ปฏิบัติการของ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นปฏิบัติการเหนือความคาดหมาย สายฟ้าแลบ และดูเหมือนจะ ‘เลือดเย็น’ พอสมควร กับการตัดสินใจ ‘ย้ายคู่’ ทั้ง พลตำรวจเอก ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เอาไปเก็บไว้กับสำนักนายกรัฐมนตรี อยู่ข้างตัวเพื่อหยุดให้ข่าว หยุดทะเลาะกันสักระยะ

คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางเรื่องการดำเนินคดีพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ และบรรดาเครือข่ายของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ซึ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าและเว็บพนันออนไลน์ เป็นเรื่องสืบเนื่องมานับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 ที่มีการส่งตำรวจคอมมานโดไปล้อมบ้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ จนเกิดปรากฏการณ์ ‘เคลียร์ใจ’ คาดว่าจะยุติศึกกันได้ แต่สุดท้ายเรื่องทั้งหมดก็ปะทุขึ้นอีกรอบ เป็นต้นเหตุของคำสั่ง ‘ย้ายคู่’ 

คำถามก็คือแล้วเพราะเหตุใด ‘เสือ’ ทั้ง 2 ตัวนี้จึงไม่สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้ แล้วทำไมทั้งสองถึงมีเรื่องกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยุดได้… ก่อนอื่น สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ เส้นทางราชการของทั้งคู่ไม่ใช่เส้นทางปกติ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ขึ้นเป็นนายพลได้ด้วย ‘พลังดัน’ ของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่ง ‘เอ็นดู’ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์นับตั้งแต่อยู่ภาคใต้ นับจากนั้นเส้นทางของนายตำรวจหนุ่มก็ขึ้นพรวดพราด ขึ้นมาเป็นนายพลตั้งแต่อายุไม่ถึง 45 ปี ซ้ำยังได้นับอายุราชการแบบทวีคูณ เพราะรับราชการในพื้นที่ 4 อำเภอพื้นที่สีแดงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

ขณะเดียวกัน หน่วยงานที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ดูแลยังเป็นหน่วยงาน ‘เกรดเอ’ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว หรือผู้บัญชาการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง

คอนเนกชันของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์นั้นไม่ธรรมดา เพราะแม้จะเคยถูกโยกให้พ้นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาได้ในปี 2562 ยุค พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ก็กลับมาได้ในปี 2564 ในยุคนายกฯ คนเดียวกัน และกลับมาเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ทันที ชื่อ ‘โจ๊กหวานเจี๊ยบ’ จึงไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะคอนเนกชันยุบยับ และ ‘เป็นมิตร’ กับทุกคน

ภาพที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์เดินตาม ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงสะท้อนความ ‘หวานเจี๊ยบ’ นี้ได้ดี

ขณะที่ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์นั้น เส้นทางเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พลตำรวจเอกต่อศักดิ์เติบโตด้วยเส้นทางพิเศษ เขามาจากพนักงานบริษัทน้ำมัน ก่อนจะลาออกมาเป็นข้าราชการตำรวจในภายหลัง กว่าจะขึ้นชั้น ‘ผู้กำกับการ’ ก็ปี 2559 จากนั้นก็เลื่อนลำดับชั้นอย่างรวดเร็ว ด้วยชาติตระกูลที่ดี ถูกที่ถูกทาง ถูกยุคสมัย

แน่นอนว่าเส้นทางของทั้งคู่ ล้วนเป็นเส้นทางที่ ‘ข้าม’ ตำรวจทั่วไปอีกหลายคน เป็นการเติบโตในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เรืองอำนาจ และต้องเอาใจใครต่อใครเป็นจำนวนมาก ทว่าสุดท้ายเส้นทางของทั้งคู่ก็มาบรรจบกัน เมื่อครั้น พลตำรวจเอก ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ถึงคราเกษียณอายุราชการ แล้วต้องหาผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ประจวบกันเป็นเวลาพอดิบพอดีที่เศรษฐาได้รับเลือกเป็นนายกฯ ด้วย ‘ดีลพิเศษ’ ต้องตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่เสียที

ในเวลาวุ่นๆ เช่นนั้นก็เกิดเรื่อง ‘กำนันนก’ ขึ้น เมื่อตำรวจถูกยิงเสียชีวิตที่จังหวัดนครปฐม ในงานเลี้ยงโต๊ะจีน แล้วพบว่ามีตำรวจจำนวนมากทำหน้าที่รับใช้ ‘กำนัน’ ขับรถนำให้ ซ้ำยังช่วยทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุ แล้วพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์กลายเป็นหัวหน้าชุดที่ต้องทำคดี

ว่ากันว่า ‘หมายจับ’ พุ่งเป้าไปที่ตำรวจของอีกเครือข่าย กลายเป็นศึกฟาดฟันของตำรวจด้วยกันเอง มีตำรวจจำนวนหนึ่งถูกดำเนินคดี ขณะที่วันรุ่งขึ้น ตำรวจอีกคนที่เกี่ยวข้องถูกพาดพิงว่า เป็นคนโทรหาตำรวจที่ถูกยิงเสียชีวิตในบ้านกำนันนก ก็เสียชีวิตจากการ ‘ยิงตัวตาย’ อย่างปริศนา

สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบลงด้วยการแต่งตั้งพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สุดท้ายพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ก็สั่งให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์เลิกยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เปลี่ยนชุดพนักงานสอบสวน แล้วเรื่องทั้งหมดก็จบลงด้วยการให้คอมมานโดไปล้อมบ้านพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ด้วยเหตุว่า ‘รับเงิน’ เว็บพนันออนไลน์ จนพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์เตรียมแฉกลับ จนต้องจบด้วยภาพยืนกอดกันที่คอนโดมิเนียมเมืองทองธานีของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ว่าจะ ‘หยุด’ แค่นี้ ก่อนเรื่องจะลุกลามบานปลาย

เป็นอันจบซีซันแรกแบบงงๆ ชอบกล

อันที่จริงแล้ว เรื่องเว็บพนันออนไลน์เป็นเรื่องที่ตำรวจด้วยกันไม่อยาก ‘แฉ’ มากนัก เพราะตำรวจยุคนี้หลายคนมีเส้นทางการเงินที่หากสืบไปก็ไม่ธรรมดา บางคนเกี่ยวข้องโดยตรง เป็นเจ้าของเว็บพนันเองผ่านนอมินี บางคนให้ลูกน้องเปิดเว็บให้ บางคนก็คอยหลับตาข้างหนึ่ง แล้วรับผลประโยชน์จากเว็บพนัน ก่อนให้ลูกน้องกระจายต่อไปแหล่งต่างๆ แบ่งให้ครบ ให้ทั่วถึงกันถ้วนหน้า

ในอดีต ตำรวจอาจรับเงินจาก ‘บ่อน’ จากสถานบันเทิงโดยตรง แต่ในยุคออนไลน์ อะไรๆ ก็ง่ายขึ้น ยุคนี้ตำรวจบางคนเลยดูอู้ฟู่ผิดปกติ อู้ฟู่ขนาดจ่ายเงินเดือนนักข่าวให้ทำข่าว เขียนเชียร์ตัวเอง เดือนละ 1-2 หมื่นบาท โดยรู้ทั่วกันในวงการ

ปัญหาก็คือเรื่องนี้ ไม่ใช่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์คนเดียวที่ถูกตั้งข้อสังเกต ปัญหาก็คือยังมีตำรวจอีกมากที่เข้าข่ายนี้ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับผู้บังคับบัญชา หรือกำลังจะขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต

ตำรวจบางคนมองว่า เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ หากในแง่หนึ่ง ยังคงทำงานสอบสวน สืบสวน หรือยัง ‘จับผู้ร้าย’ อยู่ ขณะที่บางส่วนก็มองเป็นเรื่องของการทำธุรกิจ ทำทุน เพื่อต่อยอดไปสู่ตำแหน่งใหญ่ๆ ที่ต้องใช้เงินมากขึ้น จนกลายเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นอีกเรื่องเหม็นๆ ที่อยู่คู่กับประเทศไทย

ย้อนกลับมามองศึกรอบนี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการ ‘เปิดศึก’ รอบใหม่อีกรอบ ทั้งที่ทั้งคู่เคยรับปากกับเศรษฐาว่าจะ ‘เคลียร์ใจ’ กัน ไม่เปิดศึกรอบใหม่ ตั้งแต่รอบก่อน เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา หนังทั้งหมดกลายเป็นเวียนฉายซ้ำอีกครั้ง โดยที่เศรษฐาทำได้แต่นั่งดู

เพราะเอาเข้าจริง หากปล่อยให้ใครคนใดคนหนึ่งแฉว่า เส้นทางการเงินไปถึงใครบ้าง สุดท้าย เรื่องนี้จะ ‘บานปลาย’ จนเอาไม่อยู่ ตำรวจดีๆ อาจเหลือแค่ตำรวจอุ้มเด็กที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ขณะเดียวกัน เป้าประสงค์เรื่องนี้มีเพียงไม่กี่เรื่อง คือพลตำรวจเอกต่อศักดิ์เห็นว่า เครือข่ายพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ‘อันตราย’ เกินไป กว่าจะให้ขึ้นมามีอำนาจ ขึ้นมาเป็นใหญ่ โดยเฉพาะหากต้องขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในอนาคต ขณะที่พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์เมื่อโดนทำลายก็ต้องสู้กลับ 

เมื่อเศรษฐาเอาไม่อยู่ ก็ต้องต่อสายถึงผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลขอให้จัดการเรื่องนี้ให้อยู่มือ จึงเป็นที่มาของการ ‘ย้ายคู่’ ไปนั่งตบยุงสักระยะที่ทำเนียบรัฐบาล ลำพังย้ายพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์นั้นไม่ยากเท่าไร ทว่าคำสั่งย้ายพลตำรวจเอกต่อศักดิ์นั้น หากไม่ได้ไฟเขียวจากผู้มากบารมี เศรษฐาก็ไม่สามารถย้ายได้ด้วยตัวเอง

เรื่องนี้อาจดูเหมือน ‘ผิดทั้งคู่’ แต่หากพิจารณาคำสั่งย้ายให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีนั้น พลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ‘เละ’ กว่า ทั้งในเชิงเป็นผู้บังคับบัญชา แต่ไม่สามารถบริหารได้ ทั้งในเชิงที่พลตำรวจเอกต่อศักดิ์คงเหลืออายุราชการเพียง 6 เดือน และไม่รู้จะได้กลับมาหรือไม่ ทว่าพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์เหลืออายุราชการอีกกว่า 7 ปี

แต่ถามว่าเรื่องทั้งหมดจะหยุดหรือไม่… แม้คำสั่งของนายกฯ หรือผู้บังคับบัญชาอย่าง พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพชร รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะขอให้ทั้งสองฝ่าย ‘หยุด’ แต่อย่างที่บอก ทั้ง 2 คน เมื่อมาด้วยวิธีพิเศษ ‘ข้าม’ มาหลายคน ย่อมมีทั้งศัตรูที่มองเห็น และมองไม่เห็นอีกไม่น้อยนับจากนี้ วงการตำรวจจะใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งในการต่อสู้กัน ขณะเดียวกัน เมื่อคดีความเริ่มนับหนึ่งแล้ว การต่อสู้ระหว่างสองฝ่ายก็น่าจะห้ามไม่อยู่ แม้ระดับหัวจะโดน ‘ดอง’ กันหมดแล้ว

ในเวลาเดียวกัน เว็บพนันออนไลน์จะดำรงอยู่ต่อไป แต่ละฝ่ายอาจหวาดระแวงบ้าง แต่หากตกลงกันได้ เลิก ‘แฉ’ ซึ่งกันและกัน ทุกอย่างก็จะดำเนินไปราบรื่น

วงการตำรวจก็เป็นเช่นนี้ตลอดมา และจะเป็นเช่นนี้ต่อไป ตราบใดที่ ‘การเมือง’ ยังเป็นแบบนี้ และยังต้องอาศัยตำรวจเป็นพรรคพวก

Tags: , , ,