จะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่วันนี้ค่ายสีน้ำเงินกลายเป็นค่ายที่รวม ‘บ้านใหญ่’ เพื่อสู้กับพรรคประชาชนได้มากที่สุด
แม้ที่ผ่านมา พรรคภูมิใจไทยจะเป็นพรรคอันดับ 3 มี สส.ปาร์ตี้ลิสต์เพียง 3 คน แต่การที่พรรคประชาชนยก 141 เสียง โหวตให้ อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ก็กลายเป็นพลังพิเศษ เพราะอำนาจรัฐที่มากมายมหาศาล ทำให้หลายคนเลือกอยู่ใกล้เพราะ ‘อุ่นใจ’
หลายคนที่ว่ามีตั้งแต่ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์, สันติ พร้อมพัฒน์, สุชาติ ชมกลิ่น, ธนกร วังบุญคงชนะ และบ้านใหญ่เพชรบุรี ตระกูล ‘อังกินันทน์’ ที่ย้ายจากพรรครวมไทยสร้างชาติ, ศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี และคณะ 8 คน สำทับด้วย 2 สส.รุ่นใหม่ สรัสนันท์ อรรณนพพร สส.ขอนแก่น และสุดารัตน์ พิทักษ์พรพัลลภ สส.อุบลราชธานี ที่ย้ายจากพรรคเพื่อไทย, บ้านใหญ่ชลบุรี ตระกูล ‘คุณปลื้ม’ บ้านใหญ่ระยอง ตระกูล ‘ปิตุเตชะ’ ที่เลือกตกล่องปล่องชิ้นกับพรรคภูมิใจไทย กระทั่ง วราวุธ ศิลปอาชา ที่ขน สส.จากพรรคชาติไทยพัฒนาทั้งหมดไปรวม
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นเรื่องเดียวกันกับสายโทรศัพท์ลึกลับที่โทรหา ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม คืนก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกฯ
สอดคล้องกันพอดิบพอดีกับการที่อัยการตัดสินใจอุทธรณ์คดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ของ ทักษิณ ชินวัตร และศาลฎีกาสั่งให้ทักษิณจ่ายภาษีกรณีขายหุ้นชินคอร์ป 1.76 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่ต้องเชี่ยวชาญทางการเมืองก็พอจะนึกภาพออกว่าต้องการตัดกำลังพรรคเพื่อไทย
ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยจากที่เริ่มแรงจึงดูแผ่วปลาย ไม่สามารถ ‘ดูด’ ใครมาเข้าร่วมได้เลย นอกจาก วราเทพ รัตนากร และตระกูลอัศวเหม ที่ย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ ขณะเดียวกัน สส.จำนวนมากที่ย้ายข้ามมายังภูมิใจไทยยังถือเป็น ‘ตัวท็อป’ ที่อยู่กับพรรคเพื่อไทยมายาวนาน ฉะนั้นหากภูมิใจไทยจะได้ สส.เพิ่มก็คือการแย่ง สส.ในเข่งของเพื่อไทย
อาจตีความได้ว่า วันนี้ ฝ่าย ‘รัฐพันลึก’ ไม่ได้พอใจกับระบบการเมืองแบบ 3 พรรค แบบ 3 ก๊ก จึงต้องใช้กระบวนการบางอย่างแทรกแซง เพื่อให้รวมเสียงไว้ที่พรรคเดียว ในการต่อกรกับพรรคประชาชน นั่นคือพรรคภูมิใจไทย เพราะมีการประเมินเบื้องต้นว่า ‘พายุส้ม’ อาจรุนแรงกว่าที่คิด
ต้องไม่ลืมว่า ในการเลือกตั้ง 2562 ยุคอนาคตใหม่ มายังเลือกตั้ง 2566 ยุคก้าวไกล สส.เขตของพรรคส้มที่เหลือราว 50 คนนั้น กลับมาใหม่ได้ 100% และยังได้ สส.เขตเพิ่มจากเดิมอีกกว่า 60 คน ขณะที่ ‘งูเห่า’ ส้ม ที่พรรคภูมิใจไทยดูดไปนั้นสอบตกทุกคน
ถ้ายังรักษามาตรฐานแบบเดิมไว้เมื่อตอนยุค พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค ก็แปลว่าในการเลือกตั้งมีนาคม 2569 พรรคประชาชนจะมี สส.เขตแบบเดิมยืนพื้นที่ 110 เสียง เป็นพรรคอันดับ 1 ขณะที่เสียง สส.แบบบัญชีรายชื่อ จากเดิม 14 ล้านเสียง ต้องได้ 20 ล้านเสียง เพิ่มลำดับ สส.แบบบัญชีรายชื่อจาก 39 คนให้เป็น 56 คน
โดยภาพรวมทั้งหมด พรรคประชาชนต้อง ‘แข่งกับตัวเอง’ ต้องหาเสียง สส.มาเติมให้ได้เกิน 220-250 เสียง ถึงจะมั่นใจในการเป็นรัฐบาล มิเช่นนั้นที่สู้มาทั้งหมดก็จะจบเหมือนเดิม
กล่าวโดยสรุป สส.ปาร์ตี้ลิสต์ต้องเพิ่มราว 17 คน หรือ 6 ล้านเสียง, กรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคเหนือตอนบน ต้องรักษาพื้นที่เดิม และเก็บเขตที่เหลือให้ครบ รวมถึงภาคกลางและภาคอีสาน ต้องได้เขตเมืองให้ครบทั้งหมดทุกจังหวัด
เรื่องพวกนี้ พรรคประชาชนเชื่อว่า หากใช้คะแนนเสียง-กระแส เป็นฐาน บวกกับอารมณ์เบื่อหน่ายการเมืองแบบเก่า นักการเมืองเก่าๆ ก็เป็นไปได้ เพราะพวกเขาเป็นทางเลือกเดียวที่ ‘ใหม่’ และเชื่อว่าหากให้ประเทศหลุดจากหล่มเดิม ลองของใหม่ก็ไม่เสียหาย
ปัญหาคือเมื่อพรรคประชาชนเชื่อ ได้ ‘ใบอนุญาตใบที่ 1’ นั่นคือผ่านการเลือกตั้งแล้ว พวกเขายังต้องได้ใบอนุญาตที่ 2 จากบรรดา Deep State ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ใบอนุญาตที่ 2 จะได้มาก็ต่อเมื่อพวกเขาทำตัว ‘ไม่เป็นอันตราย’ ต่อโครงสร้างดั้งเดิม
เพราะหัวหน้าพรรค ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ ลำดับที่ 1 และ 2 ของพรรคประชาชน ยังคงมีบ่วงคล้องคอด้วยเรื่องการเข้าชื่อเสนอแก้ไขกฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กำลังสอบว่า การเข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่
และการจัดการกับพรรคเพื่อไทยในฐานะ ‘หัวหน้ารัฐบาล’ สะท้อนชัดแล้วว่า เมื่อฝ่าย Deep State ต้องการทุบ ต่อให้ไม่มีประเด็นอะไร ก็จะสามารถใช้องคาพยพทั้งหมดจัดการจนราบคาบได้อยู่ดี
แต่กว่าจะถึงตรงนั้น การรวม ‘บ้านใหญ่’ ทั้งหลาย เป้าหมายส่วนหนึ่งก็คือต้องขัดขวางพรรคประชาชนให้ได้เสียงน้อยที่สุด นั่นจึงเป็นที่มาของการจับมือกันครั้งแรกระหว่าง สุชาติ ชมกลิ่น กับตระกูลคุณปลื้ม เพื่อสกัดพรรคส้มที่จังหวัดชลบุรี การดึง อาช้าง-ปิยะ ปิตุเตชะ เพื่อระดมสรรพกำลังสู้กับคลื่นส้มที่ระยอง รวมไปถึงความพยายามจีบ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และศุภจี สุธรรมพันธุ์ มาสู้ในสนามแคนดิเดตนายกฯ และสนามปาร์ตี้ลิสต์ เพื่อให้ภูมิใจไทยมีนโยบายเศรษฐกิจ และมีนโยบายระดับชาติ เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในการสู้กับพรรคส้ม
ถึงตรงนี้ ต่อให้ภาพรวมการเมืองไทยวันนี้ดูเป็นเกมวัดใจระหว่าง ‘กระแสประชาชน’ กับ ‘โครงสร้างรัฐดั้งเดิม’ แต่ความจริงคือสนามเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ได้แข่งกันแค่ ‘คะแนนเสียง’ อีกต่อไป หากแต่แข่งกันที่ความสามารถในการ ‘เอาตัวรอด’ จากเงื่อนไขที่มองไม่เห็นของ Deep State ด้วย
ท้ายที่สุดแล้ว การเลือกตั้งใหญ่ครั้งนี้อาจไม่ได้วัดกันที่ว่าใครหาเสียงเก่งกว่า หรือใครได้ ‘บ้านใหญ่’ มากกว่า หากแต่วัดกันที่ว่า ใครอ่านเกมอำนาจในประเทศไทยได้ทะลุที่สุด ระหว่างพรรคที่มีคะแนนนิยมล้นหลาม กับพรรคที่มีเครือข่ายรัฐหนุนหลังแน่นหนา
และในห้วงเวลาที่กระแสเปลี่ยนเร็ว ความสัมพันธ์ทางอำนาจเปลี่ยนไว ทุกฝ่ายต่างรู้ดีว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การ ‘ชนะเลือกตั้ง’ แต่คือการ ‘ชนะอำนาจ’ หลังเลือกตั้ง
เมื่อการเมืองไทยยังเป็นสนามที่มีกติกาซ้อนกติกา ผู้เล่นซ้อนผู้เล่น และอำนาจซ้อนอำนาจ การได้มาซึ่งความชอบธรรมจากประชาชน จึงเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของเกมเท่านั้น อีกครึ่งหนึ่งคือการได้รับการยอมรับจากโครงสร้างที่ควบคุมเกมอยู่เงียบๆ
การเลือกตั้งมีนาคม 2569 จึงไม่ใช่เพียงการตัดสินอนาคตของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่คือการตัดสินว่า ประเทศไทยจะเดินหน้าด้วยพลังประชาชน
หรือยังคงยึดโยงอยู่กับโครงสร้างอำนาจเดิม ที่ไม่เคยหายไปจากฉากหลังของการเมืองไทยเลยแม้แต่วินาทีเดียว




