“นักการเมืองเหรอ ผมไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะเป็น ผมเป็นลูกผู้รับเหมาก่อสร้าง เรียนจบวิศวะมาเพราะอยากช่วยพ่อแม่ทำธุรกิจ”

สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ตอบโดยอัตโนมัติราวคำถามว่าด้วยเรื่องตัวตนที่ได้รับเป็นเพียงเรื่องดินฟ้าอากาศธรรมดาสามัญ แม้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในแวดวงการเมืองไทยเป็นเวลานานเฉียด 40 ปี เขาก็ยังคงทำงานด้วยวิธีคิดแบบคนเรียนวิศวกร

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2531 สุวัจน์ตบเท้าลงสนามการเมืองเป็นครั้งแรกในฐานะผู้สมัครสมาชิกผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมา พรรคปวงชนชาวไทย ผลปรากฏว่า เขาชนะคู่แข่งเก๋าเกมอย่างว่าที่นายกฯ คนที่ 17 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ผู้เคยดำรงตำแหน่ง สส.เขตเดียวกันนั้นมาก่อนแล้วถึง 4 สมัย 

อีกหนึ่งจุดพลิกผันน่าสนใจคือ ในอีกเพียง 2 ปีให้หลัง เมื่อมีการปรับ ครม.ในรัฐบาลพลเอกชาติชาย สุวัจน์ได้รับโอกาสให้ขึ้นนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในวัยเพียง 35 ปีเท่านั้น

“ผมไม่ใช่แค่เขยโคราช แต่ยังเป็นคนที่เกิดทางการเมืองกับพลเอกอาทิตย์ และโตทางการเมืองกับพลเอกชาติชาย ซึ่งทั้งคู่ต่างเคยทำผลงานทางการเมืองไว้เป็นที่ประจักษ์ในโคราช”

ใน ‘ฟ่าว to the Future’ ซีรีส์พิเศษเจาะหลากประเด็นอีสานของ The Momentum เราตัดสินใจไปเยือนบ้านเลขที่ 333 ถนนราชวิถี เพื่อชวนสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกฯ นักการเมืองลายคราม ผู้เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมาแล้วถึง 12 สมัย สนทนากันยาวๆ ตั้งแต่เรื่องการเมืองไทยไปจนถึงเศรษฐกิจโคราช 

จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธา มาสู่คณะรัฐมนตรี คิดอย่างไรถึงเดินเลือกเดินเส้นทางนี้

ไม่ได้คิดไว้ตั้งแต่แรกหรอก เดิมทีผมก็อยากเป็นแค่วิศวกร เป็นนักพัฒนา อยากทำงานรับเหมา เพราะเราโตมาในช่วงที่บ้านเมืองต้องการความเจริญ พ่อแม่ผมทำอาชีพรับเหมาก่อสร้าง สมัยเด็กกลับจากโรงเรียนผมก็ไปช่วยเขาโกยหินโกยทราย เลยมีไอดอลเป็นคุณหมอ ชัยยุทธ กรรณสูต (ผู้ก่อตั้งบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด บิดาของ เปรมชัย กรรณสูต) 

ด้วยความที่พ่อแม่เรียนหนังสือมาไม่มาก พ่อจบ ป.4 แม่จบ ป.5 สองคนรวมกันได้ ป.9 (หัวเราะ) ผมเลยเริ่มคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรเรียนวิศวะ จะได้มาช่วยพ่อแม่ทำธุรกิจ ช่วงหลังผมเกิดไม่นานคือสมัยของรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติยังเป็นฉบับที่ 1 อยู่เลย ไทยเราเพิ่งจะเริ่มตัดถนนและวางโครงสร้างระบบขนส่งกันเท่านั้นเอง อาชีพวิศวกรจึงเป็นความฝัน

แต่ชีวิตมักไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคิดหรอก ไม่รู้ว่าเพราะโชคชะตาหรืออะไร หลังจบโทคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากสหรัฐอเมริกามาได้ไม่นาน พออายุได้ 33 ปีผมก็ลงเล่นการเมือง ขณะนั้น พลเอก อาทิตย์ กำลังเอก อดีตผู้บัญชาการทหารบก เพิ่งเกษียณอายุราชการได้ไม่นาน จึงมาตั้งพรรคปวงชนชาวไทย บังเอิญว่า ท่านรู้จักกับพ่อของผมจากสมัยที่ท่านรับราชการอยู่โคราช เรื่องของเรื่องคือพ่อไปตกปากรับคำว่าจะช่วยพลเอกอาทิตย์ทำงานการเมืองโดยที่ตัวเองก็อายุ 60 แล้ว พอลูกๆ แสดงท่าทีเป็นห่วง ท่านเลยบอกว่า

“ถ้าไม่อยากให้เตี่ยลง 1 ในลูกชาย 5 คนก็ต้องลงแทนเตี่ย”

ผมซึ่งเป็นลูกชายคนกลางและเป็นเขยโคราช (ภรรยาของสุวัจน์คือ พลโทหญิงพูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ หรือ ‘มาดามติ้ง’ มีพื้นเพเป็นชาวจังหวัดนครราชสีมา) เลยได้รับการติดต่อจากพลเอกอาทิตย์ 

พลเอกอาทิตย์รับรองกับผมว่าอย่างไรผมก็ได้เป็น ส่วนตัวผมเองไม่คิดฝันว่าจะได้หรอก เพราะคู่แข่งที่ลงสนามกับผมคือพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ จากพรรคชาติไทยแต่สุดท้ายตอบตกลง ปรากฏว่าชนะมาได้ด้วยบารมีของผลงานที่พลเอกอาทิตย์ทำไว้ คะแนนเป็นอันดับหนึ่งในภาคอีสาน ก็เป็นอันว่าเข้าสู่การเมือง

ทุกวันนี้มองว่าตัวเองมีความเป็นวิศวกรหรือนักการเมืองมากกว่า

 บางคนอาจจะมองผมเป็น Political Engineer มากกว่า Politician แต่ละคนที่เข้าสู่การเมืองล้วนมีพื้นเพแตกต่างกัน บางคนเป็นนักกฎหมาย เป็นครู เป็นนักธุรกิจ ส่วนผมเป็นวิศวกร ฉะนั้นผมก็จะทำงานการเมืองแบบวิศวกร ซึ่งมีตรรกะและโครงสร้างเป็นหัวใจสำคัญ ลองสังเกตในสภาดูก็ได้ นักการเมืองคนไหนพูดอภิปรายสั้นกระชับ มีโครงสร้าง มีขั้นตอน มีระบบ มักจะมีพื้นเพอะไรเกี่ยวข้องกับวิศวกรรม 

ถึงจะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมการทำงานมาอยู่ในวงการเมือง มาเป็น สส. เป็นรัฐมนตรี เป็นรองนายกฯ แต่วิธีคิดผมยังคงวนเวียนอยู่กับค่าเผื่อเหลือเผื่อขาดของความปลอดภัย (Safety Factor) เสมอ เพราะอาชีพนี้ก็ยังต้องมีความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สามอยู่ดี แค่เปลี่ยนจากคนใช้ตึกอาคารใช้ถนนมาเป็นประชาชนทั้งประเทศเท่านั้นเอง

คุณเกิดราชบุรี มาเล่าเรียนกรุงเทพฯ แล้วทำไมถึงผูกพันกับโคราช

ผมไม่ใช่แค่เขยโคราช แต่ผมเกิดทางการเมืองกับพลเอกอาทิตย์ โตทางการเมืองกับพลเอกชาติชาย ซึ่งทั้งคู่ต่างเคยทำผลงานทางการเมืองไว้เป็นที่ประจักษ์ในโคราช พลเอกอาทิตย์คือคนที่มอบโอกาสผมได้เข้ามาเป็นผู้สมัครพรรคของท่าน ส่วนพลเอกชาติชายที่เดิมทีมีผมเข้ามาเป็นคู่แข่งทางการเมืองนั้น กลับเป็นคนที่ทำให้ผมได้เป็นรัฐมนตรี

ผมยังจำเหตุการณ์วันที่ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรกได้อยู่ จากที่อยู่บ้านกับคุณติ้งตอนเช้า พอได้ยินชื่อตัวเองทางวิทยุก็ถึงกับบึ่งรถไปหาพลเอกอาทิตย์ พอพลเอกอาทิตย์บอกว่าท่านไม่ได้ช่วยนะ แต่พลเอกชาติชายให้คุณเป็น ผมก็ขับไปหาพลเอกชาติชายที่บ้านราชครูต่อ ก่อนหน้านั้นเราเคยต้องสู้กันในฐานะคู่แข่งสนามโคราช จึงไม่คิดมาก่อนว่าท่านจะมาเลือกผม ท่านบอกกับผมว่า 

“สุวัจน์ ก่อนเลือกตั้งเรียกว่าการเมืองก็จริง แต่หลังเลือกตั้ง เราเรียกว่าบ้านเมือง”

หลังจากนั้นเรื่องก็เป็นอย่างที่เรารู้กัน สมัยพลเอกชาติชายคือสมัยที่ถือว่าพลิกแผ่นดินอีสานจากหน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยนโยบายเจรจาสันติภาพกับเพื่อนบ้านที่เรา ‘แปรสนามรบเป็นสนามการค้า’ เป้าหมายของท่านคือ การเปิดประตูอีสานสู่อินโดจีน กล่าวคือเปลี่ยนอีสานเป็นแหล่งลงทุนผลิตสินค้าส่งไปอินโดจีน และแน่นอนว่าประตูสู่อีสานย่อมคือโคราช สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อรองรับนโยบายดังกล่าวในโคราชคือ

  1. ถนนสี่เลน สายสระบุรี-โคราช
  2. มหาวิทยาลัย เพื่อยกระดับวิชาชีพประชากรอีสาน
  3. นิคมอุตสาหกรรม เพื่อสร้างแหล่งรายได้ให้กับแรงงานในพื้นที่

นี่คือที่มาที่ไปที่ทำให้ผมได้เข้าร่วมผนึกกำลังกับเครือข่ายคนที่ต้องการพัฒนาโคราช จากวันนั้นถึงวันนี้ ปี 2531 ถึงปี 2568 ร่วม 37 มาแล้ว

‘ยุคทองโคราช’ ที่คนพูดถึงกันใช่ยุคนั้นไหม

ผมพูดอย่างนี้แล้วกัน สมัยนั้น GDP ประเทศเราเกิน 10% ติดกันสามปีซ้อน สมญานามเราคือเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย แน่นอนว่าเศรษฐกิจอีสานก็แบ่งบาน ที่ดินราคาราวกับทองคำนี่แทบจะซื้อเช้าขายบ่าย ใครๆ ก็มีงานทำ พอหลังๆ มาเริ่มซบเซาลงเรื่อยๆ เพราะเกิดรัฐประหารรัฐบาลพลเอกชาติชายก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนเกิดจากภาวะผันผวนที่ส่งผลกระทบต่อกันทั่วโลก เราจึงได้ยินคนถามกันอยู่บ่อยๆ ว่า “เมื่อไรยุคทองโคราชจะกลับมา”

ความสำเร็จสำคัญที่คุณสุวัจน์และพรรคทำให้กับโคราช

ผมเชื่อว่าสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เราวางไว้ในอดีตนี่แหละ คือสิ่งสำคัญที่เราบรรลุด้วยการส่งมันต่อมาให้กับผู้นำรุ่นต่อๆ มา แล้วพี่น้องประชาชนเองก็น่าจะเห็นถึงผลงานนี้ รัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่งถนน 2 เลนมาให้คือถนนมิตรภาพ จากนั้นพลเอกชาติชายก็ส่งถนน 4 เลนต่อมาให้ ผมรับไม้ต่อทำถนน 10 เลน ส่วนสมัยนี้อีสานก็กำลังจะมีมอเตอร์เวย์ไปถึงแล้ว

ด้านการศึกษาก็เช่นกัน ก่อนนี้โคราชไม่ได้มีมหาวิทยาลัย ไม่มีสาขาเทคโนโลยี สาขาวิศวกรรมศาสตร์ และอีกหลายๆ สาขาให้เรียน พอถึงสมัยเราก็เกิดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีขึ้น 

โครงสร้างอื่นๆ ที่จำเป็นต่อการขยายตัวของเมืองอย่างน้ำไฟ นิคมอุตสาหกรรม หรือกระทั่งสนามกีฬาเองก็เช่นเดียวกัน สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษานี่ถือว่าคุณภาพไม่น้อยหน้ากรุงเทพฯ เลยนะ 

พอใจหรือยังกับความสำเร็จของทุกอย่างที่ทำมา

ในเรื่องของการพัฒนามันไม่มีคำว่าพอใจหรอก มีแต่ต้องทำต่อเนื่อง ทำมากขึ้น ช่วยกันทำไปเรื่อยๆ อย่างรถไฟความเร็วสูงกับมอเตอร์เวย์ ผมก็อยากจะเห็นเขาทำเสร็จให้กันสักทีเหมือนกัน 

คนชอบเปรียบเทียบโคราช ขอนแก่น หรือไม่ก็อุดรธานี ว่าที่ไหนเป็นเมืองหลวงของอีสานกันแน่ คุณคิดอย่างไร

โคราชได้เปรียบตรงเราเป็นประตู อะไรก็ตามที่มาจากศูนย์กลางนี่อย่างไรก็ถึงโคราชก่อน แน่นอนว่าแต่ละจังหวัดเขามีจุดขายและศักยภาพแข่งขันแตกต่างกันไป แต่ถ้ามาพูดกันในเรื่องของลักษณะทางชัยภูมิ โคราชจะได้รับผลพวงจากการพัฒนาและการกระจายความเจริญก่อน ดูอย่างห้างสรรพสินค้า 3 เครือใหญ่จากกรุงเทพฯ ตอนนี้โคราชมีหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเทอร์มินัล 21 เซ็นทรัล หรือเดอะมอลล์

นอกจากนี้เรายังมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวสูง ไม่ใช่แค่เมืองอุตสาหกรรม แต่เป็นเมืองโบราณคดี คุณว่ามีจังหวัดไหนบ้างล่ะที่มีภาษาของตัวเอง อาหารของตัวเอง มวยของตัวเอง ผ้าไหมของตัวเอง เพลงของตัวเอง โคราชมีหมด เราถึงอุดมไปด้วยซอฟต์พาวเวอร์

วันนี้โคราชเป็นจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นบนแผนที่โลกด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เราเป็นจังหวัดเดียวในไทยและจังหวัดที่ 4 ในโลกที่ได้ยูเนสโกให้การรับรองถึง 3 เรื่อง หนึ่ง-เขาใหญ่ได้มรดกโลก (World Heritage) สอง-สะแกราชซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่อายุ 500-600 ปี ได้พื้นที่สงวนชีวมณฑล (Man and the Biosphere: MAB) สาม-พื้นที่หลายอำเภอในโคราชซึ่งใต้ดินเต็มไปด้วยฟอสซิล ได้อุทยานธรณีโลก (UNESCO Global Geopark

ทั้งหมดนี้คือแหล่งท่องเที่ยวในโคราชที่ธรรมชาติในโคราชสร้างสรรค์เอาไว้ให้ 

จากข้อได้เปรียบตรงนี้ โคราชควรไปทางไหนต่อ

โคราชโนมิกส์คือนโยบายที่พรรคชาติพัฒนาผลักดันมาพักใหญ่ ชื่อโคราชก็จริงแต่เป้าหมายคือพัฒนาอีสานทั้งภูมิภาค เนื่องจากเราอยู่กับโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมอีสานมานาน เราเห็นศักยภาพว่า พรมแดนอีสานมีความเป็นสากล มีแม่น้ำโขงพาดผ่าน จากหนองคายข้ามแม่น้ำโขงและเวียงจันทน์ขึ้นไปไม่เท่าไรก็เจอจีน เท่ากับว่าไทยเรามีเส้นทางการค้าเชื่อมไปจีนและเอเชียแปซิฟิกอยู่ตรงหน้าเรานี้เอง

ด้วยศักยภาพทางทรัพยากรธรรมชาตินั่นคือโปแตช ซึ่งเป็นสินทรัพย์แดนอีสานที่อยู่ใต้ดิน ผนวกเข้ากับศักยภาพด้านภูมิศาสตร์อย่างที่กล่าวไป ไหนจะโครงสร้างพื้นฐานที่เราพอมีอยู่แล้วอย่างมอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ และรถไฟความเร็วสูงอีก หากได้รับการลงทุนพัฒนาและผลักดันเชิงนโยบายอย่างจริงจังต่อเนื่อง พร้อมอ้างอิงข้อมูลจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) เป็นกรณีตัวอย่าง เราจะดึงดูดนักลงทุนเข้ามาได้มหาศาล 

ถ้าทำได้ทั้งหมดนี้ ผมเชื่อมั่นว่าอีสานเกิดแน่นอน แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ส่องรออยู่นานแล้ว ขอเพียงเราปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมไทยสำเร็จ อย่างไรเราก็ต้องเปลี่ยน เพราะโลกเปลี่ยนไปแล้ว เราจะทำกันแบบเดิมๆ ต่อไปไม่ได้ 

 แต่ EEC เองก็มีด้านที่ต้องชะงักเพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ระเบียงเศรษฐกิจของอีสานจะสามารถหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ไหม

เรื่องนี้สำคัญที่การทำความเข้าอกเข้าใจและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาชน อย่าถือว่าตนเองเป็นผู้นำ เป็นภาครัฐ เป็นนักพัฒนา แล้วจะเดินหน้าต่อโดยไม่จับมือไม่ประชาชน ปัญหาด้านความยั่งยืนของโครงการภาครัฐเป็นสิ่งที่เราเห็นกันมาแล้วนักต่อนัก ว่าต่อให้ไม่ชะลอฟังเสียงประชาชนตั้งแต่ตอนนี้ สุดท้ายก็จะไปเกิดปัญหาที่กลางทางอยู่ดี 

ฉะนั้นต้องดำเนินการให้รอบคอบ จับมือพี่น้องประชาชนเอาไว้ให้มั่นตั้งแต่จุดเริ่มต้น จากนั้นมั่นใจแล้วค่อยเดินหน้า

หากมองด้วยสายตานักลงทุนของคุณ คิดว่าควรทำอย่างไรให้โคราชน่าลงทุน

ยังคงเป็นการสานต่องานพัฒนาเมืองและโครงสร้างพื้นฐานให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น คุณลองนึกภาพตามสิ แค่มีรถไฟความเร็วสูงปุ๊บ จากขับรถ 3-4 ชั่วโมง ย่นเวลาลงเหลือชั่วโมงนิดๆ กลายเป็นหนังคนละม้วนทันที อย่างที่เล่าไปเมื่อครู่ เรามีข้อได้เปรียบและของดีอยู่แล้วมากมาย เหลือแค่อำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนเดินทางมาค้นพบสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายและเร็วขึ้นเท่านั้นเอง

หลายปัจจัยที่คุณพูดมาดูจะต้องอาศัยความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ซึ่งไทยเราทำไม่ได้จริงเสียที คิดว่าเป็นเพราะอะไร

            ประเทศไทยตกอยู่ในวังวนที่ทำให้ประเทศขาดเสถียรภาพ ในการที่จะปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เราต้องการความต่อเนื่องทางประชาธิปไตย ต้องการผู้นำที่มีความรู้ความเข้าใจปัญหา คุ้นเคยกับปัญหา อ่านต้นตอปัญหาขาด ซึ่งก็ต้องอาศัยการเมืองที่ต่อเนื่องอีกนั่นละ ทุกอย่างมันเชื่อมโยงถึงกัน พอขาดตรงนี้ไป เราจึงสูญเสียโอกาสไปมาก นี่คือสาเหตุส่วนหนึ่ง

            ส่วนอีกสาเหตุ คือรัฐบาลยังติดอยู่กับบริหารจัดหารประเทศแบบเดิมๆ ที่ยึดโยงกับความเป็นกระทรวง เวลาจัดสรรงบประมาณอะไรก็จะยึดโยงกับงบของปีที่แล้ว หรือของสมัยที่แล้วมา ซึ่งบางครั้งไม่ได้ตอบโจทย์ของประเทศในปัจจุบัน เมื่อลองพิจารณาปัญหาที่ต้องการแก้ไขและทิศทางที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไป ความจริงบางกระทรวงอาจควรลด ในขณะที่บางกระทรวงควรเพิ่มสัก 200-300% ด้วยซ้ำ

ในเหตุการณ์บ้านเลขที่ 111 คุณถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 5 ปี นับว่าเป็นผู้ได้รับแรงกระแทกจากการทำรัฐประหารโดยตรง ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

เปลี่ยนมาก เปลี่ยนผมไปเลย เหตุการณ์เกิดเมื่อปี 2550 ตอนนั้นผมอายุ 52 เป็นครั้งแรกเลยที่มีการตัดสิทธิทางการเมือง หลังจาก 5 ปีนั้นก็ยังมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นอีกหลายครั้ง เช่น รัฐบาลยิ่งลักษณ์เกิดรัฐประหารปี 2557 แม้ผมจะเปลี่ยนยางฟิตเครื่องเตรียมวิ่งต่อ แต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้ จึงห่างหายไปนานเป็นสิบกว่าปี ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้าย เป็นอุบัติเหตุหรือเจตนา แต่จากที่เคยอยู่ข้างในรถ ผมกระเด็นออกมาก่อนที่รถจะเข้าโค้งแล้วเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ 

มาวันนี้ผม 70 ปีแล้ว จากบทบาทรองนายกฯ ถอยออกมาเป็นผู้ให้คำปรึกษา ทำงานเพื่อประเทศโดยที่ไม่ได้มีตำแหน่ง แต่ไม่ได้เสียใจหรือดีใจอะไรนะ ก็ใช้ชีวิตต่อในบทบาทเปลี่ยนแปลงไป ทุกวันนี้ก็พอใจกับงานที่ทำ กลายเป็นว่าพอไม่มีตำแหน่ง ใครเจอหน้าผมก็ทักว่า หนุ่มขึ้นกว่าตอนเป็นรองนายกฯ ด้วยซ้ำ (หัวเราะ)

 ไม่กี่ปีมานี้ มีนักการเมืองรุ่นใหม่หลายคนที่เจอ ‘อุบัติเหตุทางการเมือง’ แบบเดียวกัน อยากบอกอะไรเขาไหม

สภาพการเมืองมันไม่เปิดประตู ใครเข้าสู่การเมืองก็เจ็บตัวหมด ผมได้รู้ข่าวก็รู้สึกเห็นใจเขานะ และอยากเป็นกำลังใจให้ หลายครั้งข่าวทำนองนี้ทำให้ผมนึกย้อนกลับไปถึงวันที่ไปพบพลเอกชาติชายหลังได้ตำแหน่งรัฐมนตรีครั้งแรก วันนั้นท่านอายุเท่ากับผมตอนนี้เลย ท่านบอกว่า

“ผม 70 ปีแล้ว คุณล่ะเท่าไร 25 ปีใช่ไหม บ้านเมืองนี้จำเป็นต้องมีคนรุ่นที่สอง เราต้องสร้างคนรุ่นที่สองเตรียมไว้ตลอดเวลา คุณคือคนรุ่นที่สองที่ผมอยากสร้างเอาไว้”

5-6 ปีมานี้ ผมเองก็เห็นนะว่าเริ่มมีคนรุ่นที่ 2 มีนักการเมืองรุ่นใหม่ที่อยากเข้ามาทำงานเพื่อประเทศจริงๆ เขามีความรู้ความสามารถที่อยากนำมาใช้บริหารจัดการบ้านเมืองจริงๆ แต่กลับต้องมาเจอกับอุบัติเหตุทางการเมืองอย่างช่วยไม่ได้

ก็ขอเป็นกำลังใจให้เดินหน้ากันต่อไป สำหรับตัวผมเองที่เคยตกที่นั่งเดียวกัน บทเรียนสำคัญที่สุดคือเล่นการเมืองต้องรอบคอบ จะเดินหมากอะไรอย่าใจร้อน ค่อยๆ ก้าวไป ใจเย็นๆ 

สนามการเมืองก็เหมือนสมรภูมิที่มีกับระเบิดซ่อนอยู่ นักการเมืองที่ผ่านการเมืองมามากเหมือนทหารที่ผ่านมาหลายสมรภูมิ เราพอเดาได้จากประสบการณ์ว่าน่าจะมีระเบิดอยู่ตรงไหนบ้าง ฉะนั้น นักการเมืองรุ่นใหม่ๆ ก็จะต้องพยายามบ่มเพาะตัวเอง สั่งสมประสบการณ์ต่อไป เพื่อให้เราเริ่มอ่านออกว่าต้องเดินไปทางไหนจึงจะปลอดภัย

อยากให้ประชาชนจดจำสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อย่างไร

จำง่ายๆ พอ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ‘No problem’ 

สำหรับผม การเมืองจะไปต่อได้ ถ้าเรามีมิตรไมตรีที่ดีต่อกันและประนีประนอมให้เป็น หลายครั้งถึงได้เข้าไปมีบทบาทในการเป็นตัวกลางพูดคุยกับหลายๆ ฝ่าย เพราะการเมืองที่คนทำงานสามัคคี ร่วมมือกัน ไม่แตกแยก คือการเมืองที่ผมอยากเห็น 



Fact Box

  • สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2498 เป็นบุตรคนที่ 3 ของ วิศว์ ลิปตพัลลภ ผู้ก่อตั้งบริษัท ประยูรวิศว์การช่าง 1 ใน 5 เสือกรมทางหลวง
  • เริ่มเข้าสู่การเมืองเมื่อปี 2531 ในฐานะ สส.เขต 1 จังหวัดนครราชสีมา ต่อมาได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัน ในปี 2533 และภายในระยะเวลา 15 ปีหลังจากนั้น ยังได้ขึ้นนั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ มากมายอีกถึง 12 ครั้งด้วยกัน รวมไปถึงตำแหน่งรองนายกฯ ในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
  • เคยถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจำนวน 111 คนที่ถูกเพิกถอนสิทธิจากคดียุบพรรคการเมือง ปี 2549 กลายเป็นศัพท์การเมืองเรียกกันติดปากว่า บ้านเลขที่ 111 
  • ก่อนทักษิณ ชินวัตร จะเข้าเรือนจำอีกรอบ สุวัจน์มักปรากฎกายข้างทักษิณเสมอ เขาให้เหตุผลว่าเป็นเพราะนักการเมืองรุ่นเดียวกัน ที่มีชีวิตทางการเมืองนานกว่า 30 ปี เหลืออยู่ไม่มากนัก ฉะนั้น มิตรภาพ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
Tags: , , , ,