เราหลายคนอาจคุ้นเคยจนกระทั่งสามารถท่องจำเรื่องราวของ อะลาดิน ชายหนุ่มปอนๆ ที่ตกหลุมรัก จัสมิน เจ้าหญิงผู้เลอโฉม และได้ความช่วยเหลือจากยักษ์ในตะเกียงแก้วได้เป็นอย่างดี พอๆ กับที่ดนตรีอินโทรของเพลง A Whole New World บรรเลงขึ้นมาแล้วหลายคนจะร้องขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

จากอะนิเมชั่นของดิสนี่ย์เมื่อปี 1992 สู่ภาพยนตร์ live action ในปี 2019 ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวให้มีความร่วมสมัยและเป็นหนังอเมริกันสุดป๊อบที่หลายคนรอชม ความน่าสนใจคือ จากการตั้งต้นที่ตัวนิทาน พอมาเป็นหนัง ผู้สร้างได้พยายามสอดแทรกประเด็น ‘ความเท่าเทียม’ ให้บทดู ‘โตขึ้น’ หรือมีน้ำเสียงวิพากษ์สังคมมากขึ้น

หนังเลือกขับเน้นประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ ตั้งแต่เรื่องกฎมณเฑียรบาลที่ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ว่าเหตุใดผู้หญิงถึงไม่สามารถทำหน้าที่ในการปกครองบ้านเมืองได้ ซึ่งหนังถ่ายทอดอารมณ์ความอึดอัด ขับข้องใจนั้นผ่านเจ้าหญิงจัสมินผู้มีอุดมการณ์สตรีนิยม ที่เธอต้องการพิสูจน์ว่าเธอก็คู่ควรกับการปกครองบ้านเมือง ทั้งยังมีความเข้าอกเข้าใจประชาชน เธอชื่นชอบการปลอมตัว แฝงกายออกจากวังเพื่อไปพบปะผู้คนข้างนอก

อีกหนึ่งประเด็นที่เด่นชัดคือเรื่องทาสและการกดขี่ ที่เล่าผ่านตัวยักษ์จีนี่ ซึ่งรับบทโดยนักแสดงผิวดำอย่าง วิล สมิธ และไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ ภาพที่ออกมาก็คือตัวละครจีนี่ได้สะท้อนภาพของทาสเชื้อสายแอฟริกันในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนังใส่เส้นเรื่องของยักษ์จีนี่ผู้ที่มีชีวิตมาแล้วนานกว่า 2,000 ปีในตะเกียงที่อุดอู้

ทางเลือกนี้ของผู้สร้าง ทำให้เมื่อครั้งที่ภาพแรกจากตัวอย่างภาพยนตร์ออกมา ได้เกิดกระแสไม่เห็นด้วยที่บทนี้ตกเป็นของวิล สมิธ เพราะภาพจำของยักษ์จีนี่ คือยักษ์ร่างท้วม น่ากอด น่าฟัดเสียมากกว่า (ซึ่งเมื่อครั้งที่เป็นการ์ตูนให้เสียงโดยนักแสดงตลกโรบิน วิลเลียม) ขณะที่ยักษ์จีนี่ฉบับวิล สมิธ กลับมีหุ่นกำยำ ดูเซ็กซี่เข้ากับเทรนด์สุขภาพดียุค 2019 ซึ่งแม้จะขัดกับภาพจำเดิมที่การ์ตูนได้สร้างเอาไว้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า นอกเหนือไปจากเนื้อหนังมังสาที่น่ามองนั้น วิล สมิธ คือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่อง Aladdin เขาได้สร้างตัวละครยักษ์จีนี่ที่แม้จะไม่ได้อ้วนท้วนชวนกอด แต่ก็ดูอ่อนโยน เป็นมิตร และร่ำรวยอารมณ์ขัน หากนี่ไม่ใช่พรสวรรค์ ก็คงต้องเรียกว่าเป็น เวทมนตร์ ที่ไม่ใช่ใครก็จะร่ายได้สำเร็จ และด้วยคาแรกเตอร์นี้เองทำให้มิตรภาพระหว่างอะลาดินกับจีนี่เป็นอีกส่วนที่น่าจดจำภายในเรื่อง

แต่ทว่าเรื่องราวของจัสมินและยักษ์จีนี่อันเป็นส่วนที่ดีของหนังนั้นกลับมีให้เห็นเพียงน้อยนิด เมื่อถึงคราวของเพลง Speechless ที่ประพันธ์ขึ้นใหม่ เพื่อสอดรับกับเรื่องราวของจัสมิน ในวันที่เธอไม่อาจนิ่งเฉยต่อความอยุติธรรม มันกลับไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในแบบที่ควรจะเป็นมากนัก เพราะมุมมองของหนังต่อตัวจัสมินนั้นมันยังไม่มากพอที่จะส่งพลังออกมาได้มากนัก เช่นเดียวกับเรื่องราวของยักษ์จีนี่ ทั้งสองข้อนี้ได้ถูกแทนที่ด้วยประเด็นความรักของชายหนุ่มและหญิงสาวที่ยังคงเป็นแก่นเรื่องหลักไปอย่างน่าเสียดาย

ภาพยนตร์ของดิสนี่ย์หลายเรื่องนั้นมักจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเด็ก เมื่อใดที่มีโลโก้นี้แปะหราอยู่ คนดูจึงแน่ใจได้อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่ได้ดูนั้นจะได้รับการขัดเกลาให้มีความบริสุทธิ์ กระทั่งเกือบๆ จะเข้าข่าย ‘โลกสวย’ เสียก็หลายครั้ง

หากมองในแง่ความตั้งใจที่จะปลูกฝังค่านิยมที่ทางผู้สร้างหรือสังคมกระแสหลักมองเห็นว่าดีลงไปในเด็กๆ แล้ว นั่นคงนับเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวหนัง เพราะเรื่องราวความรัก ความดีที่บริสุทธิ์งดงามและมีคติสอนใจ ย่อมทำให้ผู้ปกครองหลายคนเต็มใจควักเงินพาบุตรหลาน ตีตั๋วเข้าไปนั่งชมกันอย่างพร้อมหน้า เด็กๆ ทั้งหลายก็ได้ซึมซับเรื่องราวชวนฝันอย่างเพลิดเพลิน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ยามที่พวกเขาย่างเข้าสู่วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และได้มองกลับไปยังหนังที่เคยดู เขาอาจจะมองเห็นชั้นตะกอนที่ซ่อนอยู่ในหนังที่เขาไม่เคยได้เห็นผ่านสายตาครั้งยังเยาว์วัย และเขาอาจจะถอนใจกับตัวเองอย่างผิดหวังถึงโลกของความเป็นจริงที่ไม่ได้มียักษ์จีนี่ ในตะเกียงแก้วคอยเนรมิตให้ทุกอย่างเป็นไปดั่งใจหวัง หรือเจ้าหญิงเจ้าชายที่สุดแสนจะเพอร์เฟกต์นั้น ก็ล้วนแล้วแต่เป็นนิทานก่อนนอนเพื่อขับกล่อมให้ฝันดี

ที่สุดแล้ว อะลาดินฉบับ live action นี้ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นนิทานกล่อมนอนอย่างสุดขีด แม้จะใส่เลเยอร์เรื่องความเหลื่อมล้ำลงไปบ้างแล้วก็ตาม และเมื่อเราเองได้ดูมันตอนที่เติบโตขึ้นแล้ว ก็พบว่ามีหลายภาพเหลือเกินที่ได้ถูกโรแมนติไซส์ให้กลายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้และกลายเป็นเพียงฉากประกอบของนิทานชวนฝัน

อะลาดิน เป็นเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในเมืองที่แร้นแค้น เขาไม่มีครอบครัว หากไม่นับเจ้าจ๋อลิงเพื่อนหัวขโมยที่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา เขามีชีวิตอยู่โดยการดำรงชีพเป็นขโมย และหนังก็ทำให้เรายอมรับด้านนั้นของเขาได้ ในฉากหนึ่งสั้นๆ เมื่อเขาหยิบยื่นขนมปังที่ได้มาจากความไม่เป็นธรรมนั้นให้กับครอบครัวหนึ่งที่ยากจนกว่า

กระทั่งเขาได้เจอกับหญิงสาวผู้หนึ่งที่หยิบของกินจากร้านแผงลอยให้กับเด็กน้อยที่หิวโหย จนเจ้าของร้านพยายามจะเข้าจับกุมตัวเธอในฐานะขโมย และอะลาดินได้เข้ามาช่วยไว้อีกที โดยไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นั้นคือจัสมินเจ้าหญิงของเมืองนี้ เธอบอกแต่เพียงว่าเธอเป็นหญิงรับใช้คนสนิทของเจ้าหญิง

ทั้งคู่หลบหนีการไล่ล่าจากพ่อค้าที่ต้องการตามจับตัว ซึ่งเหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างอลหม่าน สนุก และขบขันในแบบที่หนังเรื่องหนึ่งพึงเป็น กระทั่งเราได้เห็นสภาพที่อยู่อาศัยของหนุ่มน้อยอะลาดินว่ามันซ่อมซ่อขนาดไหน (และหนังก็โรแมนทิไซส์ความไม่มีอันจะกินนั้นได้อย่างงดงาม) ในฉากไล่เลี่ยกันเราก็เห็นภาพปราสาทแสนสวยงามที่ตั้งตระหง่านต่อหน้าบรรดาบ้านเรือนเล็กๆ ได้เป็นอย่างดี แล้วเราก็หลงลืมไปว่าการขโมย ไม่ได้เป็นเพียงแค่พรหมลิขิตที่ทำให้หนุ่มสาวพบกัน แต่มันคือผลพวงของความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ผลักให้ผู้คนต้องเอาตัวรอดแม้ต้องเบียดเบียนคนอื่น

การพบกันโดยการขโมยนำมาซึ่งความรักอันหวานซึ้ง หากแต่ในความเป็นจริงเราสามารถยอมรับการกระทำผิดได้หมดใจหรือไม่ หากที่สุดแล้วการกระทำนั้นนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดีการขโมยเพื่อการอยู่รอดไปวันๆ ของอะลาดินสามารถชอบธรรมได้จากการแบ่งปันให้กับผู้ที่ด้อยกว่าบ้างในบางครั้งคราวหรือเปล่า? และเป็นไปได้ไหมถ้าเราจะเทียบเคียงเรื่องเล็กๆ นั้นได้กับปัญหาที่ใหญ่กว่า ว่าบางทีคงไม่ต้องสนถึงวิธีการ เพียงแค่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่เป็นบวกก็เพียงพอ?

รวมถึงการปกปิดตัวตนที่แท้จริงของจัสมินในช่วงต้นเรื่อง ก็ถูกทำให้เป็นเรื่องขบขัน เมื่อราชนิกูลสาวมาสวมรอยเป็นสามัญชน มันกลายเป็นโมเมนต์น่ารักเมื่อความจริงเปิดเผย ขณะที่การปกปิดตัวตนของอะลาดินเพื่อเข้ามาพิชิตใจของจัสมิน ผ่านการร่ายมนต์เนรมิตของยักษ์ในตะเกียงให้เขากลายเป็นเจ้าชายที่มาจากเมืองปลอมๆ กลับกลายเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ เมื่อเจ้าคนต่ำศักดิ์มาบังอาจปลอมตัวเป็นชายชั้นสูง

Aladdin และหนังดิสนี่ย์อีกหลายเรื่อง มักตั้งต้นมาด้วยไอเดียที่น่าสนใจ แต่น้อยเรื่องที่จะสามารถสร้างโลกยูโธเปียโดยไม่ทำให้คนดู (บางส่วน) รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ซึ่งการพยายามที่จะโรแมนติไซส์เรื่องราวต่างๆ จนเอ่อล้น อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก สุดท้ายแล้วการการร่ายมนต์ของดิสนี่ย์จากอะนิเมชั่น สู่ภาพยนตร์ live action นั้น ได้เนรมิตภาพและเสียงที่น่าตื่นตาตื่นใจ และดูสมจริงในแง่วิชวล ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ภูมิประเทศที่ชวนมอง ขบวนพาเหรดของยักษ์จีนี่ ฉากต่อสู้ที่ชวนลุ้นไม่ติดเก้าอี้ ทว่า ‘ความจริง’ กลับเป็นสิ่งที่ขาดแคลนและแทบจะไม่หลงเหลือให้จับต้องได้เลย แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเรากำลังเข้าไปเสพแฟนตาซีก็ตาม แต่ผู้ชมอย่างเราเองกลับอดจะตะขิดตะขวงไม่ได้

การหยิบยื่นความหวังและพลังงานด้านบวก หรือการปล่อยตัวเองให้อยู่ในโลกมายาที่แสนสุขเป็นครั้งคราว ก็คงไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร บางครั้งมันก็เติมเต็มความสุขและกระตุ้นเร้าจินตนาการที่บรรเจิดได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราก็จะกลับมาสู่โลกของความจริงอยู่ดี โลกที่ยังไม่มีความเท่าเทียม โลกที่เต็มไปด้วยลำดับชั้นและความเหลื่อมล้ำ โลกที่คนตัวเล็กๆ ถูกมองผ่านไปเช่นเศษธุลี และเราคงไม่ได้โชคดีเหมือนอะลาดินกันเสียทุกคน ที่จะมียักษ์จีนี่คอยช่วยเหลือให้โบยบิน และพาตัวเองหลุดออกไปจากวงโคจรของการเป็นคนตัวเล็กที่หิวโหย และไร้ซึ่งสิทธิ์เสียงในทุกๆ สิ่ง

บางทีการดูหนังดิสนี่ย์ให้สนุก อาจเป็นการหลับตาลงจากโลกความเป็นจริง และทิ้งความจริงอันแสนปวดร้าวเหล่านั้นไว้ข้างนอก อย่างน้อยๆ ก็จนกว่าหนังนั้นจะจบลง และแสงไฟในโรงค่อยๆ สว่างขึ้นนั่นแหละ

Tags: ,