เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว มีข่าวเล็กๆ จากสถานทูตสหรัฐอเมริกาในเยอรมนีว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มีความประสงค์จะเดินทางไปเยือนเมืองคัลล์ชตัดต์ เมืองขนาดเล็กซึ่งเป็นแหล่งปลูกองุ่นไวน์ที่มีชื่อเสียงของรัฐไรห์นลันด์-ฟาลซ์ และมีประชากรราว 1,200 คน เหตุผลเพื่อต้องการเห็นถิ่นฐานบ้านเกิดของบรรพบุรุษฝ่ายบิดา ที่เขายังไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อน
บรรพบุรุษของโดนัลด์ ทรัมป์ เคยมีพื้นเพเดิมในประเทศเยอรมนี ในยุคที่เป็นอาณาจักรไรช์ แต่มีเหตุบังคับให้พวกเขาต้องละทิ้งถิ่นอาศัย อพยพไปอยู่สหรัฐอเมริกา
เรือกลไฟ ‘เพนน์ซิลเวเนีย’ ความยาว 176 เมตร มีธงสัญลักษณ์ของฮัมบวร์ก กำลังแล่นออกจากเมืองท่าคุกซ์ฮาเฟนสู่กลางทะเล บนเรือลำนั้นมีเอลิซาเบธ (Elizabeth) และฟรีดริช (Friedrich) หรือเฟรเดอริค ทรัมป์ (Frederick Trump) พร้อมกับลูกสาวโดยสารไปด้วย พวกเขาถูกผลักไสไล่ส่งออกจากเยอรมนีราวกับเป็นอาชญากร ต้องเดินทางกลับไปอเมริกาทั้งๆ ที่เพิ่งเดินทางกลับมาเมื่อไม่นานนี้เอง
บุคคลทั้งสองคือปู่และย่าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองคัลล์ชตัดต์ ในมณฑลฟาลซ์ อพยพออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปอยู่อเมริกา แต่เพราะผู้เป็นภรรยาโหยหาคิดถึงบ้าน จึงพากันเดินทางกลับสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด พร้อมจดแจ้งภูมิลำเนาอีกครั้งเพื่อขอขึ้นทะเบียนราษฏร์เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1904 มีเขา ภรรยา ลูกสาววัยสามเดือน และทรัพย์สินติดตัวอยู่ประมาณ 80,000 มาร์ก การกลับมาถือครองสัญชาติเดิมอีกครั้งได้รับการรับรองโดยนายกเทศมนตรีเมืองคัลล์ชตัดต์

ฟรีดริช ทรัมป์
ฟรีดริช ทรัมป์ เกิดเมื่อปี 1896 ที่เมืองคัลล์ชตัดต์ เป็นลูกชายคนที่สี่ของครอบครัวพี่น้องหกคน พ่อเป็นคนปลูกองุ่นไวน์ เสียชีวิตตอนที่ฟรีดริชอายุเพียง 8 ขวบ นับจากช่วงเวลานั้นชีวิตเริ่มลำเค็ญ ครอบครัวมีหนี้สิน พี่ชายคนโตที่เพิ่งอายุได้ 14 ปี ต้องออกแรงช่วยแม่ในไร่ไวน์ ส่วนฟรีดริชซึ่งดูคล้ายจะเป็นลูกคนโปรดของนาง แม้ว่างานในไร่ต้องการคนช่วยอย่างเต็มกำลังแค่ไหน แต่นางก็มีเหตุผลว่าเขาอ่อนแอเกินไปสำหรับงานหนักอย่างนั้น ลูกคนโปรดจึงถูกส่งไปร่ำเรียนวิชาชีพ ‘ช่างตัดผม’
และนั่นเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเลือกทางเดินไปสู่โลกใหม่ งานตัดผมและโกนหนวดในเมืองเล็กๆ ที่ปราศจากสังคมดีๆ ไม่สามารถสร้างรายได้มากนัก ระหว่างที่ยังเรียนรู้งานไม่จบหลักสูตร ฟรีดริชก็เริ่มรู้ตัวว่า เขาไม่สามารถเลี้ยงชีพได้ด้วยงานฝีมือแบบนี้
ตอนที่ก้าวขึ้นเรือโดยสารจากเมืองเบรเมนเพื่อมุ่งหน้าไปนิวยอร์ก ฟรีดริชอายุ 16 ในช่วงเวลานั้นเป็นที่มาของหมายคาดโทษ ซึ่งย้อนกลับมาเล่นงานเขาในเวลาต่อมา ‘เดินทางไปอเมริกาโดยไม่ได้รับอนุญาต’ เป็นอักษรบันทึกท้ายชื่อของเขาในรายชื่อทหารเกณฑ์ ในยุคสมัยนั้นมีกฎหมายห้ามคนวัยหนุ่มเดินทางออกนอกอาณาจักร หากยังไม่ถูกคัดเลือกเข้าเป็นทหารเกณฑ์ ฟรีดริชฝ่าฝืนกฎหมาย แต่ก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวในเยอรมนี ยังมีเด็กหนุ่มอีกนับพันคนที่ตัดสินใจหนีปัญหานี้ด้วยการยัดเงิน ซื้อใบอนุญาตเดินทางออก กลายเป็นบุคคลสาบสูญ และไม่มีเอกสารการเดินทางออกให้อย่างเป็นทางการ
หนุ่มฟรีดริชเริ่มทำงานเป็นช่างตัดผมในย่านคนรวยของนิวยอร์ก ขวนขวายร่ำเรียนภาษาอังกฤษ จากนั้นค่อยๆ หาช่องทางต่อไป ปี 1891 เขาเปิดร้านอาหารแห่งหนึ่งในซีแอตเทิล ปี 1982 เขาเปลี่ยนชื่อของตนเองเป็น ‘เฟรเดอริค’ เมื่อได้สัญชาติอเมริกันแล้วเขาก็ซื้อกิจการโรงแรมและซ่องโสเภณีในย่านที่ใกล้กับเหมืองทอง จากช่างตัดผมเร่ร่อนค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นเป็นชายผู้มีฐานะ
จนเมื่อเวลาผ่านไปสิบปี เขาก็มีเงินมากพอจะเดินทางกลับไปเยือนบ้านเก่าได้ ในปี 1901 ที่ทรัมป์เดินทางไปเยี่ยมแม่ของเขาในเมืองคัลล์ชตัดต์ เขาได้พบกับเอลิซาเบธ หญิงสาววัยอ่อนกว่า 12 ปี แม้ว่าครอบครัวของเขาจะมองว่าเธอเป็นหญิงที่ไม่คู่ควรกับเขา แต่ในปี 1902 เฟรเดอริคก็เดินทางกลับไปเยอรมนีเพื่อแต่งงานกับเธอ ทั้งสองไปใช้ชีวิตคู่อยู่ในนิวยอร์ก แต่ใช้ความพยายามได้ไม่นาน เอลิซาเบธอยากกลับบ้านเกิดที่มณฑลฟาลซ์
“นายต้องพาเธอกลับมา ถ้าเธออยู่ที่นั่นไม่ได้จริงๆ” พ่อตาเคยย้ำกำชับ เฟรเดอริค ทรัมป์เป็นชายที่ยึดมั่นในสัญญา เมื่อลูกสาวตัวน้อยอายุครบสองเดือน เขาก็จองตั๋วเรือโดยสารกลับยุโรป
ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกเช่นกัน ที่บรรดานักแสวงโชคจะหวนกลับสู่ถิ่นฐานเดิม บางคนกลับมาพร้อมเศษเงินติดกระเป๋า ป่วยใกล้ตาย ล้มเหลว หรือบางคนก็หอบความมั่งคั่งกลับบ้าน ครอบครัวทรัมป์เมื่อกลับถึงบ้านเก่านั้นดูเหมือนจะได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่แล้วก็มีปัญหาติดขัดกับฝ่ายทะเบียนราษฎร์ของอาณาจักรไรช์ หรือราชอาณาจักรบาวาเรีย ที่มณฑลฟาลซ์อยู่ในเขตปกครอง เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า ฟรีดริช ทรัมป์เคยเดินทางออกนอกอาณาจักรโดยไม่ผ่านการเกณฑ์ทหารมาก่อน และนั่นเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ชื่อของเขาไม่ได้รับการรับรองในทะเบียนราษฎร์
วันที่ 13 มีนาคม 1905 ทรัมป์ต้องเดินทางไปที่สำนักนายกเทศมนตรี เจ้าหน้าที่ส่งมอบใบสัญชาติอเมริกันคืนแก่เขา การยื่นขอจดทะเบียนราษฎร์ไม่ผ่านการอนุมัติ ซ้ำร้ายยังถูกมองว่าเป็นคนหลบเลี่ยงภาระทหาร มีความผิดทางกฎหมาย
ฟรีดริช ทรัมป์แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินกับหูของตนเอง เขาตัดสินใจเดินเกมต่อด้วยวิธีที่ไม่ปกติ นั่นคือเขียนฎีกาถึงเจ้าชายลูอิตโพลด์ แห่งบาวาเรียโดยตรง เล่าถึงความรู้สึกตระหนกเมื่อได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมทั้งวอนขอความเมตตาจากพระองค์ ให้ตอบรับเขาเพื่อกลับไปเป็นพลเมืองบาวาเรียนดังเดิม ไม่เช่นนั้นแล้วเขาและครอบครัวจะต้องถูกผลักไสออกจากเยอรมนี ให้ต้องทุกข์ระกำลำบาก
เป็นไปได้ว่า เจ้าชายลูอิตโพลด์ไม่เคยได้อ่านฏีกาของทรัมป์ เนื่องจากไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น หมายแจ้งจากฝ่ายทะเบียนราษฎร์ของอาณาจักรไรช์ยังคงเหมือนเดิม ให้เขาและครอบครัวเดินทางออกจากอาณาจักร ทรัมป์ได้รับหมายแจ้งในวันที่ 28 กรกฎาคม 1905 และมีเวลาจัดเก็บสัมภาระเพื่อเดินทางไปขึ้นเรือ ‘เพนซิลเวเนีย’ ภายใน 4 วัน
ความทุกข์ระกำลำบากที่เฟรเดอริค ทรัมป์คาดไว้นั้น สำหรับเขาแล้วมันเป็นความรู้สึกเสียหน้าและสิ้นหวัง ส่วนเอลิซาเบธ ภรรยาของเขาที่เพิ่งตั้งครรภ์เฟรด (Fred) ผู้เป็นบิดาของโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องเผชิญกับความหวั่นวิตก กับการต้องเดินทางกลับไปยังดินแดนที่เธอไร้ความสุขในการใช้ชีวิตอยู่
อ้างอิง:
- Gwenda Blair, The Trumps: Three Generations of Builders and a President, Simon & Schuster (2001)
- https://www.politico.com/magazine/story/2015/08/the-man-who-made-trump-who-he-is-121647
- http://www.spiegel.de/politik/ausland/us-praesident-donald-trump-will-deutschen-heimatort-seiner-vorfahren-besuchen-a-1244951.html