การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาไม่ว่ากับเรื่องไหนก็ตาม แม้แต่เรื่องใหญ่ๆ อย่างการเปลี่ยนแผ่นดินที่ทิ้งความโศกเศร้าไว้ให้กับชาวไทยทุกคนในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าบ้านเมืองขณะนี้จะอยู่ในเวลาของความหม่นเศร้า แต่โลกยังคงต้องหมุนต่อไป และการเปลี่ยนผ่านย่อมเกิดขึ้นตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การเปลี่ยนแปลงของสถาบันกษัตริย์ไทยในโลกยุคใหม่คือเรื่องสำคัญที่น้อยคนจะกล้าพูดออกมาดังๆ แต่ The Momentum คิดว่าจำเป็นจะต้องพูดเพื่อเป็นการคลายข้อสงสัย ลดทอนความกังวล ฉายภาพอนาคตที่หลายคนนึกไปไม่ถึงให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
และที่สำคัญที่สุดก็เพื่อเทิดทูนและรักษาสถาบันกษัตริย์ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานนับพันปีให้ดำรงสืบไปได้อย่างยั่งยืน
The King is dead, Long live the King.
คือพระเจ้าแผ่นดินสวรรคต
พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่จงทรงพระเจริญ
เพราะแผ่นดินนั้นขาดพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
หนึ่งในคนที่กล้าพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจน และตรงไปตรงมาก็คือ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักวิชาการอิสระที่ได้รับสมญานามว่า ‘ปัญญาชนสยาม’ ปัจจุบันเขาอายุ 84 ปี และมีชีวิตที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงถึง 3 แผ่นดิน
เราถามเขาตรงๆ หลายเรื่อง ทั้งสถาบันกษัตริย์ในยุคเปลี่ยนผ่าน การปรับตัวของสถาบันกษัตริย์ในโลกสมัยใหม่ พระมหากรุณาธิคุณของสถาบันกษัตริย์ที่มีต่อสังคมไทย และภาพอนาคตที่เราควรจะดำเนินไป
ส.ศิวรักษ์ ตอบทุกคำถามด้วยความจริงใจ ตรงไปตรงมา และด้วยความหวังดียิ่ง เพราะเขามองว่าการออกมาพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์เป็นเรื่องที่ ‘กัลยาณมิตร’ จำเป็นต้องทำ
ตอนที่ทราบข่าวการสวรรคต ความรู้สึกของคุณตอนนั้นเป็นอย่างไร
ในแง่หนึ่งก็ใจหายนะ เพราะพระองค์ท่านเสวยราชย์มาตั้ง 70 ปี ผมก็คุ้นกับแผ่นดินท่านมานาน สำหรับคนทั่วๆ ไปผมอาจจะคุ้นกับท่านมากที่สุด เพราะผมโดนคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมากที่สุด ขณะเดียวกันพระองค์ท่านก็มีพระเมตตากับผม เมื่อผมโดนคดีครั้งแรก ผมต้องขึ้นศาลทหาร พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งให้ถอนคดีจากศาลทหาร ถือเป็นพระเดชพระคุณของท่าน หลายต่อหลายเรื่องท่านก็มีพระมหากรุณาธิคุณกับผมมา ผมเคยตามเสด็จท่านทั้งที่ประเทศอังกฤษ ทั้งที่ประเทศวิลันดา (ชื่อเรียกประเทศเนเธอร์แลนด์ในสมัยอยุธยา) ก็คุ้นเคยใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่บ้าง
คนเราในโลกนั้น สิ่งที่สำคัญไม่ใช่อำนาจ
ไม่ใช่เงินตรา ไม่ใช่เกียรติยศชื่อเสียง
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์คือ มีกัลยาณมิตร
กัลยาณมิตรคือผู้ที่กล้าตักเตือนเรา กล้าพูดในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง
คุณโศกเศร้าเสียใจมากน้อยแค่ไหน
คนโศกเศร้าเสียใจก็ห้ามเขาไม่ได้นะ แต่ผมถือตัวผมเป็นบัณฑิต ก็ต้องรู้จักกลั้นความโศกเศร้าเสียใจ ต้องรู้จักเรื่องอนิจจลักษณะ ความเป็นความตายเป็นของธรรมดา ความเปลี่ยนแปลงเป็นของธรรมดา แล้วเชื่อว่าท่านก็ทำคุณงามความดีไว้มาก ก็น่าจะได้ไปในที่ที่ดี
ระหว่างที่มีข่าวเรื่องการสวรรคต ผมไปประชุมที่อินเดีย วันรุ่งขึ้นที่รู้ข่าวผมก็ขอให้ที่ประชุมทั้งหมดจากทั่วโลก ซึ่งเป็นพุทธศาสนิกชนให้ยืนถวายความไว้อาลัย 1 นาที แล้วผมก็พูดต่อที่ประชุมกับศาสนิกชนทั่วโลกเลยว่า พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเป็นสามัญมนุษย์ ทรงประกอบด้วยคุณงามความดีหลายอย่าง แน่นอนในฐานะมนุษย์ ท่านก็ต้องมีข้อบกพร่องเป็นธรรมดา แต่ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ถือพุทธ เกือบจะเรียกว่าองค์เดียวในโลก ผมก็หวังว่าพวกที่ถือพุทธด้วยกันทั้งหมดจะอธิษฐานขออำนาจพระอมิตาภพระพุทธเจ้าให้รับพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชไว้ในแดนสุขาวดี เพราะทางมหายานเขาเชื่อว่าใครก็ตามที่เชื่อมั่นในพระพุทธคุณของพระอมิตาภพุทธเจ้าจะได้อยู่ในแดนสุขาวดี
ถ้าให้คุณนิยามช่วงเวลา 70 ปีที่ผ่านมา คือช่วงเวลาแบบไหน
70 ปีนี่นะ คุณต้องเข้าใจนะ พระเจ้าอยู่หัวท่านเป็นคนขยัน แล้วท่านก็ทำอะไรหลายอย่างที่ท่านเห็นว่ารัฐบาลทำไม่ได้เรื่อง ท่านก็มีโครงการพระราชดำริ และทำด้วยพระองค์เอง ท่านมีความปรารถนาดี หลายต่อหลายเรื่องเลย ทั้งแก้ไขปัญหาน้ำ เรื่องข้าว เรื่องอะไรสารพัดที่ท่านจะแก้ปัญหา แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าโครงการพระราชดำริเหล่านั้นมักได้คนที่ไม่สามารถรับสนองพระราชโองการ ไม่มีการตรวจสอบที่ดี ก็เลยไม่รู้ว่าความสำเร็จมากน้อยเพียงไหน อันนี้น่าเสียใจ
แต่ท่านมีความปรารถนาดีแน่ แล้วทำงานเหน็ดเหนื่อย อันนี้เรื่องจริง ท่านหวังดีต่อราษฎรจริงๆ จังๆ แต่คุณต้องเข้าใจว่าโครงสร้างในสังคมเนี่ยมันไม่เอื้อประโยชน์ต่อคนยากไร้เท่าไร มันก็เลยเข้าถึงคนยากไร้จริงๆ ได้ยาก อันนี้ก็ไปโทษท่านไม่ได้ ต้องไปโทษรัฐบาล ไปโทษคนที่ไม่อยู่ข้างประชาชนจริงๆ จังๆ
นี่ผมจะพูดให้หมั่นไส้นะ
พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนท่านรับสั่งอย่างนี้เลยนะ
ท่านบอกว่าสุลักษณ์เขาตั้งตัวเป็นเพื่อนฉัน
ท่านรับสั่งด้วยความหมั่นไส้ แต่ท่านก็ทรงพระมหากรุณาธิคุณ
หลังเกิดเหตุการณ์สวรรคต หลายคนสงสัยว่าเหตุการณ์หลังจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ประเทศจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร อยากให้เล่าให้ฟังหน่อยว่าปกติช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านจะต้องมีกระบวนการอะไรบ้าง
พูดอย่างตรงไปตรงมา ประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์นั้นเขาถือว่า… ภาษาอังกฤษใช้คำนี้เลยนะครับ คือ The King is dead, Long live the King. คือพระเจ้าแผ่นดินสวรรคต พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่จงทรงพระเจริญ เพราะแผ่นดินนั้นขาดพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว
เมื่อรัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติวันที่ 2 มีนาคม (พ.ศ. 2477) ในหลวงอานันทฯ ไม่รับเสวยราชสมบัติจนวันที่ 7 เพราะท่านอยู่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ในทางกฎหมายนั้นท่านเสวยราชย์วันที่ 2 ติดต่อกันทันที เพราะขาดพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าตอนนี้ทำไมขาดได้ แสดงว่าผู้ปกครองบ้านเมืองเวลานี้อาจจะไม่แม่นยำเรื่องกฎหมาย
มองในแง่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ท่านก็อยากจะทำพระทัยปล่อยวางให้นึกถึงพระราชบิดาไว้ให้มาก ไม่อยากจะรีบเสวยราชย์ เรื่องนี้ก็ต้องเห็นพระทัยท่าน แต่ทีนี้ผู้ปกครองบ้านปกครองเมืองผมว่าน่าจะต้องแม่นยำในทางกฎหมายยิ่งกว่านี้ จะต้องกล้ากราบบังคมทูลยิ่งกว่านี้
คุณมีข้อเสนอแนะอย่างไรต่อเรื่องนี้
ข้อเสนอแนะก็คือ ผมเชื่อว่าสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เมื่อท่านทำพระทัยได้เกี่ยวกับพระราชบิดา ท่านก็คงจะยอมรับราชสมบัติโดยดุษณีภาพ เมื่อรับราชสมบัติแล้ว ท่านก็ควรจะเป็นพระเจ้าแผ่นดินภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องนี้ผมว่าท่านก็คงพร้อมที่จะยอมรับ
ทีนี้การเป็นพระเจ้าแผ่นดินภายใต้รัฐธรรมนูญของไทยนั้น กำหนดให้มีองคมนตรี ทีนี้องคมนตรีต้องแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย ผมก็เชื่อว่าท่านก็คงจะตั้งองคมนตรีตามพระราชอัธยาศัย ส่วนองคมนตรีของรัชกาลก่อนก็ต้องหมดสภาพไป และหวังว่าท่านจะตั้งคนใหม่ที่น่าจะเป็นคนซึ่งมีคุณภาพ มีความกล้าหาญทางจริยธรรม และพระองค์เองก็น่าจะพร้อมที่จะฟังคำแนะนำของคนเหล่านี้
องคมนตรีไม่ใช่เป็นไม้ประดับ แต่มีหน้าที่ที่ต้องกล้าขัดพระทัย กล้าชี้แนะสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ผมว่าถ้าเผื่อพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ท่านรับฟัง แสดงว่าท่านก็จะเติบโตงอกงาม
พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราในโลกนั้น สิ่งที่สำคัญไม่ใช่อำนาจ ไม่ใช่เงินตรา ไม่ใช่เกียรติยศชื่อเสียง สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์คือ มีกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรคือผู้ที่กล้าตักเตือนเรา กล้าพูดในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง ถ้ามีกัลยาณมิตรแล้วเราจะเติบโตงอกงาม ถ้าเขาพูดมาไม่ถูกใจเรา หรือเหลวไหลก็ช่างเขา ถ้าเขาพูดมาแล้วฟังขึ้น ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขตามที่เขาเสนอ เพราะเป็นพระเจ้าแผ่นดินนั้นส่วนมากคนจะเอาใจ ประจบประแจง ถ้ามีคนกล้าขัดคอ กล้าท้าทาย เรื่องนี้จะช่วยให้พระเจ้าแผ่นดินทรงพระสติ พระปัญญาเข้มแข็ง มีประโยชน์ต่อบ้านเมือง และมีประโยชน์ต่อพระองค์ท่านเองด้วย
จอมพลป.นี่รังแกพระเจ้าแผ่นดินทุกอย่างเลยนะครับ
เพราะสมัยนั้นอำนาจอยู่ที่เขา
พระเจ้าแผ่นดินนั้นเสด็จออกนอกวังสวนจิตรลดายังไม่ได้เลย
ปีหนึ่งให้ไปประทับที่หัวหินได้เพียง 3 สัปดาห์
แล้วที่คุณพยายามออกมาพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์อยู่บ่อยๆ ถือว่าคุณทำหน้าที่ของกัลยาณมิตรที่ดีสำหรับสถาบันกษัตริย์ด้วยหรือเปล่า
นี่ผมจะพูดให้หมั่นไส้นะ พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนท่านรับสั่งอย่างนี้เลยนะ ท่านบอกว่าสุลักษณ์เขาตั้งตัวเป็นเพื่อนฉัน ท่านรับสั่งด้วยความหมั่นไส้ แต่ท่านก็ทรงพระมหากรุณาธิคุณ
ธรรมดาครับ เรามีพระเจ้าแผ่นดิน เราก็ต้องรักท่าน เหมือนอยู่บ้านเดียวกัน รักกันก็ต้องเเนะนำกัน ไม่กลัวโกรธ เช่นเดียวกัน ถ้าเรารักในหลวง เราก็ต้องกล้าเเนะนำท่าน ไม่กลัวโกรธ
ทำไมคุณถึงเชื่อในการวิพากษ์วิจารณ์
เพราะการวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นของวิเศษที่สุดนะครับ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์องค์สุดท้าย เมื่อท่านยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครอง มีคนไปกราบบังคมทูลท่านบอกว่าทำอย่างนี้ๆ ราษฎรจะด่านะ ท่านบอกว่า อ๋อ ราษฎรไทยด่าพระเจ้าแผ่นดินอยู่ตลอดเวลา ฝนไม่ตกยังด่าพระเจ้าแผ่นดินเลย ถ้าเขาด่ามามันเหลวไหล คนก็จะลืมไปเอง ถ้าเขาด่าว่ามาแล้วจริง ต้องเปลี่ยนแปลงให้เขา
ผมจะเล่าความจริงให้ฟังเลยครับ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ท่านเคยเป็นอธิบดีกรมใหญ่ที่สุดในรัชกาลที่ 6 ท่านลาออกไปทำฟาร์มบางเบิด แล้วท่านเขียนลงหนังสือกสิกรว่า นโยบายรัฐบาลน่ะผิด คิดขายข้าวอย่างเดียว อย่างโน้นอย่างนี้ รัชกาลที่ 7 ขอให้ท่านสิทธิพรกลับมารับราชการเลยครับ ขอให้เป็นปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตรฯ ท่านบอกไม่เอา ถ้าเชื่อท่านก็ตั้งกรมใหม่สิ ตั้งกรมทดลองกสิกรรม นี่ที่เกิดแม่โจ้ขึ้นก็เพราะท่านสิทธิพรทั้งนั้น เพราะพระเจ้าแผ่นดินท่านฟังคำเตือนท่านสิทธิพร นี่สำคัญนะครับ คำเตือนเราต้องฟังด้วยความหวังดี
เมื่อเรามีพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่แล้ว คำวิพากษ์วิจารณ์จะกลับมา
ผมเชื่อว่าพระองค์ท่านคงจะเปิดโอกาสให้คนได้วิพากษ์วิจารณ์
ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่เป็นเทวราช หรือสมมติเทพ
แต่เป็นคนคนหนึ่ง
เราจะแยกได้อย่างไรว่าการวิพากษ์วิจารณ์นั้นเกิดจากความหวังดีหรือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
มันมี 2 อย่างนะครับ ถ้าเขาหมิ่นโดยใช้คำไม่เหมาะสม หยาบคาย มันมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่แล้ว จับเขาได้อยู่แล้ว ไม่เป็นปัญหาอะไรเลย แต่ถ้าเขาวิพากษ์วิจารณ์โดยที่หวังดี ตั้งใจดี แต่ถ้อยคำเขามันเลอะเทอะ ก็ต้องสงสารเขา อย่าไปสนใจเขา นี่รัชกาลที่ 7 รับสั่งเลย แล้วคนก็จะลืมไปเอง คำพูดบ้าๆ บอๆ คนก็ลืมไปเอง
แต่ในปัจจุบันประชาชนทั่วไปแทบไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์ นอกจากประเด็นทางกฎหมายแล้ว คุณคิดว่าเกิดจากอะไร
ต้องถอยไปสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เพราะเรามีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 พระเจ้าแผ่นดินอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ พระเจ้าแผ่นดินก็เหมือนคนทั้งหลายทั่วไป นี่ต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อน
นอกจากนั้นแล้วเรายังมีจอมพลป. พิบูลสงคราม ที่เป็นเผด็จการ จอมพลป.นี่รังแกพระเจ้าแผ่นดินทุกอย่างเลยนะครับ เพราะสมัยนั้นอำนาจอยู่ที่เขา พระเจ้าแผ่นดินนั้นเสด็จออกนอกวังสวนจิตรลดายังไม่ได้เลย ปีหนึ่งให้ไปประทับที่หัวหินได้เพียง 3 สัปดาห์ ออกทั่วประเทศยังไม่ได้เลย คุมหมด จะซื้อรถยนต์คันหนึ่งก็ต้องขอเขา ทีนี้พวกเราถึงรักในหลวงกันทั้งนั้น เพราะรัฐบาลรังแกท่าน แล้วทีหลังจอมพลสฤษดิ์เอาจอมพลป. ออก จอมพลสฤษดิ์ก็ยกในหลวงเต็มที่เลย เอามาหมอบมากราบมาคลานกัน ทั้งที่รัชกาลที่ 5 ท่านทรงสั่งเลิกแล้ว มีรับสั่งว่าเป็นเรื่องป่าเถื่อน
ผมว่านี่คือการยกให้พระเจ้าแผ่นดินเป็นเทวราช อันนี้ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เพราะทุกอย่างต้องมีขอบเขต เปิดโอกาสให้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้ สถาบันใดก็ตามครับ แม้กระทั่งพระพุทธเจ้าเรายังวิจารณ์ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็บอกให้วิจารณ์ได้ด้วยนะ ท่านไม่ได้บอกให้เชื่อท่าน ที่ศาสนาพุทธในเมืองไทยล้มเหลวเนี่ย เพราะเราเชื่อพระพุทธรูปมากกว่าพระพุทธเจ้า ทุกอย่างจะต้องวิพากษ์วิจารณ์ได้ และการวิพากษ์วิจารณ์เป็นพื้นฐานของประชาธิปไตย คนที่วิพากษ์วิจารณ์ถ้าไม่เห็นด้วยก็ต้องเคารพเสียงที่เขาเห็นต่างจากเรา อันนี้สำคัญมาก
เพราะฉะนั้นหวังว่าเมื่อเรามีพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่แล้ว คำวิพากษ์วิจารณ์จะกลับมา ผมเชื่อว่าพระองค์ท่านคงจะเปิดโอกาสให้คนได้วิพากษ์วิจารณ์ ให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ใช่เป็นเทวราช หรือสมมติเทพ แต่เป็นคนคนหนึ่ง
สถาบันกษัตริย์ต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ของราษฎร
ไม่ใช่มีไว้เพื่อประโยชน์ของสถาบันกษัตริย์
ถ้าเป็นเช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ก็อยู่ได้ตลอดไป
อยากให้คุณเล่าถึงสมัยจอมพลป. ว่าช่วงเวลานั้นประชาชนพูดถึงพระเจ้าแผ่นดินในแง่มุมไหนบ้าง
อ๋อ เรารักในหลวงครับ เพราะเขาคุมท่านทุกอย่างเลย แต่ก่อนเสด็จไหนไม่มีใครรู้เรื่องเลย ทีหลังท่านต้องขอออกวิทยุ อ.ส. เอง เขาถึงยอมให้ท่านออก อย่างน้องสาวผมพยายามตามข่าว ตามไปเฝ้าทุกหนทุกแห่ง
ไม่มีข่าวพระราชกรณียกิจเลยหรือ
ไม่มีๆ มีแต่กรณียกิจของจอมพลป. ทั้งนั้นเลย จะไปไหน เมียแกจะออกหน้าเป็นเฟิร์สต์เลดี้ทุกหนแห่งเลย เพราะฉะนั้นเราถึงรักในหลวงกัน
ในฐานะคนที่ใช้ชีวิตมาแล้ว 3 แผ่นดิน มองเห็นการเปลี่ยนผ่านมาก็หลายครั้ง อยากให้คุณช่วยเล่าบรรยากาศบ้านเมืองเวลามีการเปลี่ยนแผ่นดิน
ผมจะยกตัวอย่างตอนรัชกาลที่ 8 สวรรคต บรรยากาศบ้านเมืองแต่ก่อนคนมันน้อยกว่าเวลานี้เยอะนะ เพราะมันตั้ง 70 ปีมาแล้วนะคุณ คนในกรุงเทพฯ ก็เสียอกเสียใจกันเป็นธรรมดา บ้านเมืองวุ่นวาย แต่คนหัวเมืองเขาไม่รู้สึกอะไรนะ นี่ต้องเข้าใจนะครับว่าเรื่องมันสื่อออกไปไม่ถึงเท่าไร
คนไทยเป็นคนถือพุทธ เขาถือว่าการตายเป็นอนิจจลักษณะ ตายแล้วก็แล้วกัน ไม่เห็นเป็นเรื่องโศกเศร้าเสียใจอะไรกันนักหนา แล้วเราเชื่อว่าคนตายแล้วก็ต้องไปเกิด ถ้าท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ดี ท่านก็ไปเกิดในที่ที่ดี ถ้าไม่ดีก็ไปเกิดที่ที่ไม่ดี ทีนี้ตอนหลังบางทีก็ใส่สีกันมากไป จนกระทั่งใครไม่เศร้าโศกเสียใจก็ไปเล่นงานเขา ผมว่าไม่ถูกต้องหรอก ทำอะไรอย่าให้มันเวอร์มากไป ไม่ดี ทำให้พอดีๆ
ในช่วงเวลาที่ประเทศกำลังมีการเปลี่ยนผ่าน อยากให้คุณชี้ให้เห็นภาพว่าในโลกสมัยใหม่ทุกวันนี้สถาบันกษัตริย์ทั่วโลกมีการปรับตัวกันอย่างไรบ้าง
พูดแบบฝรั่ง ตอนนี้มันคริสต์ศตวรรษที่ 21 แล้วนะ โลกมันเดินหน้าไปเยอะแยะหมดแล้ว ยกตัวอย่างประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ ผมเคยไปรับรางวัลอัลเทอร์เนทีฟโนเบล (รางวัลสัมมาอาชีวะ) ที่สวีเดน พวก ส.ส. เขาบอกว่าถ้ารักษาพระเจ้าแผ่นดินไว้เนี่ย จะถูกกว่ามีประธานาธิบดีอีก เพราะประธานาธิบดีจะต้องมาเลือกตั้งกันทุก 4-5 ปี แพง พระเจ้าแผ่นดินสืบราชสมบัติไม่แพง รักษาเอาไว้
ถ้าใช้คำของจอร์จ ออร์เวลล์ (นักเขียนชาวอังกฤษ) เขาก็บอกว่าสถาบันกษัตริย์มีเอาไว้ให้คนตื่นเต้น มีราชรถ มีพิธีกรรม แต่ไม่มีอำนาจ สำคัญอยู่ตรงนี้ เพราะสถาบันกษัตริย์แสดงซึ่งอิสริยยศ อิสริยศักดิ์ แต่ไม่มีอำนาจ แล้วจะอยู่ได้ ยกตัวอย่างญี่ปุ่น สมัยหนึ่งถือกันว่าจักรพรรดิญี่ปุ่นมาจากเทพธิดาอาทิตย์เลย ใครไม่เชื่อแบบนี้ถูกฆ่าล้างชั่วโคตรเลย แต่อเมริกันมารักษาสถาบันกษัตริย์ไว้ให้พระเจ้าแผ่นดินเป็นคนธรรมดา ก็เลยอยู่ได้ในญี่ปุ่นเวลานี้ ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ก็อยู่ในโลกสมัยใหม่ได้
อังกฤษเมื่อตอนมีกีฬาโอลิมปิกเนี่ย เขาทำภาพพระเจ้าแผ่นดินกระโดดลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ได้เลย ควีนท่านก็ดี ท่านมีพระอารมณ์ขัน คนอังกฤษเขาก็รักท่านในฐานะนี้ แต่ท่านไม่มีอำนาจ
หรือพระเจ้าแผ่นดินสวีเดนเนี่ย อำนาจท่านก็น้อยมากนะครับ ท่านขอที่จอดรถหน้าวังเพิ่มอีก 6 คน นายกรัฐมนตรีไม่ยอม พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องยอมเขา นี่ทำให้คนเขาสงสารพระเจ้าแผ่นดิน ถ้าพระเจ้าแผ่นดินใช้อำนาจบาตรใหญ่ คนก็หมั่นไส้เป็นธรรมดา ต้องเข้าใจตรงนี้
แล้วในสังคมไทยปัจจุบัน สถาบันกษัตริย์มีความสำคัญต่อโครงสร้างทางสังคมอย่างไรบ้าง
ผมเห็นว่าสถาบันกษัตริย์ควรจะมีไว้เพื่อประโยชน์ของราษฎร พระเจ้าแผ่นดินภูฏานองค์ที่แล้วนะครับ ตอนที่ท่านประทานรัฐธรรมนูญ ท่านรับสั่งชัดเจนเลย ท่านมีพระราชดำรัสว่าจะให้คนคนเดียวที่สืบทอดสายเลือดมา แล้วตัดสินชะตากรรมคนทั้งหมดเนี่ย ผิด แล้วสถาบันกษัตริย์ต้องมีไว้เพื่อประโยชน์ของราษฎร ไม่ใช่มีไว้เพื่อประโยชน์ของสถาบันกษัตริย์ ถ้าเป็นเช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์ก็อยู่ได้ตลอดไป
สถาบันกษัตริย์นั้นให้คุณกับเรามาเป็นพันๆ ปี
แน่นอนก็ต้องมีข้อบกพร่องเหมือนต้นไม้ ต้องมีกาฝากบ้าง
แต่ต้องรักษาไว้ เพราะการอนุรักษ์ไว้มันดีกว่าทำลายลง
แบบไหนที่เป็นประโยชน์กับราษฎร และแบบไหนที่เป็นประโยชน์ต่อสถาบันกษัตริย์
ง่ายนิดเดียว พระราชกรณียกิจต่างๆ ที่ท่านทำอยู่ ยกตัวอย่างที่ท่านไปพระราชทานปริญญาต่างๆ ก็เห็นชัดว่าเป็นประโยชน์ของราษฎรทั้งนั้น อันนี้เห็นชัด ทีนี้อะไรที่เป็นประโยชน์ของท่านมากกว่าราษฎรเราก็ต้องคอยดู หรือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ควรจะให้เป็นทรัพย์สมบัติของแผ่นดินเสีย ไม่ให้เกี่ยวข้องกับพระองค์ท่านมากเกินไป เพราะเงินทองมีมากเท่าไรเป็นเรื่องอันตราย
ถ้าเผื่อมีการถามได้ในเรื่องพวกนี้ ทุกอย่างก็จะโปร่งใสมากขึ้น ถ้าไม่มีการเปิดเผยให้โปร่งใสได้มันก็อันตราย
แต่คำเตือนของผม คนก็มักจะไม่ชอบ
ถึงตอนนี้หลายคนอาจกลัวการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น คุณมองอย่างไร
อย่าไปกลัว ความเปลี่ยนแปลงมันต้องเป็นไป ต้องมีสติ วิจารณญาณเอาไว้ คนไปกลัวความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ต้องกลัว ความแก่ ความเจ็บ ความตายต้องมา รัชกาลเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยนไป ทีนี้ถ้าใช้สติปัญญาเข้าไปเกี่ยวข้องให้มาก ก็จะไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถ้าไม่ใช้สติ ไม่ใช้ปัญญา มันก็ไม่เป็นไปในทางที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง แล้วผมเชื่อว่าคนไทยก็น่าจะมีสติปัญญาพอ
สำหรับคนที่เห็นประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน คุณมีคำแนะนำต่อคนรุ่นใหม่อย่างไรในเรื่องของสถาบันกษัตริย์
คือทุกอย่างนะครับ แม้กระทั่งพ่อแม่เราเอง ให้เห็นพ่อแม่ของเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินก็เหมือนกัน ท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ท่านก็มีจุดเด่น จุดด้อย มองเจ้าก็ดี มองพระก็ดี มองให้รอบคอบ
เวลาที่คุณออกมาพูดเรื่องสถาบันกษัตริย์แล้วมีคนวิพากษ์วิจารณ์มากๆ คุณโกรธบ้างไหม
อ๋อ ไม่หรอกครับ ถ้าคุณดูเฟซบุ๊กผมนะ คนด่าผมเยอะเลย ผมก็เห็นใจเขา เพราะเขาด่าเผด็จการไม่ได้ ด่าเจ้าไม่ได้ ด่าผมสบาย ไม่ได้ติดคุก ให้เขาได้ระบาย เป็นการเปิดโอกาสให้เกิดประชาธิปไตย บางทีเขาก็ด่าใช้คำหยาบคายกันก็น่าสงสารเขา แต่ผมไม่ถือ
ไม่เคยโกรธเลยหรือ
ไปโกรธทำไม ผมเป็นคนถือพุทธ ในสมัยพระพุทธเจ้ามีพราหมณ์คนหนึ่งด่าท่านมากๆ ท่านก็ยิ้ม พราหมณ์ก็ถามว่าด่าอย่างนี้ไม่โกรธอีกเหรอ ท่านถามพราหมณ์ว่า ถ้ามีคนเอาของมาถวายพราหมณ์ แล้วพราหมณ์ไม่รับ ถามว่าของนั้นเป็นของเขา แล้วเมื่อพราหมณ์ด่าตถาคต แล้วตถาคตไม่รับ คำด่านั้นก็กลับไปที่พราหมณ์เอง เราไม่รับเสีย มันก็ไม่มีปัญหาอะไร
คำถามสุดท้าย คุณอยากเห็นภาพของสถาบันกษัตริย์กับสังคมไทยเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต
ทุกอย่างที่มีเอาไว้ รักษาเอาไว้ มันง่ายกว่าทำลาย คุณดูบ้านผมสิ ต้นไม้เยอะแยะเห็นไหม เพื่อนบ้านผมเป็นห้องแถวกันหมด เขาตัดต้นไม้กันหมดแล้ว เขาไม่เห็นคุณของต้นไม้เลย ต้นไม้ให้อะไรครับ ให้ร่ม ให้เงา มีนก มีกระต่าย เช้าๆ ผมออกมานั่งมันมีความสุข นี่เพียงต้นไม้นะครับ
คุณดูต้นมะม่วงหน้าบ้านผม ปลูกก่อนผมปลูกเรือนไทย ผมต้องปลูกเรือนไทยล้อมรอบต้นมะม่วง มะม่วงนี่ 70 ปีนะครับกว่าจะโตขนาดนี้ ไม่ใช่ของง่าย สถาบันกษัตริย์อยู่กับเรามาเป็นพันปี ต้นไม้น่ะล้มง่าย แต่รักษาไว้นี่ยาก จะรักษาไว้ได้ก็ต้องทะนุถนอม ต้องระวัง ต้องตัดกาฝาก ต้องไล่เพลี้ยอะไรต่างๆ เช่นเดียวกับสถาบันกษัตริย์ ที่มีกาฝาก มีจุดอ่อน มีคนมาใช้สถาบันเป็นเครื่องมือ ต้องพยายามรักษาเอาไว้
สถาบันกษัตริย์นั้นให้คุณกับเรามาเป็นพันๆ ปี แน่นอนก็ต้องมีข้อบกพร่องเหมือนต้นไม้ ต้องมีกาฝากบ้าง แต่ต้องรักษาไว้ เพราะการอนุรักษ์ไว้มันดีกว่าทำลายลง