จีน มิลเบิร์น จาก Sex Education คงกลายเป็นคุณแม่ในดวงใจใครหลายๆ คน เพราะเป็นแม่ที่พูดเรื่องเซ็กซ์กับลูกและใครต่อใครได้อย่างถึงเครื่องและถึงความเข้าใจ แน่นอนว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงไปทั่วโลกในปี 2019 แต่ในปีเดียวกันนั้น คงมีน้อยคนที่เคยได้ยินหรือรู้จักสารคดีที่ว่าด้วยผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งพูดเรื่องเซ็กซ์อย่างเปิดเผยและมองมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญอันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และนับเป็นโอกาสดีที่ Documentary Club นำภาพยนตร์เรื่องนี้เข้ามาฉายและทำให้เราได้เรียนรู้ว่าถึงการมีอยู่จริงของผู้หญิงแบบมิลเบิร์น ที่ทำให้การพูดคุยเรื่อง Sex นั้นเปลี่ยนไปกลายเป็นเรื่องปกติที่เราสามารถถกถึงมันได้อย่างไม่ต้องเขินอาย
“ฉันอายุ 90 แล้ว แต่ฉันยังคงพูดเรื่องเซ็กซ์ ตั้งแต่เช้ายันดึก”— รูธ เวสไฮเมอร์
Ask Dr.Ruth หรือในชื่อไทย อายครูไม่รู้วิชา อายกามา…ปรึกษารูธ คือหนังสารคดีชีวิตของ ดร.รูธ ผู้ให้กำเนิดรายการตอบปัญหาทางเพศ ‘ถามด็อกเตอร์รูธ’ ที่ออกอากาศในอเมริกาช่วงปี 1980s รายการเรตติ้งสูงมากแม้จะเป็นช่วงเวลาออกอากาศตอนเที่ยงคืน จนทำให้ขยายเวลาจากรายการวิทยุเล็กๆ 15 นาทีกลายเป็นรายการโทรทัศน์ยาว 2 ชั่วโมง ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในอเมริกาที่สงสัย อัดอั้นเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ เพศวิถีของตนเอง รสนิยมทางเพศ รวมไปถึงการจัดการความสัมพันธ์หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สามารถปรึกษากับคนรอบตัวได้ เธอจะได้รับความไว้วางใจนั้น และนั่นทำให้เธอได้เขียนหนังสือเรื่องเพศออกมานับไม่ถ้วนจนถึงปัจจุบัน
ย้อนไปก่อนหน้านั้น เธอคือหญิงชาวยิวในเยอรมันผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สังหารหมู่ยุคนาซี เธอเติบโตมาอย่างเปลี่ยวเหงาแต่ก็แข็งแกร่งไปพร้อมกัน แม้ว่าเธอเองจะไม่มีวันได้พบหน้าครอบครัวอีกเลยตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หากแต่เส้นทางยากลำบากตั้งแต่วัยเด็กก็ไม่ได้บดบังความเป็นหญิงในแบบที่เธอเป็น ดร.รูธ เวสต์ไทเมอร์ กลายเป็นนักบำบัดและที่ปรึกษาปัญหาเพศ ที่มีอิทธิพลและสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมอเมริกันที่เคยเขินอาย และมองเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องในที่ลับเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยความยาวของหนัง 100 นาทีที่เรียงร้อยเรื่องเล่าผสมเข้ากับภาพแอนิเมชัน ทั้งสนุกสนานและขมขื่น
ดร.รูธ ใช้ความรู้ที่เรียนมาหล่อหลอมเข้ากับประสบการณ์จริงที่พบเจอ เธอเลือกที่จะแสดงออกชัดเจนว่าเซ็กซ์นี่แหละคือเรื่องปกติและเราควรจะคุยกันได้อย่างสามัญ จากประสบการณ์การแต่งงานถึง 3 ครั้ง กับการตกหลุมรักคน 4 คน ทำให้เธอได้เรียนรู้มุมมองชีวิตและเซ็กซ์อย่างมากมาย ความรักครั้งแรกของเธอเป็นแบบปั๊ปปี้เลิฟที่ไร้เซ็กซ์มีเพียงการกอดจูบ แต่ครั้งนั้นก็ทำให้เธอได้รู้จักตัวเองว่าชอบเรียนรู้มากขนาดไหน เธออยู่ในศูนย์ลี้ภัยบ้านเด็กกำพร้าในสวิตเซอร์แลนด์ที่ที่ผู้หญิงไม่สามารถเรียนหนังสือได้ มีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่จะได้ออกไปพบโลกกว้าง แต่ถึงอย่างนั้นความพยายามของเธอก็มีมากพอ แฟนผู้เป็นรักแรกของเธอ นับว่าเป็นเด็กหัวดีระดับต้นๆ หลังจากกลับมาจากโรงเรียนทุกวัน เธอจะแอบเอาหนังสือเรียนเหล่านั้นไปอ่านที่ใต้ราวบันได้เพราะมีแสงสว่างมากพอจะส่องถึงและหลบเลี่ยงไม่ให้ผู้ดูแลจับเธอได้ เธอทำอย่างนั้นเรื่อยมาจนถึงช่วงวัยรุ่นที่สงครามยุติและต้องยอมรับความจริงว่าเธอไม่มีครอบครัวให้กลับไปหาแล้ว การออกไปเริ่มต้นชีวิตนอกศูนย์ลี้ภัยและการพบเจอชายที่จะแต่งงานด้วยครั้งแรกจึงเริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กัน
หลายคนคงเคยดูละครน้ำเน่าที่นางเอกชอบพอกับน้องชายแฟนตัวเอง แล้วหลีกทางให้เขาทั้งคู่ได้คบกัน นั่นแหละ ชีวิตรักแต่งงานครั้งแรกของ ดร.รูธ เป็นแบบนั้น การมีเซ็กซ์ด้วยกันครั้งแรกบนกองฟางที่สูงลิ่วคือสถานที่สุดระทึกใจที่เธอบอก ทำให้คนดูอดไม่ได้ที่จะหัวเราะตาม และการแต่งงานครั้งนั้นก็ทำให้เธอได้ย้ายถิ่นฐานเข้าสหรัฐอเมริกาและได้เรียนรู้จากตำราโดยไม่ต้องแอบอีกต่อไป แต่ชีวิตมันก็ไม่เรียบง่ายเพราะสุดท้ายเธอและเขาต้องหย่ากันเพราะด้วยความที่ ดร.รูธ ยืนยันที่จะอยู่เรียนต่อแต่สามีของเธอต้องการจะหยุดและกลับไปยังปาเลสไตน์
การแต่งงานครั้งที่ 2 เกิดขึ้น เธอมีลูกคนแรก แต่มันก็จบลงด้วยการหย่าเช่นเคย เธอกลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและเรียนหนังสือได้ด้วย และได้ทำงานเกี่ยวกับการวางแผนชีวิตครอบครัว เธอรักงานนี้ แม้มันจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต จนกระทั่งเจอสามีคนที่ 3 ที่เธอบอกว่านี่คือรักแท้ และเส้นทางสู่การเป็นนักบำบัดเซ็กซ์ผู้โด่งดังก็เริ่มต้นขึ้นในเวลานั้น
โดยส่วนตัวแล้วหนังสารคดีเรื่องนี้สร้างความประทับใจในหลายๆ แง่มุม อย่างน้อยมันทำให้เราเข้าใจทั้งตัวเองและคนอื่นๆ ในสังคมว่าเซ็กซ์ที่เผชิญอยู่นั้นคืออะไร มันไม่ใช่แค่ว่าคุณโหยหาเซ็กซ์คุณจะผิดปกติ หรือการที่คุณไม่โหยหามันคุณจะถูกล้อ ดร.รูธ ทำให้เราเข้าใจกลไกความต้องการทางเพศของมนุษย์และยิ่งย้ำว่ามันธรรมแค่ไหนในการเอ่ยประโยคเช่นว่า “ขนาดของผมใหญ่มากจนผู้หญิงหลายคนกลัว” “ฉันอยากช่วยตัวเองควรเริ่มยังไง” หรือ “ให้สอดจู๋เข้าไปในจิ๋มจากทางด้านหลัง” ฯลฯ
สมัยนั้น ที่สหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้พูดคำว่า penis หรือ vagina ได้อย่างเปิดเผยอย่างทุกวันนี้ ย้อนไปเมื่อทศวรรษ 1980 คำเหล่านี้ก็เป็นเหมือนคำต้องห้ามที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดถึง และหากคุณจะไปพูดคุยกับใครก็คงมีอาการเขินๆ อายๆ โดยเฉพาะกับคนใกล้ตัว เหมือนเวลาที่เรานั่งดูหนังกับพ่อ แม่ แล้วฉากสยิวก็โผล่ขึ้นมา ดร.รูธ มองเห็นเรื่องนี้ หลังจากที่เรียนจบปริญญาเอกจากคณะเกี่ยวกับจิตวิทยา เธอจึงได้มาเข้าร่วมและเป็นเจ้าของรายการวิทยุ โทรทัศน์ เพื่ออยากให้สังคมอเมริกายุคนั้นเปิดใจแล้วออกมาเล่าปัญหาเซ็กซ์ในชีวิตคู่ของตัวเอง รวมถึงให้ผู้หญิงกล้าที่จะพูดถึงความต้องการทางเพศมากขึ้น และชายเองก็กล้าที่จะยอมรับปัญหานั้นด้วย การทำรายการที่ออกอากาศทางวิทยุช่วงเวลาเที่ยงคืนจึงเป็นผลสำเร็จที่ประเมินได้ว่า เราทุกคนล้วนมีปัญหาทางเพศแต่ไม่มีพื้นที่ให้เราได้เรียนรู้ถึงมัน
น่าสนใจตรงที่ เรื่องหนึ่งซึ่งเธอจะไม่เข้าไปยุ่งเลยคือการเมืองเพราะไม่ต้องการให้ผู้ที่มาปรึกษาซึ่งอาจเห็นต่างทางการเมือง ไม่ไว้วางใจเธอ และเธอก็ไม่นิยามตัวเองเป็นเฟมินิสต์ แต่ถึงอย่างนั้นการกระทำและจุดมุ่งหมายของเธอก็ดูจะเป็นไปเพื่อความเท่าเทียมทางเพศและหัวก้าวหน้า จนหลานสาวของเธอเองก็บอกว่าย่าเป็นเฟมินิสต์ ดร.รูธ ออกมาสร้างพื้นที่ให้ผู้หญิงสามารถแสดงออกถึงความต้องการทางเพศตัวเองได้อย่างปราศจากการตราบาป เธอเน้นย้ำให้ทุกคนมีเซ็กซ์โดยใช้ถุงยางอนามัย ดร.รูธ ผลักดันความหลากหลายทางเพศที่เพิ่มความมั่นใจให้คนที่เป็นเกย์กล้าจะยอมรับและภาคภูมิใจที่จะบอกว่าฉันเป็น รวมถึงสร้างความเข้าใจใหม่ๆ ว่าเกย์ไม่ใช่ตัวปัญหาในการระบาดของโรคเอดส์ ในยุคที่ยังไม่มีใครเข้าใจแม้แต่ตัวเองก็ยังขาดความเชื่อมั่นนั้น แม้เธอพร้อมจะผลักดันในทุกเรื่อง รวมถึงเรื่องการทำแท้งถูกกฎหมายด้วย
เธอพยายามผลักดันให้การทำแท้งนั้นถูกกฎหมายเพื่อปกป้องสตรีที่ท้องไม่พร้อม ไม่ว่าจะกรณีใดก็แล้วแต่ เพราะเพศหญิงมีสิทธิ์ที่จะปกป้องชีวิตตัวเองจากการทำแท้งเถื่อนที่ไม่ได้คุณภาพ ขณะที่สังคมอาจมองว่านี่เป็นการผิดศีลธรรมและทำร้ายชีวิตหนึ่งที่กำลังจะเกิด แต่ ดร.รูธ เล็งเห็นถึงชีวิตที่เป็นอยู่ในขณะนี้รวมถึงชีวิตของเด็กที่จะเกิดขึ้นมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้พร้อมและอาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ อีกมาก ดังนั้นแล้วเราก็ควรจะเคารพการตัดสินใจของผู้เป็นแม่ และยินยอมให้เธอมีสิทธิ์ที่จะได้รับการทำแท้งอย่างถูกกฎหมายเพื่อชีวิตของตัวเองและลูก
จากวันนั้นจนถึงตอนนี้เธอยังคงขับเคลื่อนเรื่องเซ็กซ์เรื่อยมา น่าชื่นใจแทนเธอที่ตอนนี้สังคมอเมริกันก้าวหน้าเรื่องเซ็กซ์ไปถึงไหนต่อไหน ขณะที่คนดูสารคดีอย่างเราเมื่อหันกลับมามองที่เมืองไทยคงได้แต่ตาปริบๆ เมื่อผู้ใหญ่หลายคนประกาศปาวๆ ว่าอยากให้เด็กใช้ถุงยางอนามัย แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องไม่เหมาะสมและไม่ควรถูกพูดถึงในที่แจ้งอยู่วันยังค่ำ