‘งานบุญ ไม่ไปไม่เป็นไร แต่งานศพต้องไป’
ครอบครัวไทยหลายครอบครัวมีความเชื่อเรื่องการไปร่วมงานมงคลและงานอวมงคล ที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเช่นข้อความข้างต้นซึ่งเหตุผลแท้จริงไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าเพราะอะไร แต่เชื่อว่าเป็นวิธีรักษาความสัมพันธ์สไตล์คนไทย เพราะในระยะเวลา 1 รอบปี ครอบครัวหนึ่งสามารถจัดงานบุญ งานมงคลได้หลายงาน ไม่ว่าจะเป็นงานทำบุญบ้าน งานบวชลูกชาย งานแต่งลูกสาว ไม่นานนักก็ถึงคิวของรุ่นหลานแล้ว งานมงคลจึงเป็นพื้นที่ให้ญาติโกโหติกา และคนรู้จักได้พบปะสังสรรค์กันบ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม มารยาทของการไปงานมงคลคือต้องได้รับการเชื้อเชิญจากเจ้าภาพก่อนจึงจะไปได้ แตกต่างกับงานศพ ที่สอนกันว่าไม่ต้องรอให้มีใครเชิญก็ไปได้เลย เพื่ออำลาอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย หรือขออโหสิกรรม ขอให้ไปสู่สุคติตามความเชื่อศาสนาพุทธ
ทั้งนี้เหตุที่ไปงานศพได้โดยไม่ต้องมีญาติเชิญ เพราะหลายคนมักได้ทราบข่าวงานศพจากคนใกล้ตัว ในช่วงเวลาที่ครอบครัวผู้เสียชีวิตกำลังโศกเศร้า สับสน และวุ่นกับการเตรียมงานศพที่มักเกิดขึ้นกะทันหัน จึงอาจทำรายชื่อแขกตกหล่น ไม่ได้เชิญอย่างเป็นทางการ หรือไม่ได้รู้จักบริวารของผู้ตายครบทุกคน
แต่เมื่องานศพไม่มีการ์ดเชิญ จึงนำมาซึ่งความลักลั่นว่า แล้วงานไหนควรไปด้วยตนเอง และงานไหนแค่ส่งพวงหรีดกับส่งข้อความแสดงความเสียใจให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตก็พอ และต้องใช้เกณฑ์ใดประเมินสถานการณ์นี้ ซึ่งหากไม่นับว่าเป็นญาติพี่น้องกัน คนไทยทั่วไปมักประเมินจากความสนิทสนมกับผู้เสียชีวิต หรือกับครอบครัวผู้เสียชีวิต หากเป็นเพื่อนคนสำคัญ หรือผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น อาจารย์ที่สั่งสอนเรามาเป็นอย่างดี หรือหัวหน้างานที่รักและเคารพมาก ตลอดจนพ่อแม่ของเพื่อนสนิท คนส่วนใหญ่มักตัดสินใจไปงานนั้น เพื่อไว้อาลัยและเป็นกำลังใจให้กับครอบครัวที่ต้องยังใช้ชีวิตต่อไป
แต่เมื่อเป็นเพื่อนร่วมห้อง เพื่อนร่วมงาน หรืออดีตสามีภรรยาที่ขาดการติดต่อกันไปนานแล้ว หลายคนก็เลือกไม่ไปร่วมงานศพ เพราะคิดว่าปัจจุบันไม่ได้สนิทกันมากนัก อาจส่งพวงหรีดไปเพื่อแสดงความเสียใจ หรือฝากซองเงินเพื่อทำบุญงานศพแทน
ถึงตรงนี้เห็นได้ชัดว่า คนไทยมักประเมินจากความรู้สึกและความสนิท ถือเป็นรูปแบบนามธรรมไม่สามารถใช้มาตรวัดปริมาณได้ แต่ความน่าสนใจเรื่องจะไปหรือไม่ไปงานศพดี ไม่ได้มีแค่คนไทยที่คิดเรื่องนี้ เพราะคนประเทศอื่นก็ลังเลไม่ต่างกัน ทว่าสามารถช่วยให้เหตุผลที่มีน้ำหนัก และเป็นรูปธรรมมากกว่า
โดยสุสานและฌาปนสถานเซนต์จอห์นดิกซี (St. John’s Dixie Cemetery and Crematorium) เมืองมิสซิสเซากา รัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา มีบทความเผยแพร่บนเว็บไซต์ระบุไว้ถึงการเข้าร่วมงานศพว่า ควรประเมินความสะดวกของตนเองด้วย ทั้งความสะดวกในการเดินทาง ภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ ความพร้อมของสุขภาพร่างกาย ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกของเราเอง ซึ่งสิ่งแรกที่ควรประเมินคือระยะทาง หากงานศพจัดอยู่ต่างเมือง ต่างประเทศ ไกลเกินไป เดินทางลำบาก ก็อาจไม่ต้องไปร่วมงาน เพราะการเดินทางหมายความว่าต้องใช้ทั้งเวลาและมีค่าใช้จ่ายตามมา
อีกหนึ่งเหตุผลที่ควรใช้พิจารณาคือเรื่องงาน หากไม่สามารถลางานได้แม้แต่วันเดียว หรือมีภาระอื่นในบ้าน เช่น การดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด โดยไม่สามารถนำไปฝากใครเลี้ยงได้ ก็เป็นเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอให้ไม่ต้องไปงานศพ
และสิ่งสำคัญที่ต้องคิดก่อนตัดสินใจไปงานศพ คือเรื่องสุขภาพและอารมณ์ของเราเอง หากมีอาการป่วย ควรพักผ่อน แม้จะเป็นงานศพของคนที่สนิทกัน แต่ถ้าหากป่วยก็เป็นเรื่องที่ให้ยอมรับได้ รวมไปถึงความไม่สบายทางอารมณ์และการป่วยไข้ของจิตใจ หรือเป็นผู้ที่อ่อนไหว ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ จึงไม่จำเป็นต้องไป
นอกจากนี้ ควรประเมินว่าหากตัดสินใจไม่ไปงานศพแล้วในอนาคตจะรู้สึกอย่างไร จะรู้สึกผิด หรือเสียใจหรือไม่ และจะเผชิญหน้ากับครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างไร
ความเชื่อที่ว่าต้องไปงานศพแม้ไม่มีคนเชิญอาจเลือนรางไปตามยุคสมัย ปัจจุบันหลายคนเลือกส่งข้อความแสดงความเสียใจในโซเชียลแทน ส่งพวงหรีดไปวางที่งาน หรือโอนเงินทำบุญได้อย่างรวดเร็วแบบไม่ต้องฝากซอง เพราะแต่ละคนมีวิธีแสดงความเสียใจไม่เหมือนกัน ตลอดจนแต่ละสังคมวัฒนธรรมมีแนวทางไว้อาลัยแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น การไม่ไปงานศพจึงไม่ใช่เรื่องผิดบาปแต่อย่างใด
อ้างอิง:
– https://www.lovetoknow.com/life/grief-loss/common-reasons-not-go-funeral
– https://www.empathy.com/funeral/if-youre-not-invited-to-the-funeral
– https://stjohnsdixie.com/cemetery/when-is-it-okay-not-to-attend-a-funeral/
Tags: family, งานศพ, Family Tips, ไม่ไปงานศพ




