หลังจากบทความที่แล้วเขียนถึง Red Fort ป้อมปราการสมัยจักรวรรดิมุสลิมอันใหญ่โตกลางเมืองเก่า มหานครเดลี เพื่อนผู้แสนดีของผมให้ความเห็นว่า อยากให้ลองเขียนถึงสถานที่ต่างๆ ในอินเดียที่น่าชวนกันไปท่องเที่ยวดูบ้าง เผื่อจะเป็นแนวทางให้กับผู้ที่จะเดินทางมาเยี่ยมเยือน

พอได้รับคำแนะนำมาอย่างนั้น ผมก็นั่งคิดอยู่นานว่าจะแนะนำสถานที่ไหนบ้างดี เพราะอินเดียนั้นช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน ระหว่างกำลังครุ่นคิดอยู่ท่ามกลางค่าฝุ่นที่พุ่งฟุ้งทะยานฟ้า ผมก็ได้รับการติดต่อจากพี่ผู้เมตตาท่านหนึ่งให้เดินทางไปสารนาถ เพื่อช่วยให้คำแนะนำและบรรยายเกี่ยวกับพุทธศาสนาสำคัญนี้ในเชิงโบราณคดี 

ประจวบเหมาะเหมือนฟ้าลิขิตก็ไม่เชิง สุดท้ายตัวผมเองปลงใจว่าจะเขียนถึง ‘ป่าสารนาถ’ สถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเคยเสด็จมาแสดงปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้า นำไปสู่การสถาปนาสังฆะแห่งพุทธศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรก

แต่ครั้นจะเขียนถึงตรงๆ ก็คงจะทั่วไปเสียสักหน่อย ผมเลยอยากยกข้อถกเถียงบางประการขึ้นมาเป็นธีมล้อไปว่า แล้วพระพุทธเจ้าท่านแสดงพระธรรมครั้งแรก ณ จุดไหนกันแน่

ป่ากวาง 

ตามพุทธประวัติแล้ว หมู่บ้านสารนาถในปัจจุบัน รู้จักในฐานะ ‘ป่ากวาง’ หรือ ‘อิสิปตนมฤคทายวัน’ คำว่า อิสิปตนะ แปลเร็วๆ ได้ว่า ฤๅษีผู้ตกหรือเหาะลงมา ที่มาจากครั้งหนึ่งอดีตพระพุทธเจ้ากัสปะมาบำเพ็ญพระโพธิธรรม ณ สถานที่แห่งนี้ เหล่าฤๅษีจำนวนมากทราบจึงเหาะมาร่วมอนุโมทนา ส่วนคำว่า มฤคทายวัน แปลว่า ป่ากวาง ด้วยครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นกวางทอง นามว่า ‘สารังคนาถ’ (ต่อมากลายเป็นคำว่า สารนาถ) แล้วต้องศรของกษัตริย์ผู้มาล่ากวาง ณ ป่าแห่งนี้ 

ก่อนสิ้นลม พระโพธิสัตว์ในรูปกวางทองได้เทศนาธรรมโปรดกษัตริย์ผู้นั้นจนบรรลุธรรม ด้วยความเลื่อมใสและสำนึกในความพลาดพลั้ง พระราชาผู้เห็นธรรมจึงประกาศให้ป่ากวางแห่งนี้เป็นเขตพระราชอุทยาน ห้ามมิให้ใครล่ากวางอีก

เริ่มอย่างนี้ก่อนว่า สารนาถนั้นถูกสำรวจพบอีกครั้งไปเมื่อปี 1794 โดยนายช่างแผนที่ชาวอังกฤษ โจนาทาน ดันแคน (Jonathan Duncan) ก่อนจะขุดค้นอย่างจริงจังโดย เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม (Sir Alexander Cunningham) ระหว่างปี 1835-1836 นำไปสู่การค้นพบโบราณสถานสำคัญจำนวนมาก แต่ในคราวนี้ผมจะพูดถึงเพียง 3 หลัง เพื่อให้สอดคล้องไปกับเส้นเรื่องในครั้งนี้ 

1. ธัมเมกขะสถูป ตั้งอยู่ด้านในสุดและเป็นสถูปขนาดใหญ่ที่สุดของสวนสารนาถ สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นในรัชกาลพระเจ้าอโศกมหาราช ก่อนจะต่อเติมอีกหลายระยะจนถึงสมัยราชวงศ์ปาละ (กำหนดอายุจากลวดลายอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 14) โดยภายในของห้องกรุของสถูปองค์นี้ คันนิงแฮมพบแผ่นศิลาจารึกคาถาเย ธมฺมา จารึกด้วยอักษรพราหมี กำหนดอายุจากตัวอักษรได้ราวพุทธศตวรรษที่ 10-11 

ธัมเมกขะสถูป เมืองสารนาถ (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

คาถาดังกล่าวเป็นคาถาที่พระอัสสชิกล่าวแก่พระสารีบุตร เมื่อครั้งยังไม่ได้บวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนา เพื่ออธิบายถึงธรรมชาติแห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระสารีบุตรเมื่อได้ฟังแล้วเกิดดวงตาเห็นธรรมในท้ายที่สุด 

คาถาเย ธมฺมา เป็นคาถาที่มีขนาดสั้น ความว่า ‘เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ’ แปลว่า ‘ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติทรงตรัสสอนอย่างนี้’ แต่ได้รับการยอมรับในฐานะหัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นคาถาที่มีเนื้อหาครบถ้วน เข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนาได้อย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังครอบคลุมพื้นฐานของคำสอนต่างๆ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่ชาวพุทธทั่วไป 

การบรรจุดังกล่าวไว้ในองค์สถูปนั้น พระภิกษุอี้จิง (I-Tsing) ภิกษุชาวจีนผู้เดินทางเข้ามายังอินเดียในราวพุทธศตวรรษที่ 10 กล่าวว่า ชาวพุทธในที่ราบสูงเดคคาน และที่อื่นๆ ทั่วอินเดียนิยมจำลองรูปประติมากรรม (พระพุทธรูป) หรือสร้างสถูปด้วยสิ่งของและวัสดุต่างๆ เช่น ดิน เงิน ทองคำ เป็นต้น พร้อมด้วยบรรจุแผ่นจารึกคาถาเย ธมฺมา หรือคาถาปฏิจจสุมปบาทไว้ภายในรูปจำลองเหล่านั้น การบูชารูปจำลองที่บรรจุคาถานี้นำมาซึ่งบุญอันมหาศาล 

2. มูลคันธกุฎี ตั้งอยู่ไม่ห่างจากประตูทางเข้าสวนมากนัก นับเป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสวน สถานที่ตรงนี้เชื่อว่า เป็นบริเวณที่พระพุทธเจ้าทรงประทับเข้าสมาธิหลังปฐมเทศนาแล้ว โดยชื่อ ‘มูลคันธกุฎี’ แปลอย่างหยาบๆ ได้ว่า อาคารอันมีกลิ่นหอมอบอวล ซึ่งในพุทธประวัติอธิบายเอาไว้ว่า สถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าทุกแห่งจะมีผู้นำของหอมนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นไม้หอม ดอกไม้หอม มาบูชาพระพุทธเจ้ามิได้ขาด

แม้โบราณสถานแห่งนี้จะไม่ใช่สถูป แต่ก็นับว่ามีความสำคัญมากเนื่องจากมีขนาดใหญ่ โดยรูปแบบศิลปะสังเกตได้จากฐานของอาคารที่หลงเหลืออยู่นั้นกำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 9-10 ตรงกับสมัยราชวงศ์คุปตะ ซึ่งร่วมสมัยกับจารึกที่คันนิงแฮมขุดพบภายในธัมเมกขะสถูป อีกสิ่งที่สำคัญคือ ด้านหลังของอาคารแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเสาพระเจ้าอโศกที่ปัจจุบันพังลงมาแล้ว 

 หัวเสาของเสาต้นนี้เลื่องชื่อมากในเรื่องความงดงาม เพราะเป็นหัวเสารูปสิงห์ 4 ตัว หันหลังชนกันทูลธรรมจักรเอาไว้ด้านบน มีความสมบูรณ์และสวยงามมาก แสดงเอกลักษณ์อย่างศิลปะโมริยะได้อย่างครบถ้วน คือการขัดหินทรายจนเงา ปัจจุบันหัวเสาองค์นี้กลายเป็นตราราชการประจำประเทศอินเดีย และเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์โบราณคดี สารนาถ

มูลคันธกุฎี (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

 

หัวเสาและเสาพระเจ้าอโศก (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

 

 

3. ธรรมราชิกะสถูป แรกก้าวเข้ามาในเขตโบราณสถาน สถูปองค์นี้จะรอต้อนรับเราอยู่เป็นองค์แรก ปัจจุบันสถูปธรรมราชิกะเหลือเพียงแต่ฐานทรงโอคว่ำ ส่วนยอดหักหายไปแล้ว แต่จากการบันทึกของดันแคนเล่าว่า ครั้งหนึ่งเคยมีการรื้อองค์สถูปลงโดยมหาราชาในอดีต พบหีบศิลาสีเขียว ภายในมีผอบที่เชื่อว่า บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหายสาบสูญไป ต่อมาคันนิงแฮมพบหีบศิลานี้อยู่ภายในที่ทำการสมาคมเอเชีย (Asiatic Society) แต่ไม่พบผอบด้านในแล้ว 

อย่างไรก็ดี จากการขุดค้นทางโบราณคดียืนยันว่า สถูปภายในเดิมเคยเป็นสถูปดิน คาดว่าสร้างขึ้นโดยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสร้างสถูป 8.4 หมื่นองค์ทั่วอนุทวีป ส่วนโครงสร้างภายนอกที่เห็นในปัจจุบันคาดว่า ก่อพอกในสมัยราชวงศ์คุปตะ พร้อมกับการสร้างมูลคันธกุฎีซึ่งอยู่ติดกัน

ธรรมราชิกะสถูป (ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์)

 

พระพุทธเจ้าแสดงธรรมตรงไหนกันแน่ 

เรามาเข้าเรื่องหลักในครั้งนี้กันดีกว่า สถานที่ทั้ง 3 ที่ยกมาข้างต้นมีการอธิบายว่าเกี่ยวข้องกับการปฐมเทศนาทั้งสิ้น แต่ก่อนอื่นเรารู้จักพื้นที่สารนาถได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นอีกคำถามสำคัญ

ความเข้าใจอย่างสาธารณะเชื่อว่า เพราะการพบเสาพระเจ้าอโศก แต่เอาเข้าจริงแล้ว ไม่มีข้อความใดบนเสาต้นนี้ระบุถึงการเสด็จมายังพื้นที่แสดงปฐมเทศนา แต่ข้อความกลับเป็นพระบรมราชโองการในการควบคุมคณะสงฆ์มิให้แตกแยก ต่างจากเสาจารึกที่พบ ณ สวนลุมพินีซึ่งมีเนื้อความระบุชัดเจนว่า พระองค์ยืนยันว่า บริเวณที่ปักเสาต้นนี้เป็นสถานที่ประสูติ ฉะนั้นหลักฐานทั้งหมดจึงยกน้ำหนักไปที่บันทึกของ พระถังซำจั๋ง หรือเสวียนจั้ง (Xuan Zang) ที่ชี้จุดต่างๆ เอาไว้

โดยเชื่อกันว่า ธัมเมกขะสถูป น่าจะเป็นบริเวณที่ใกล้เคียงที่สุด และการพบจารึกหลักฐานสำคัญในพุทธศาสนาบรรจุอยู่ภายในสถูปก็ดูราวกับว่าจะสนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้ แต่อย่าลืมว่า แผ่นจารึกไม่ได้เก่าร่วมสมัยไปถึงโครงสร้างชั้นแรกของสถูป นักโบราณคดีอินเดียบางส่วนจึงเห็นแย้งว่า น่าจะเป็นบริเวณมูลคันธกุฎีเสียมากกว่า โดยอาศัยหลักฐานสำคัญคือ เสาพระเจ้าอโศก แม้ไม่มีข้อความระบุเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ตัวเสาก็เปรียบเสมือนการยืนยันถึงความสำคัญของพื้นที่บริเวณที่เสาตั้งอยู่ 

นักวิชาการศรีลังกามีความเห็นใกล้เคียงกับนักวิชาการอินเดีย แต่เลื่อนหมุดหมายมายังธรรมราชิกะสถูป เพราะมองว่าบริเวณนั้นเคยพบพระบรมสารีริกธาตุ พระเจ้าอโศกจึงน่าจะใช้สถูปเป็นหมุดมากกว่าเสา และเมื่อเทียบกับแบบแผนการปักเสาที่เนปาลและพุทธคยาแล้ว เสาของพระเจ้าอโศกมักจะอยู่ห่างออกมาจากตัวโบราณสถานสำคัญเล็กน้อย

ส่วนตัวผมเชื่อตามข้อเสนอของนักวิชาการอินเดียและศรีลังกาว่า พื้นที่ปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า (น่าจะ) อยู่บริเวณธรรมราชิกะสถูปและมูลคันธกุฎี โดยมีเหตุผลสำคัญคือ ความหนาแน่นของหลักฐานที่มีมากในพื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งในบันทึกของหลวงจีน แม้ไม่ได้ระบุชัดเจนนัก แต่ก็ดูจะมีแนวโน้นชี้มายังจุดนี้เช่นกัน 

ด้วยความรู้อันน้อยนิด หลักฐานทางโบราณคดีเพียงอย่างเดียวนั้นยากมากที่จะชี้จุดได้อย่างแม่นยำว่า จุดไหนกันแน่ที่ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยสนทนาธรรมอันพิสดาร อีกทั้งหลักฐานที่เรามีไม่ว่าจะเป็นเสาพระเจ้าอโศกหรือบันทึกของหลวงจีน ก็ไม่ร่วมสมัยและมีอายุหลังจากพุทธกาลมาก จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีความคลาดเคลื่อน แต่สิ่งหนึ่งที่หลักฐานทางโบราณคดีบอกเราได้ก็คือ ‘พฤติกรรมของมนุษย์’ 

การพบหลักฐานหลายสมัยซ้อนกันไปมา ณ บริเวณสวนสารนาถชี้ชัดเจนว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราในฐานะผู้นับถือพุทธศาสนารับรู้และเชื่อกันว่า บริเวณนี้เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา มีความสำคัญมากเกินกว่าจะมองข้ามไปได้ จึงพร้อมใจกันกลับมาบูรณะ ดูแล และบูชาสถานที่แห่งนี้ อันเปรียบเสมือนตัวแทนแห่งความรู้ที่พระพุทธเจ้ามอบเอาไว้ให้ 

ผมหวังว่า ในอนาคตจะมีการขุดค้นในสารนาถอีก และหวังว่าคงจะมีข้อมูลอะไรใหม่ๆ มาเปิดเผยให้เราได้เรียนรู้กันต่อไปว่า สรุปแล้ว ‘สวนกวางนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่’

 

ที่มาข้อมูล

Asher, Frederick M. (2020). Sarnath: A Critical History of the Place Where Buddhism Began. Los Angeles: Getty Research Institute.

Cunningham, Alexander. (1871). “Banaras Sarnath.” In Four reports made during the years 1862-63-64-65. Vol. 1. Shimla: Archaeological Survey of India.

Ray, Himanshu Prabha. (2017). “An Introduction to Buddhist Stone Sculpture in India.” In Featuring Buddhist imagery from Bharata to Suvarnabhumi, 13-24. Edited by Srisuchat, Amara, and Ray, Himanshu Prabha. Bangkok: Fine Arts Department.

Sahni, Daya Ram (1914). Catalogue of the Museum of Archaeology at Sarnath. Calcutta: Superintendent Government Printing, India.

Tags: , , , , ,