ในเดือนตุลาคมนี้ ตามปฏิทินฮินดูมีเทศกาลสำคัญหนึ่งคือ ‘ดิวาลี’ ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน
จริงๆ แล้วดิวาลีไม่ใช่แค่เทศกาลเดี่ยวๆ ทื่อๆ แต่บรรจุเทศกาลมากมายเอาไว้ภายในห้วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองด้วย เทศกาลหนึ่งที่ผมนึกถึงตลอดคือ ‘โควัทสทวาศี’ (Govatsa Dvadashi) ที่มักตรงกับวันแรกของดิวาลี โดยชาวฮินดูจะบูชาแม่วัวประจำบ้าน เพื่อขอบคุณแม่วัวที่ให้นมในการอุปโภคบริโภค และเป็นแรงงานเพื่อประกอบกิจกรรมทางการเกษตร
โดยผู้บูชาจะนำนม เนย ข้าวที่หุงด้วยนมและน้ำตาล พร้อมด้วยหญ้า อ้อย และผลไม้ มามอบให้กับแม่วัวกิน ก่อนจะทำรอารตี (บูชาด้วยตะเกียงไฟ) คล้องมาลัยดอกไม้ และเจิมวัวตัวนั้น สำหรับบางบ้านที่เคร่งครัดมากในวันนั้นอาจจะงดอาหารที่ประกอบขึ้นจากผลิตภัณฑ์จากวัว (นม เนย น้ำมันเนย) และข้าวสาลี เพื่อให้แม่วัวได้พัก ไม่ต้องให้นม
น่ารักดีนะ มนุษย์เรารักเพื่อนและเทิดทูนชีวิตของเพื่อนร่วมโลกของเรา แม้จะจำกัดอยู่เฉพาะเพียงสัตว์ไม่กี่ชนิด แต่ก็เป็นการกระทำที่ดี จริงไหม
แต่ในขณะเดียวกัน ใครที่เคยมาอินเดียคงจะเคยเห็นวัวเดินไปทั่ว กินขยะ และตายข้างถนน คำถามจึงเกิดขึ้นว่า การที่เราปฏิบัติแบบฉาบฉวย รัก บูชา และเทิดทูนวัวในฐานะ ‘สัตว์ศักดิ์สิทธิ์’ มันถูกต้องและดีต่อ ‘เรา’ และ ‘วัว’ จริงๆ หรือ
คำถามนี้วนในหัวผมมานาน แม้จะเคยเขียนมุมมองส่วนตัวเอาไว้บ้างแล้วใน แล้ว ‘วัว’ หายไปจากโต๊ะอาหารตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็ยากที่จะเลิกตั้งคำถามนี้ เพราะเรายังคงเห็นวัวเคี้ยวขยะจนท้องโตอยู่ทุกวันจนชินตา
วันนี้ผมเลยอยากลองถอดหมวกนักโบราณคดี-ประวัติศาสตร์ออกดู เปลี่ยนไปสวมหมวกและทรรศนะแบบ ‘จริยธรรมสัตว์’ เพื่อมอง วิพากษ์ และตั้งคำถามต่อไปเกี่ยวกับ ‘พฤติกรรม’ ของเราต่อสัตว์ที่ถูกสวมอ้างว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’

ที่มาภาพ: AFP
มนุษย์กับสัตว์ คนกับวัว
ยากมากที่จะกำหนดจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ แต่ก็คงไม่ผิดนักที่จะพูดว่า มันเริ่มมาพร้อมกับการมีอยู่มนุษย์บนโลกนี้ เช่นใน หนังสือปฐมกาล (The Book of Genesis) ของพันธสัญญาเก่า เอวาก็ถูกหลอกล่อโดยซาตานในรูปของงู สุดท้ายไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่เราปฏิเสธปฏิสัมพันธ์นั้นไม่ได้ หากเรามองผ่านมุมมองที่เชื่อว่า เราถูกสร้างมาพร้อมสรรพสิ่ง และพระผู้เป็นเจ้าทรงอนุญาตให้เราช่วงใช้สิ่งที่ถูกสร้างอื่นๆ ได้ตามอรรถประโยชน์
จักรวาลของเรามีชนชั้น สัตว์อยู่ในชนชั้นที่ต่ำกว่ามนุษย์ จึงเกิดมาเป็นผู้รับใช้มนุษย์ และมนุษย์จึงมีสิทธิใช้งานสัตว์ได้อย่างที่ต้องการ ฉะนั้นเราเลยกินสัตว์ต่างๆ ได้ เว้นไว้เพียงบางชนิดตามเทวบัญญัติ ดังที่ นักบุญโทมัส อไควนัส (Saint Thomas Aquinas, 1225-1274) ยืนยันสิ่งที่มีอยู่ในพระคัมภีร์ด้วยแนวคิดที่ว่า “สัตว์แตกต่างจากมนุษย์ตรงที่สัตว์ทำตามสัญชาตญาณ ส่วนมนุษย์คิดอย่างมีเหตุผล”
ความคิดของนักบุญโทมัส แม้ดูใจร้าย แต่การแยกขาดคนและสัตว์ออกจากกันผ่านเส้นแบ่งทางเหตุผลก็ดูสมเหตุสมผล ทั้งสอดรับกับแนวคิดของนักคิดรุ่นหลังคนสำคัญอย่าง เรอเน เดการ์ต (Rene Descartes) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส เจ้าของถ้อยแถลงอมตะ “I think therefore I am” (ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงมีอยู่)
จึงดูไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์เราแยกตัวเองออกจากสิ่งมีชีวิตอื่น และมันยิ่งดูฟังขึ้นเมื่อเรากระทำไปเพื่อปัจจัยพื้นฐานอย่างการป้องกันตัวและการบริโภค แนวทางที่พูดนี้สอดคล้องกับวิธีการมองโลกแบบ ‘ประโยชน์นิยม’ (Utilitarianism) แนวคิดทางศีลธรรมอันว่าด้วยคุณค่าทางศีลธรรม เป็นการกระทำที่ขึ้นอยู่กับการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม การตายของสัตว์เพื่อประโยชน์ของมนุษย์โดยรวมจึงสมเหตุสมผล
แต่สำหรับบางคนมันก็ยังคงดูใจร้ายอยู่ดี ถูกไหมครับ เรามีสิทธิอะไรโดยชอบ ไปพรากชีวิตสิ่งมีชีวิตอื่น
ถ้าตอบแบบฮินดู การกระทำนั้นไม่ควรทำ เพราะมันเป็นบาป แต่เมื่อมองย้อนมาที่คัมภีร์อินเดียโบราณอย่างรามายณะ มหาภารตะ และคฤหยะสูตระ (Grihyasutra) ก็พูดถึงการบริโภควัวอยู่เสมอๆ ถึงขนาดแนะว่า ให้ฆ่าวัวหากมีแขกผู้ใหญ่มาเยี่ยมเรือน มันจึงดูย้อนแย้งอยู่ในที คัมภีร์เล่มเดียวกันบางส่วนก็ให้กิน บางส่วนก็ไม่ให้กิน สรุปจะยังไงกันแน่
แต่สำหรับนักคิดตะวันตกในช่วงศตวรรษที่ 20 ภายใต้กระแสการเติบโตของอุตสาหกรรมสัตว์ กลับเกิดการวิพากษ์ว่า อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ที่สร้างความทุกข์ทรมานให้สัตว์เพียง เพื่อได้เนื้อนุ่มและมีรสชาติถูกปากผู้บริโภค สิ่งนี้เองก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีของมนุษย์ที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง หรือเรียกว่า ‘เผ่าพันธุ์นิยม’ (Speciesism) ที่เห็นว่าเผ่าพันธุ์ของตนเองจะต้องดีกว่าเผ่าพันธุ์อื่น มีค่าอภิสิทธิ์เหนือเผ่าพันธุ์อื่น เพียงเพราะ ‘เขา’ หรือ ‘มัน’ ไม่ใช่ ‘เรา’

ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์
กระทั่งในปี 1975 ปีเตอร์ ซิงเกอร์ (Peter Singer) เขียนหนังสือ Animal Liberation ระบุว่า โดยหลักพื้นฐานของความเท่าเทียม แม้เราจะไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม แต่ทุกชีวิตจะต้องได้รับการพิจารณาเรื่องสิทธิอย่างเท่าเทียมกัน แม้ว่าสัตว์จะไม่ได้รับสิทธิให้ลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่สัตว์จะต้องไม่ถูกเพิกเฉยต่อความเท่าเทียมนั้น ปีเตอร์เสนอว่า มนุษย์ควรมีมุมมองจริยศาสตร์เชิงปฏิบัติ (Practical Ethics) คือมีลักษณะพร้อมแก้ไข ปรับปรุง เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเสมอภาค ปัญหาความยากจน รวมไปถึงปัญหาการบริโภคเนื้อสัตว์และการทดลองสัตว์ เพราะทั้งสัตว์และมนุษย์ล้วนแสวงหาความสุขและรู้สึกเจ็บปวด จึงจําเป็นที่ต้องได้รับการพิจารณาผลประโยชน์ ซึ่งหมายถึงความสุขสูงสุดแก่คนและสัตว์จํานวนมาก ซึ่งนักบุญโทมัสและเดการ์ตปฏิเสธ
แนวคิดของซิงเกอร์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางจริยศาสตร์ เพราะมีลักษณะที่โอบรับและขยายความเห็นอกเห็นใจไปสู่สิ่งมีชีวิตในภาพรวม ดังที่เขากล่าวว่า “แต่ละหน่วยล้วนมีค่าเป็นหนึ่ง และไม่มากไปกว่าหนึ่ง…กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผลประโยชน์ของทุกชีวิตซึ่งถูกกระทบโดยการกระทําหนึ่งๆ จะต้องได้รับการพิจารณา และให้ความสําคัญเท่าๆ กับผลประโยชน์ในลักษณะเดียวกันของสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง”

ที่มาภาพ: อธิพัฒน์ ไพบูลย์
ก็โดนสาป
คำถามคือ แล้วความศักดิ์สิทธิ์นับเป็นการปกป้องสิทธิของสัตว์ไหม ผมว่าคนอินเดียมีมุมมองต่อความศักดิ์สิทธิ์ที่แปลกมาก ผมเคยสนทนากับ อาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ว่า คนอินเดียมองพระเจ้าใกล้ชิดกับมนุษย์มาก สิ่งนี้ยืนยันโดยเรื่องเล่าที่คนอินเดียเคยเล่าให้ฟังว่า “การเดินเร่ร่อนเป็นสิทธิของพระเจ้า (วัว)” ฉะนั้นการที่เราเอาวัวไปขังไว้ แม้จะเป็นทุ่งโล่งขนาดใหญ่จึงเป็นการลิดรอนอิสระของพระเจ้า และการที่วัวกินขยะก็เป็นไปเพราะ ‘คำสาป’ ระหว่างเหล่าพระเป็นเจ้า
ตามตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระนางสรัสวตีโกรธที่พระพรหมทรงนำคายตรีมายังมณฑลพิธีบูชาแทนที่พระนาง พระนางจึงลั่นวาจาสาปพระพรหมไปว่า ต่อไปท่านจะไม่มีผู้นับถือแม้เป็นเทพผู้ใหญ่ พระศิวะถูกสาปให้ถูกบูชาในรูปของลึงค์ และพระวิษณุเฉกเช่นเดียวกัน ถูกพระนางสาปให้พลัดพรากจากพระลักษมีอยู่เสมอ เนื่องด้วยมหาเทพทั้งสองมิทรงห้ามปรามพระพรหมในการกระทำอันเกินจะรับได้นั้น สุดท้ายพระนางชายพระเนตรไปเห็นแม่โค ด้วยบันดาลโทสะ พระนางจึงสาปแม่วัวไปว่า ท่านในฐานะผู้เป็นมารดาแห่งโลก กลับให้นมเพื่อประกอบพิธีอันเป็นมลทินนี้ นับแต่นี้ไป ท่านจะถูกนับถือแต่จะต้องเร่ร่อนไม่ถูกเลี้ยงดู แม้คนจะบูชา ท่านกลับต้องกินอาหารอันสกปรก

ที่มาภาพ: AFP
ฉะนั้นเราก็บูชาวัวต่อไป แต่ในเมื่อมันเป็นคำสาป การเร่ร่อนของวัวจึงไม่ใช่ธุระอะไรของเรา ในมุมมองของผมคิดว่า ไม่ ถ้าไม่ได้ถูกจัดการ การที่วัวถูกเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับถูกปล่อยให้เดินไปมาริมถนน กินขยะ แล้วก็ตายไป สิ่งนั้นขัดแย้งและลิดรอนสิทธิของวัวที่จะมีชีวิตอย่างดีตามความเป็นวัวของมัน อีกทั้งเมื่อมันไม่ถูกจัดการ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยังกลับกลายเป็นตัวการของความสกปรก ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลกระทบการสังคมโดยรอบ
หากคิดตามสิ่งที่ซิงเกอร์กล่าว “ผลประโยชน์ของทุกชีวิตซึ่งถูกกระทบโดยการกระทําหนึ่งๆ จะต้องได้รับการพิจารณา” แล้วการกระทำของวัวที่กระทบต่อมนุษย์จะไม่ถูกนำมาคิดคำนวณหรือ การที่วัวและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ หรือการทำบุญแก่สัตว์โดยไม่มีขอบเขต เช่น ลิงบุกรื้อถังขยะ ทำลายของใช้ในหอพัก การกระทำนั้นไม่นับเป็นรุกรานมนุษย์อันพึงนำมาคิดคำนวณหรือ
ผมไม่ปฏิเสธการกินเนื้อสัตว์ และผมไม่มองว่ามันเป็นปัญหา จะบอกว่าผมเหมือนนักบุญโทมัส ผู้ซึ่งมองมนุษย์และสัตว์ไม่เท่าเทียมกันก็ได้ เพราะในท้ายที่สุดผมเชื่อว่า หากเราไม่จัดการกับสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ผลกระทบนั้นก็จะมาถึงเรา และอาจจะมาถึงเราก่อนสรรพสัตว์เสียด้วย เราในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุและผล เราจึงควรคิดเรื่องพวกนี้ให้มากๆ

ที่มาภาพ: AFP
ที่มาข้อมูล
เนื่องน้อย บุณยเนตร. (2529). จริยศาสตร์กับปัญหาปัจจุบัน. กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สุภาพรรณ ไกรเดช และวรรณวิสาข์ ไชยโย. (2563) “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ในทัศนะของปีเตอร์ ซิงเกอร์” ในวารสารปณิธาน ปีที่ 16 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม).
Singer, Peter. (2009). Animal Liberation. New York: Harper Collins.
Tags: ฮินดู, วัว, Indianiceation, เทพเจ้า, จริยธรรมสัตว์, เทพอินเดีย, ความเชื่อ, อินเดีย