี จนทำให้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจากเวที Golden Globe Award ครั้งที่ 76 รวมไปถึงรางวัลนักแสดงวัยรุ่นยอดเยี่ยม (Best Young Actor/Actress) จากเวที Critics’ Choice Award ที่เพิ่งผ่านไปด้วยเช่นกัน น้องทิโมธีดำดิ่งไปกับตัวละครได้อย่างทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นบางอาการที่ไฮจากฤทธิ์ยา ไปจนถึงบุคลิกที่สวิงไปมาอย่างสุดขั้วช่วงเวลาสั้นๆ ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างซับซ้อนแต่ก็ชัดเจน ว่านี่คือนิคหงุดหงิดแบบเป็นปกติ หรือนิคหงุดหงิดเพราะยา ฉากที่เราชอบมากๆ และอยากให้ได้ดู ดูจะเป็นความซับซ้อนทางอารมณ์และการโต้ตอบกันบนโต๊ะอาหารของสตีฟและทิโมธี ที่คงได้เห็นบางส่วนกันในเทรลเลอร์หนังไปแล้ว แต่ฉากเต็มๆ มันช่างทรงคุณค่าเหลือเกิน
นอกจากนี้ ทิโมธียังทุ่มเทสุดตัวกับบทนิค เชฟ เด็กชายวัย 18 ที่ติดยาไอซ์ และเล่นยามาแล้วทุกประเภทเท่าที่คุณจะนึกออก ทิโมธีได้พูดคุยทำความรู้จักกับ นิค เชฟ ตัวจริงเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวของนิคให้มากที่สุด ทั้งเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก และคนในครอบครัว นิสัย วิธีการพูด บุคลิกท่าทาง และ gesture เล็กๆ น้อยๆ อย่างการเดิน ยืนและพักแขน แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ใช่การก๊อปปี้เพื่อมาเล่นเป็นนิคเลย แต่เพื่อให้ทิโมธี่เข้าใจตัวนิคให้มากที่สุดแล้วจึงถ่ายทอดมันออกมา
ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่อยากจะบอกคือ Beautiful Boy ได้ชวนเราไปสำรวจชีวิต ความสัมพันธ์ของผู้ติดยาเสพติดและครอบครัวได้อย่างตรงไปตรงมา และไม่ว่ามันจะเลวร้ายแค่ไหน สิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด โดยที่เราก็ไม่รู้หรอกว่าผลจะออกมาแบบไหน ก็คือ ‘จงอยู่ตรงนั้น’ เพื่อเป็นกำลังใจและคอยมอบความรักกับเขาเสมอ ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะจบลงแบบไหนก็ตาม
Tags: film, Beautiful Boy, Timothée Chalamet