เคยไหมเวลาต้องการสืบค้นข้อมูลอะไรเกี่ยวกับภาครัฐ เช่น งบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้าง รายละเอียดโครงการต่างๆ ข้อมูลผู้บริหารและคณะกรรมการ ไม่รู้ว่าต้องเริ่มหาจากตรงไหน ทำไมแต่ละเอกสารถึงถูกจัดเก็บอย่างกระจัดกระจาย หรือบางข้อมูลอาจไม่ถูกจัดเก็บเลย
แม้แต่การเดินทางไปขอเอกสารราชการ เช่น สัญญาโครงการรัฐ ขอดูวงเงินว่าใครคือบริษัทคู่สัญญา หรือคัดข้อมูลบริษัท กลับถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ‘ติด PDPA’ จริงๆ แล้วประชาชนควรเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้หรือไม่ แล้วกฎหมาย PDPA หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 สามารถใช้เป็นเหตุผลในการปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลได้จริงหรือ
The Momentum มีโอกาสคุยกับ สุภอรรถ โบสุวรรณ ผู้ร่วมก่อตั้ง HAND Social Enterprise ผู้ทำโครงการต่อต้านคอร์รัปชัน ผู้ผลักดันแนวคิดและเครื่องมือ Open Data เพื่อหาคำตอบว่า การเปิดเผยข้อมูลสามารถต้านคอร์รัปชันได้จริงไหม ประเทศไทยกำลังติดหล่มกระบวนการไหนอยู่ แล้ว Open Data ขัดกับกฎหมาย PDPA จริงไหม
“ผมย้ำอยู่เสมอว่า เรามอบหมายอำนาจให้ภาครัฐเพื่อให้พวกเขาไปจัดการต่างๆ แทน ดังนั้นอะไรที่มันควรเปิดเผย ก็ต้องเปิดเผยขึ้นมาสักวัน แม้ว่าจะเป็นข้อมูลทางทหาร หรือข้อมูลอะไรสักอย่างก็ตาม”
สุภอรรถอธิบายว่า Open Data คือหนึ่งในเครื่องมือตรวจสอบที่สำคัญของภาคประชาชน ที่เรียกง่ายๆ ว่า ‘ข้อมูลเปิด’ ที่ภาครัฐต้องเปิดเผยตัวเลข รายละเอียดต่อประชาชน เช่น กฎหมาย ข้อมูลภาคธุรกิจ การจัดซื้อจัดจ้าง ข้อมูลการจ่ายของภาครัฐ คำพิพากษา ไปจนถึงรายได้และหนี้สินของนักการเมือง
แต่ปัญหาสำคัญของประเทศไทยคือ ข้อมูลเหล่านี้ถูกจัดเก็บอย่างกระจัดกระจายตามที่ต่างๆ ไม่มีการรวมศูนย์ข้อมูล ทั้งในรูปแบบของเล่มรายงานหรือดิจิทัล มากไปกว่านั้นข้อมูลหลายอย่าง ‘ไม่มีการจัดเก็บ’ หรือจัดเก็บแต่เปิดเผยไม่ได้
ผู้ร่วมก่อตั้ง HAND Social Enterprise จำแนกการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐออกเป็น 5 ระดับคือ
1. ข้อมูลที่ไม่มีการจัดเก็บ คือข้อมูลที่ไม่มีการจัดเก็บโดยหน่วยงานรัฐ หรือมีการจัดเก็บในรูปแบบที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ไม่สามารถนำข้อมูลไปใช้ได้ ไม่มีการเรียกคืนจากการบริการภาครัฐ
2. ข้อมูลไม่เปิดเผย คือข้อมูลที่มีการจัดเก็บโดยหน่วยงาน แต่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ เช่น เป็นข้อมูลปกปิด ข้อมูลส่วนบุคคล หรือเป็นข้อมูลข่าวสารลับของทางราชการ
3. ข้อมูลไม่เปิดเผยในสาระสำคัญ คือข้อมูลมีอยู่แต่ถูกจำกัดการเข้าถึง เช่น มีเฉพาะบุคคลที่ระบุชื่อเท่านั้นที่เข้าถึงได้ หรือเปิดเผยเป็นข้อมูลแบ่งปัน (Shared Data) ซึ่งไม่มีรายละเอียด หรือเปิดเผยเฉพาะราย เช่น เปิดเผยการจัดซื้อจัดจ้างแต่ไม่เปิดเผยชื่อคนตรวจรับ และไม่มีการระบุว่ามีการแก้ไขสัญญาภายหลังหรือไม่
4. ข้อมูลเปิดเผยในสาระสำคัญ คือข้อมูลที่มีการเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ยังไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่ Machine-Readable เช่น เอกสารเป็นไฟล์ PDF แม้ว่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลสำคัญ แต่เอกสารนี้กลับยากต่อการนำไปใช้ต่อ เพราะต้องใช้แรงงานคนในการรวบรวม
5. Machine-Readable & Interoperable ข้อมูลเปิดเผยในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้ (Machine-readable) เช่น ไฟล์ XML, CSV, XLSX และสามารถนำไปเชื่อมโยงกับระบบอื่นๆ ได้ (Interoperability) เช่น ระบบการจัดซื้อจัดจ้าง
ปัจจุบัน การเปิดเผยข้อมูลมีอยู่ในรูปแบบ Machine-readable บ้างแล้ว แต่หน่วยงานยังไม่มีการตระหนักถึงการสร้างมาตรฐานชุดข้อมูลที่จะทำให้เกิดการทำงานระหว่างกันได้
“ถ้าให้พูดถึงประเภทข้อมูลที่เลวร้ายที่สุดคือ การเข้าไม่ถึงข้อมูล ไม่เปิดเผยข้อมูล เราก็เข้าใจแหละว่าบางข้อมูลมันมีส่วนที่เป็นความลับ แต่เราก็ต้องมาดูกันต่อว่าเป็นความลับแบบไหน ใครที่เป็นคนกำหนดว่าเป็นความลับ เพราะบางทีการเข้าไม่ถึงข้อมูลอาจไม่ใช่ความลับก็ได้ แต่มันไม่ได้จัดเก็บ หรือบางทีภาครัฐไม่ได้มองว่าเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งตรงนี้น่าห่วง”
สุภอรรถยังยกตัวอย่างต่อว่า “ข้อมูลบางอย่างไม่ควรลับตลอดไป เช่น เราควรมีการเปิดเผยชุดข้อมูล เช่น เปิดเผยข้อมูลหลัง 50 ปี หรือหลัง 90 ปี เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด”
นอกจากอุปสรรคในการเข้าถึงข้อมูลแล้ว ผู้ร่วมก่อตั้ง HAND Social Enterprise ยังระบุถึงสิ่งที่ต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วมในการข้อมูลไปใช้ หรือการเข้ามาใช้ข้อมูล โดยได้ระบุปัญหาคร่าวๆ ไว้ดังนี้
1. ประชาชนไม่มีเวลา “พูดง่ายๆ นะว่าประชาชนเขาก็ทำมาหากิน เขาจะมีเวลาหรือเปล่า และหากทำไปจะมีอะไรดีขึ้นมาหรือไม่”
2. ไร้ความหวังต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ไม่รู้ว่าหากแจ้งไปแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
“PDPA เป็นกฎหมายที่ดี มีเจตนารมณ์ที่ดี คือตัวบทกฎหมายไม่ได้มีปัญหา แต่การนำมาอ้างใช้จากเจ้าหน้าที่รัฐนี่แหละคือปัญหา”
สุภอรรถยังอธิบายต่อว่า PDPA คือกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลจากภาครัฐ นอกจากนี้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เขียนชัดเจนว่า ข้อมูลส่วนบุคคลหมายถึงข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคล ไม่รวม ‘นิติบุคคล’ เช่น บริษัท คู่สัญญาเอกชน เหล่านี้ยังไม่รวมเงื่อนไขในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
“ผมเคยเดินทางไปหน่วยงานรัฐหน่วยหนึ่งเพื่อไปขอข้อมูลผู้ถือหุ้นบริษัท แต่เจ้าหน้าที่กลับบอกว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้นเป็น PDPA แต่หากคุณมีเงินจำนวนหนึ่ง คุณไปขอคัดเอกสารได้นะ คือเราจะมาขอข้อมูลใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะกลับติด PDPA แต่พอเราจ่ายเงินกลับเข้าถึงได้ เอ้า แล้ว PDPA มันหายไปตอนไหน
“ผมก็งงมาก เพราะในกฎหมาย PDPA ไม่มีระบุว่า ถ้าภาครัฐได้รับเงินแล้วการคุ้มครองข้อมูลจะหายไป ตรงนี้ไม่มีนะครับ แล้วตามหลักการแล้วเราควรมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของบริษัทอะไร
“เราควรส่งเสริมการเปิดข้อมูลอะไรแบบนี้ แต่ถ้าเราอยากเป็นประเทศที่คนเข้ามาฟอกเงินเยอะๆ เป็นธุรกิจสีเทา ก็ปิดข้อมูลเลยครับ”
สุภอรรถยังระบุต่อว่า หากประเทศไทยสามารถ Open Data ได้จะส่งผลดีอย่างน้อย 3 อย่างคือ 1. ความโปร่งใส 2. กลไกความรับผิดชอบ เพราะเมื่อมีความโปร่งใสแล้วก็จะเกิดความรับผิดชอบขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ และ 3. สร้างความมีส่วนร่วม
“เราต้องบอกนะครับว่า เจ้าหน้าที่รัฐมีทั้งคนดีและไม่ดี แต่สิ่งที่เราต้องสร้างความเข้าใจคือข้อมูลเปิดมันคุ้มครองคนดี สมมติเราเป็นเจ้าหน้าที่ภาครัฐ แล้วเจ้านายสั่งให้ทำอะไรผิดๆ เราก็อ้างได้ว่า เช่น ข้อมูลนี้จะถูกเปิดนะ คือมันกลายเป็นการป้องกันโดยปริยาย มันพอจะคุ้มครองคนดีได้บ้าง
“หลายคนอาจยังไม่รู้จริงๆ ว่า Open Data คืออะไร เพราะมันเป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย ลองนึกดูว่าเมื่อ 20-30 ปีก่อน เวลาเราพูดถึงการเปิดเผยข้อมูล เราก็หมายถึงการตั้งแฟ้มเอกสารไว้หน้าตึกให้คนเดินไปเปิดดู แต่วันนี้มันไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว
“สิ่งที่เราอยากทำคือให้ทั้งความเข้าใจและความรู้ว่า หน่วยงานรัฐควรเปิดข้อมูลอะไรบ้างถึงจะ ‘ทัดเทียมนานาชาติ’ เราเลยอยากชวนทุกหน่วยงานว่า มาร่วมกันเถอะ เรามีความรู้ว่าควรเปิดข้อมูลอะไร และจะช่วยให้ประเทศเดินหน้าไปด้วยกันได้จริงๆ”
Tags: Feature, คอร์รัปชัน, open data, PDPA, HAND Social Enterprise, โปร่งใส




