“เสรีภาพคือความไม่กลัว เหมือนทอม ครูซ ยังไงล่ะวะ!” 

ท่ามกลางบรรยากาศหนักหน่วง ที่ว่าด้วยเจ้าหน้าที่รัฐขวาจัดออกล่าอดีตนักปฏิวัติขี้เมาใน One Battle After Another (2025) หนังยาวลำดับล่าสุดของ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน คงยากจะปฏิเสธว่า หนึ่งในตัวละครที่เป็นหัวใจสำคัญและขับเคลื่อนตัวหนัง รวมทั้งเส้นเรื่องการต่อต้านและไม่จำยอม คือตัวละคร เซร์ฆิโอ ครูสอนคาราเต้ผู้ถ่อมตนและเป็นที่รักของผู้คนในชุมชน รับบทโดย เบนิซิโอ เดล โตโร (Benicio del Toro) นักแสดงชาวเปอร์โตริกัน ที่ร่วมงานกับแอนเดอร์สันอีกครั้งนับจาก Inherent Vice (2014)

ตัวหนังเล่าเรื่อง บ็อบ (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) นักปฏิวัติซ้ายจัดที่ เพอร์ฟีเดีย (เทยานา เทย์เลอร์) เมียรักแยกทางไปเปลี่ยนสังคมตามอุดมการณ์ ทิ้งเขาไว้กับ วิลลา (เชส อินฟินิตี) ลูกสาวตัวน้อยที่เติบโตอย่างเข้มแข็งในอีก 16 ปีให้หลัง เธอใช้ชีวิตกับเขาในพื้นที่พักพิงผู้อพยพซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนหลากเชื้อชาติ อีกด้านหนึ่ง ล็อกจอว์ (ฌอน เพนน์) นายทหารขวาจัด ก็ออกปฏิบัติการตามกวาดล้างนักปฏิวัติที่ยังหลงเหลือในประเทศ

หนึ่งในเป้าหมายใหญ่ของเขาคือบ็อบกับลูกสาว ซึ่งต้องหนีการตามล่าล้างบางหัวซุกหัวซุน โดยผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือพวกเขาคือเซร์ฆิโอ ครูสอนคาราเต้ผู้อ่อนโยนของวิลลา ซึ่งอีกโฉมหน้าหนึ่งคือผู้นำการเคลื่อนไหวใต้ดินของคนในชุมชนด้วย

One Battle After Another เป็นโปรเจกต์ที่แอนเดอร์สันฝันใฝ่อยากทำมาร่วมทศวรรษ แต่ด้วยเงื่อนไขด้านจังหวะเวลา ทำให้มันกลายเป็นโปรเจกต์ที่ถูกเก็บไว้ในกรุเรื่อยมา และระหว่างทาง เขาก็เปรยความคิดจะทำหนัง ว่าด้วยการปะทะกันของฝั่งขวากับซ้ายให้คนรอบตัวมาโดยตลอด หนึ่งในนั้นคือเดล โตโร 

“จนวันหนึ่ง เขาโทรศัพท์มาหาผมแล้วบอกว่า ‘มันเกิดขึ้นแล้ว’ บอกว่าเขาจะได้ทำหนังเรื่องนี้แล้ว” เดล โตโรเล่า “มีลีโอแสดงนำแน่ๆ เดาว่าเขาคงติดต่อมาหาผมเป็นคนที่ 2 มั้ง และผมตอบตกลงโดยยังไม่ได้อ่านสคริปต์หรืออะไรเลยด้วยซ้ำ ก็นี่มันพอล โธมัส แอนเดอร์สันเลยนะ

“เราคลั่งดูหนัง เรารักภาพยนตร์ และเราก็อยากสร้างหนังดีๆ เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาคนทำหนังอย่างพอลติดต่อเรามา ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมากจริงๆ ให้ตอบอย่างอื่นไม่ได้เลย ผมตอบตกลงไปแบบไม่คิดด้วยซ้ำ แล้วค่อยดูเรื่องบททีหลัง”

ไม่นานหลังจากนั้น แอนเดอร์สันอธิบายตัวละครเซร์ฆิโอที่เดล โตโรต้องรับบท ด้วยภาพใบเดียว “มันเป็นโปสเตอร์รูปเสือ สวมเสื้อกีฬายูโด” เดล โตโรบอก “พอลบอกผมว่านี่คือเซนเซ ผมบอกเขาว่า ได้เลยพวก แล้วผมก็ไม่ได้เรียนศิลปะการต้อสู้อะไรมากมายด้วยนะ จะมีก็ตอนเด็กๆ ที่เรียนเทควันโดกับยูโดมานิดหน่อย ซึ่งผมว่ายูโดนี่น่าสนใจมากนะ มันมีบางท่าทีจับคุณทุ่มเอาได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ใช่เซนเซน่ะ” เขาหัวเราะ

สำหรับเดล โตโร การเป็นนักแสดงไม่เคยปรากฏตัวชัดแจ้งในสำนึกคิด เขาเป็นเด็กสามัญที่เติบโตในซานฆวน เปอร์โตริโก และถ้าให้นิยาม เขาเล่าว่าสมัยยังเด็ก เขาผอมมากเสียจนผู้คนพากันเรียกเขาว่า ‘เบนนีกะหร่อง’ ขณะเดียวกันก็สูงลิ่วเสียจนกลายเป็นขวัญใจทีมบาสเกตบอล ว่าไปแล้ว อนาคตเดียวที่เขาเห็นในเวลานั้นคือ การเล่นบาสเกตบอลอาชีพด้วยซ้ำไป 

“ผมหวังจะได้เข้าไปเล่นในลีก NBA เลยด้วยซ้ำ” เดล โตโรบอก พร้อมกันนั้น ภาพยนตร์ก็เข้ามาข้องเกี่ยวในชีวิตอยู่เนืองๆ “ผมไปดูหนังตั้งแต่ยังเด็ก คือไปแค่ดูหนังน่ะ ไม่เคยคิดว่าอยากโตมาเป็นนักแสดงหรืออะไรเลย เพราะก็ไม่มีใครในครอบครัวผมที่เป็นนักแสดง ไม่มีใครทำงานละครเวทีหรืออะไรทำนองนั้นสักนิด”

การแสดงกับเดล โตโรมาบรรจบกันก็ตอนที่เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ด้วยเหตุผลที่เรียบง่ายและแสนจะเข้าใจได้อย่าง “มันจัดตารางเรียนง่ายดี” เขาบอก “แถมตอนนั้นก็นึกไม่ออกว่า คนเรามันจะสอบตกเรื่องการแสดงได้ยังไง ซึ่งตอนนั้นผมอายุ 18-19 ปีนี่แหละ ครูบอกว่า เป็นวัยที่เหมาะสำหรับการเรียนรู้เรื่องการแสดงพอดี ผมว่ามันเป็นเรื่องของจังหวะด้วยมั้ง แถมสิ่งที่ครูบอกก็ทำให้ผมเชื่อว่า ผมน่าจะลองทำได้นะ

“จากนั้น ผมจึงได้รู้ว่าการแสดงมันไม่ใช่เรื่องของความถูกผิด มันเป็นเรื่องที่ว่าเราสร้างตัวละครแบบไหน มันมีศาสตร์ของการแสดงที่เราเรียนรู้ได้อยู่จริงๆ”

สำหรับเดล โตโรในวัยหนุ่ม ศาสตร์การแสดงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้และชวนให้ค้นหา เขาหมกมุ่นหลงใหลกับมันถึงขนาดย้ายไปนิวยอร์ก อันเป็นเมืองหลวงของศาสตร์การแสดงทั้งปวง และหลังกัดฟันสู้ยิบตาเพื่อคว้างานทุกรูปแบบ เขาก็อยู่ได้เพียง 5 เดือนเท่านั้น เดล โตโรก็ยอมแพ้ “มันยากไป ผมสู้ไม่ไหว” เขายอมรับง่ายๆ และระหว่างที่กำลังถอยให้ชะตาชีวิตเพื่อกลับไปเรียนต่อให้จบ ก็พบว่าพระเจ้าแห่งการแสดงไม่ปล่อยให้เขาหลุดออกจากเส้นทางนี้ง่ายๆ ด้วยการให้เขาจับพลัดจับผลูได้เข้าไปออดิชัน เพื่อรับทุนเข้าเรียนในสถาบันการแสดงสเตลลา แอดเลอร์ และแน่นอน เดล โตโรคว้าทุนนั้นได้แบบเต็มจำนาน แลกกันกับที่เขาต้องเรียนหนักเลือดตาแทบกระเด็น ด้วยการเคี่ยวกรำของแอดเลอร์ ครูสอนการแสดงเลื่องชื่อผู้ผลักดันเพชรเม็ดงามของวงการฮอลลีวูดอย่าง มาร์ลอน แบรนโด โดยที่อาศัยอยู่ในห้องพักเล็กๆ ไม่มีห้องครัวในย่านซานตา โมนิกา

แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ง่าย หนุ่มน้อยเปอร์โตริกันมักพบว่า ตัวเองยืนอยู่ทางแพร่งระหว่างไปต่อหรือพอแค่นี้กับงานแสดงแทบทุกวัน “แต่ทุกครั้งที่ผมกำลังจะถอดใจ เพราะพลาดงานครั้งที่ 300 ผมก็มักได้บทเล็กๆ สักบทให้พอเดินหน้าไปต่อได้ทุกที”

“นั่นแหละ การเป็นนักแสดงมันเป็นงานยาก ยากสำหรับทุกคนแน่ๆ แต่การเป็นคนลาตินยิ่งทำให้มันยากขึ้นกว่าเดิมอีกนิด” เขาบอก “ตัวอย่างง่ายๆ คือตอนผมไปออดิชัน ทีมงานจะขอให้ผมเปลี่ยนชื่อ ผมมั่นใจว่า ถ้าผมมีชื่อแบบอเมริกันมากๆ อย่าง จอห์น สมิท หรืออะไรทำนองนั้น พวกเขาคงไม่ขอให้ผมเปลี่ยนแน่ๆ เรื่องเชื้อชาติเลยกลายเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคให้คุณต้องข้ามพ้นไปให้ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเรื่องราวในหนังด้วย เพราะภาพยนตร์คือการเล่าเรื่อง และก็ไม่ได้มีเรื่องเล่าที่เขียนหรือถ่ายทอดจากประสบการณ์ของคนลาตินนัก”

งานแรกๆ ของเดล โตโรมักเป็นซีรีส์ออกฉายทางโทรทัศน์ แต่บทที่ทำให้เขาถูกจับตา หรืออย่างน้อยก็โดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด คือบท ดาริโอ วายร้ายใน Licence to Kill (1989) หนึ่งในหนังเจมส์ บอนด์ที่ประสบความสำเร็จที่สุด กับการถูกบอนด์สะบัดหน้าหงายหลังมีเรื่องกันในผับ โดยเวลานั้นเดล โตโรเพิ่งอายุ 21 ปี ทำให้เขาดำรงตำแหน่งเป็นนักแสดงที่อายุน้อยที่สุดที่มารับบทเป็นวายร้าย (หรือในที่นี้คือ ลูกน้องของวายร้ายอีกทีหนึ่ง) ของบอนด์ เรื่องสุดวายป่วงคือ ระหว่างการถ่ายทำฉากแอ็กชัน หนุ่มน้อยเดล โตโรทำ ทิโมธี ดาลตัน ผู้รับบทเป็นบอนด์เลือดออก กองถ่ายจึงต้องหยุดพักชั่วคราว เพื่อพาดาลตันไปเย็บแผลที่โรงพยาบาล

ดาลตันเอ่ยถึงเดล โตโรไว้ว่า “หมอนั่นเป็นนักแสดงที่เก่งมากเลยนะ ผมว่าอนาคตทางการแสดงของเขาต้องสดใสแน่ๆ”

อาจไม่ผิดจากที่ดาลตันทำนายไว้นัก เพราะในอีก 6 ปีให้หลัง เดล โตโรปรากฏตัวใน The Usual Suspects (1995) หนังทริลเลอร์ของ ไบรอัน ซิงเกอร์ ที่คว้ารางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากออสการ์ กับตำนาน ‘หักมุม’ แบบชวนอ้าปากค้างสุดๆ หนังเล่าเรื่องกลุ่มโจรที่ทำงานพลาด ถูกล้างบางจนหาตัววายร้ายจริงๆ ไม่เจอ เหลือผู้รอดชีวิตคนเดียวคือ คินต์ (เควิน สเปซีย์ เข้าชิงสมทบชายยอดเยี่ยม) ชายขาพิการที่ถูกตำรวจลากมาให้ปากคำ หนังทั้งเรื่องจึงเล่าผ่านสายตาของเขา โดยเฉพาะอาชญากรตัวเขื่องอีก 3 คน ที่ต้องเข้าห้องขังพร้อมกันอย่าง ไมเคิล (สตีเฟน บาลด์วิน), เฟร็ด (เดล โตโร) และท็อดด์ (เควิน พอลลัค) กับฉากสอบปากคำในห้องขังที่กลายเป็นภาพจำของหนังสุดๆ เพราะนักแสดงที่ล้ามาจากการถ่ายทำทั้งวันหลุดขำกันกระจุย มิหนำซ้ำ เดล โตโร ยังดำริให้ตัวละครของเขาพูดด้วยสำเนียงเพี้ยนๆ ที่ทำให้เพื่อนนักแสดงต้องกลั้นขำกันสุดฤทธิ์

“กว่าผมจะได้มาแสดงหนังเรื่องนี้ ก็กินเวลาอยู่ 6-7 ปีได้ มันไม่ง่ายเลย” เดล โตโรเล่า “ผมต้องสู้กับคนที่ไม่เชื่อในเส้นทางอาชีพที่เราเลือก ซึ่งคนที่ไม่เชื่อผมนั้นมากมายเหลือเกิน สิ่งที่ทำได้คือจดจ่อกับสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น ผมไม่เคยขีดเส้นเวลาให้ตัวเองว่า ต้องประสบความสำเร็จไหม ผมสนแค่ว่าอยากทำงานแสดง แต่มันก็ไม่ง่าย มันมีช่วงที่ขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา

“มันเหมือนเบสบอลน่ะ เบสบอลคือเกมแห่งความล้มเหลว คุณต้องต่อรองกับความล้มเหลวตลอดเวลา หวดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น การแสดงก็เช่นกัน คุณต้องใจแข็งเข้าไว้ไม่ว่าจะถูกวิจารณ์แบบไหน เช่น ผมคุณดำไป หน้าคุณไม่หล่อพอสำหรับบทนี้ หรือคุณออดิชันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย คุณแค่ต้องรับมันให้ได้”

หนึ่งในหนังที่ประสบความสำเร็จของ เดล โตโรกลายเป็นนักแสดงที่หลายคนจำได้ว่า เขาคือไอ้หนุ่มร่างสูง สวมเสื้อเชิ้ตสีแดงที่พูดด้วยสำเนียงเพี้ยนๆ ในหนัง อีกไม่กี่ปีต่อมา เขาปรากฏตัวในหนังที่ส่ง เทอร์รี กิลเลียม เข้าชิงปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์อย่าง Fear and Loathing in Las Vegas (1998) ที่ทั้งเรื่องก็อาจหาได้มีอะไรมากมาย นอกจากเรื่องของคนเมา 2 คนออกเดินทางไปยังลาสเวกัส โดยหนังเล่าถึงอเมริกาในยุค 70s ช่วงเคลื่อนตัวเข้าสู่สงครามเย็น ราอูล (จอห์นนี เดปป์) เป็นนักข่าวที่ต้องออกเดินทางไปยังลาสเวกัส เพื่อเขียนสกู๊ปว่าด้วยการแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก เขาจึงพา ดอนโซ (เดล โตโร) ทนายประจำตัวไปด้วย เพื่อจะพบว่าการเดินทางของพวกเขาเต็มไปด้วยยาเสพติดที่สร้างบรรยากาศชวนขวัญกระเจิง ที่ด้านหนึ่งแล้วสะท้อนบรรยากาศของสหรัฐฯ ช่วงยุคสงครามเย็น กับความเวิ้งว้างว่างเปล่าทางจิตใจของผู้คน และระเบิดออกมาเป็นการหมกมุ่นกับสารเสพติด ที่จะพาพวกเขาออกไปจากโลกความจริงได้

เพื่อบทนี้ เดล โตโรเพิ่มน้ำหนักขึ้นมาราว 18 กิโลกรัม ด้วยการกินโดนัตทุกวัน และแม้หนังจะไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้นัก แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่กวนใจเขา ด้านหนึ่งแล้วเพราะเขาพอใจที่ได้ร่วมงานกับกิลเลียม และอีกด้านเขาก็เชื่อว่าหนังมีที่ทางของมันเอง “บางครั้งคนดูก็จะหาหนังเจอ แต่บางครั้งหนังเองนั่นแหละที่เป็นฝ่ายหาคนดู” เขาบอก “และผมว่าในกรณีนี้ หนังมันก็มาเจอกลุ่มคนดูของมันในอีกหลายปีให้หลังเท่านั้น”

ช่วงราวทศวรรษ 2000s อาจจะเรียกได้ว่าเป็นปีทองของเดล โตโร เขาปรากฏตัวใน Snatch (2000) หนังอาชญากรรมแสบสะบัดของ กาย ริชชี ที่ว่าด้วยเรื่องโกลาหลตุงนังของนักเลง นักต้มตุ๋น และนักมวยในลอนดอน โดยเดล โตโรรับบทเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียที่โชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย เพราะดันไปเจอโจรกระจอกทำชีวิตวายป่วง และแม้บทของเขาจะไม่เยอะนัก หากแต่ก็ขโมยซีนสุดๆ

และในปีเดียวกันนี้ เขายังได้ร่วมงานกับคนทำหนังมาแรงแห่งยุคอย่าง สตีเวน โซเดอร์เบิร์กห์ กับหนังที่ประสบความสำเร็จทั้งคำวิจารณ์และรายได้อย่าง Traffic (2000) หนังเข้าชิงออสการ์ 5 สาขารวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และคว้ากลับบ้านมาได้ 4 สาขา คือตัดต่อยอดเยี่ยม เขียนบทยอดเยี่ยม กำกับยอดเยี่ยม และสมทบชายยอดเยี่ยม ซึ่งคือเดล โตโรจากบทฆาเบียร์ นายตำรวจเม็กซิกันผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่ เขากับคู่หูพยายามกวาดล้างยาเสพติดที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก และหลังจากประสบความสำเร็จจับพ่อค้ายาได้เป็นกอบเป็นกำ เขาก็ถูกเพ่งเล็งโดยนายพลใหญ่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเม็ดเงินจากการค้ายาเหล่านี้ ยังผลให้ฆาเบียร์ต้องเผชิญหน้ากับความแค้นเคืองของเจ้าพ่อ พร้อมกันกับที่ต้องเจอสิ่งยั่วยวนใจยิ่งกว่า อย่างผลประโยชน์และความสงบสุขที่เขาจะได้รับหากยอมก้มหัวให้

“ตัวละครนี้มันมีความขัดแย้งอยู่ในเนื้อตัวของตัวเองมากๆ ซึ่งแสดงไม่ง่ายเลยแต่ผมว่ามันสนุกดี” เขาบอก “เหมือนมันมีอะไรให้เราเล่นตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องเร่งเค้นมันออกมาด้วย

“ความยากคือการทำความเข้าใจเขานี่แหละ แต่เมื่อคุณเข้าใจแล้ว มันก็เป็นเรื่องสนุกที่จะได้ถ่ายทอดความเป็นตัวละครนี้ออกมาน่ะ ซึ่งความสนุกในที่นี้ก็หมายถึงความสนุกในฐานะนักแสดง”

ตามมาด้วยอีกหนึ่งบทที่ส่งเดล โตโรชิงสมทบชายยอดเยี่ยมอีกครั้งจาก 21 Grams (2003) หนังของ อเลฆันโดร กอนซาเลส อีนาร์รีตู เล่าเรื่องคน 3 คนที่ผูกโยงกันด้วยความตายและการมีชีวิต คริสทีน (นาโอมิ วัตต์ส เข้าชิงนำหญิงยอดเยี่ยม) หญิงที่ยังทำใจจากอุบัติเหตุที่พรากชีวิตคนในครอบครัวของเธอไปไม่ได้ ทั้งเธอยังรู้ว่า หัวใจของสามีผู้ล่วงลับของเธอถูกนำไปผ่าตัดเพื่อสานต่อชีวิตชายอีกคน, พอล (ฌอน เพนน์) ชายที่ป่วยเป็นโรคหัวใจและได้รับบริจาคอวัยวะจากชายคนหนึ่งที่เขาเองไม่รู้จัก กับ แจ็ก (เดล โตโร) ชายที่ขับรถชนสมาชิกในครอบครัวหนึ่งและเข้ารับพิพากษาจำคุก เขาสำนึกผิดและกลายเป็นคนที่หมกมุ่นกับพระเจ้า โดยไม่รู้เลยว่า หญิงที่เป็นภรรยาของคนที่เขาชนนั้นออกตามล่าเขาจนเจอ และพยายามยืมมือผู้ชายอีกคนที่ได้รับผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจให้สังหารเขาเสีย

อีกเช่นเคยสำหรับเดล โตโร หนึ่งในเงื่อนไขที่ดึงดูดให้เขาตัดสินใจจะร่วมงานหรือไม่ร่วมงานในโปรเจกต์ใดคือผู้กำกับ และในกรณีนี้ อีนาร์รีตูถือเป็นคนทำหนังลำดับต้นๆ ที่เขาหมายมั่นปั้นมืออยากทำงานด้วยสักที ตามมาด้วยความซับซ้อนของตัวละครที่เขาสนใจอยากทำความเข้าใจเรื่อยมา “เราอยากแสดงให้เห็นความขัดแย้งบางอย่างในตัวเขา แต่พร้อมกันนั้น เราก็อยากให้เขาดูเป็นคนธรรมดาๆ ด้วย” เดล โตโรบอก “เขาทำสิ่งที่ถูกแหละ แต่ถ้าไม่ช้าเกินไปก็เร็วเกินไปเท่านั้นเอง แล้วเขาก็พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง เขากลายเป็นซึมเศร้า นั่นคือจุดที่หนักที่สุดของเขาแล้ว ผมว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่า ความรู้สึกผิดของการเป็นผู้รอดชีวิต และเขาก็จมอยู่กับสิ่งนั้นเรื่อยมา”

เดล โตโรกลับมาร่วมงานกับโซเดอร์เบิร์กห์อีกครั้งใน Che: Part One (2008) และ Che: Part Two (2008) ที่เดล โตโรร่วมโปรดิวซ์ด้วย โดยเขารับบทเป็น เช เกบารา นักปฏิวัติชาวอาร์เจนติน่าที่นำการเปลี่ยนแปลงในคิวบา ตัวหนังมหากาพย์แบ่งออกเป็น 2 ก้อนใหญ่ๆ ก้อนแรกจับจ้องไปยังการปฏิวัติในคิวบา ก้อนที่ 2 ว่าด้วยการพยายามปฏิวัติในโบลิเวียของเช

หนังทั้ง 2 เรื่องได้รับคำวิจารณ์แง่บวก เช่นเดียวกันกับการแสดงของเดล โตโรที่คว้ารางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ สำหรับเดล โตโร ชื่อของเช เกบาราเป็นที่คุ้นหูตั้งแต่ยังเล็ก ผ่านบทเพลง Indian Girl ของวง Rolling Stones และครุ่นคิดสงสัยว่า ชายชื่อแปลกในเนื้อเพลงคือใคร ทำไมเขาจึงไม่เคยรู้จักมาก่อน และล่วงผ่านอีกนานทีเดียว จนเมื่อเขาย่างเข้าสู่วัยรุ่น เขาก็ได้รู้จักชายผู้นำปฏิวัติคนสำคัญของโลก

“ผมได้ยินชื่อเขาจากเพลง คิดแค่ว่าชื่อโคตรเท่เลย ชื่อเช เกบารา!” เขาบอก “ผมไปห้องสมุด ไล่อ่านตามชั้นหนังสือแล้วไปเจอรูปที่ เรเน บูร์รี (ช่างภาพชาวสวิส) ถ่ายเชซึ่งดูเหนื่อยล้าไว้ ผมคิดในใจเลยว่า เชี่ยเอ๊ย หมอนี่แม่งโคตรเท่”

และเช่นเคย โซเดอร์เบิร์กห์เป็นคนทำหนังที่ทำงานเร็ว หลายครั้งที่หนังของเขาใช้เวลาถ่ายทำไม่นานนัก กับเรื่อง Che เองก็เช่นกัน เดล โตโรเล่าว่า “มีฉากที่ผมต้องขึ้นกล่าวแถลง ตอนนั้นผมเป็นหอบอย่างหนักเลย แต่ก็ต้องแถลงทั้งที่หอบ เราถ่ายทำฉากนั้นจบในวันเดียว ทั้งที่ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นที่ถ่ายทำเร็วเหมือนกัน น่าจะจบที่ 2 หรือ 3 วันได้ แต่เราอัดจนเสร็จในวันเดียว จำได้เลยว่าเป็นวันจันทร์ แต่ผมเหนื่อยอย่างกับเป็นวันศุกร์ เหมือนทำงานมาทั้งสัปดาห์เลย”

Sicario (2015) ที่กำกับโดย เดอนีส์ วีลเนิฟ น่าจะเป็นหนึ่งในหนังที่เป็นภาพจำของเดล โตโร ที่เขารับบทเป็นมือสังหารอเลฆันโดร ที่เข้าร่วมปฏิบัติการของสหรัฐฯ เพื่อล้อมจับเจ้าพ่อค้ายาเม็กซิโก และตามประสาหนังวีลเนิฟ มันไม่ได้เป็นหนังแอ็กชันล้างผลาญ ว่าไปแล้ว ฉากแอ็กชันเดือดดาลอย่างการปะทะกันบนถนนอย่างรวดเร็ว แม่นยำและปรากฏไม่บ่อยนักด้วยซ้ำ เพราะอันที่จริงโดยเส้นเรื่องหลักของหนัง มันสำรวจความอ่อนด้อยของอเมริกา กับความซับซ้อนของปัญหายาเสพติดที่ไม่อาจแก้ได้ด้วยการเด็ดหัวเจ้าพ่อค้ายาเพียงคนเดียว รวมทั้งตำแหน่งแห่งที่ของอเลฆันโดรในฐานะมือสังหาร ที่ไม่อาจเล่นตามกระบวนการของสหรัฐฯ ได้

“ตอนผมแสดงเรื่อง Traffic มันก็ฉายภาพปัญหาสงครามยาเสพติดที่กินเวลามา 30 ปีหรืออาจจะนานกว่านั้น แต่แม้จะมีสงครามที่ว่า ยาเสพติดก็ไม่ได้ลดจำนวนลงเลย อัตราการเสพก็ไม่ลด ดังนั้นก็อาจจะพูดได้ว่า แท้จริงแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก” เดล โตโรเล่า ”บางทีแล้วความรุนแรงในเม็กซิโกบางพื้นที่ ก็อาจหนักข้อขึ้นจนเกินควบคุม หนังอย่าง Sicario ตั้งคำถามต่อประเด็นนี้ ประเด็นที่ว่าสงครามยาเสพติดมันสร้างผลอะไรขึ้นกันแน่”

สำหรับเดล โตโร ตัวละครอเลฆันโดรซับซ้อนและไม่ง่ายนัก เขาไม่เป็นมิตร แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ศัตรูกับฝั่งอเมริกา ทั้งยังแบกความแค้นเคืองของตัวเองนับตั้งแต่นาทีแรกที่ปรากฏตัวในหนัง “ผมรู้สึกว่า ผมต้องถ่ายทอดความเจ็บปวด โกรธแค้นของผู้คนที่ต้องต่อสู้ในสงครามยาเสพติด” เขาบอก “ตัวละครค่อนข้างลึกลับ และยิ่งคุณทำความรู้จักเขามากเท่าไร ทำความเข้าใจสคริปต์มากแค่ไหน จะยิ่งพบว่ามันมีองค์ประกอบของฟิล์มนัวร์อยู่ในนั้น

“มันคือเรื่องราวของการสู้กับไฟด้วยไฟ เป็นการต่อสู้อันสิ้นหวัง แต่มันก็มีความจริงแท้อยู่ในนั้น”

ที่ผ่านมา เดล โตโรมักรับบทตัวละครที่คุกคาม ดุดันและแบกบาดแผลบางอย่างในใจไว้ หากแต่การปรากฏตัวของเขาใน One Battle After Another นั้นแสนอบอุ่น เป็นมิตรและถ้าจะว่าไปก็เป็นตัวละครที่ค่อน ‘ผ่อนคันเร่ง’ ให้ตัวละครอื่นในหนัง (โดยเฉพาะบ็อบที่มักสติแตกตลอดเวลา) ตัวละครเซร์ฆิโอจึงโอบอุ้มประคองหนังไว้ทั้งเรื่อง ท่ามกลางความเถื่อนระห่ำของตัวละครอื่นๆ ซึ่งสิ่งนี้คงเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการแสดงอันยอดเยี่ยมของเดล โตโร

Tags: , , , , , , , , , , , ,