ในรายการ b-holder EP57: ไอซ์ รักชนก รู้สึกอย่างไรที่ สุชาติ ชมกลิ่น ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี ทาง The Momentum ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 รักชนก ศรีนอก สส.เขตบางบอน จอมทอง หนองแขม พรรคประชาชน เปิดใจถึงแนวทางของพรรคประชาชนในการโหวตเลือก อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกฯ คนที่ 32 โดยมองว่า เป็นความจำเป็นเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ

รักชนกยอมรับว่า การตัดสินใจโหวตให้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยขึ้นเป็นนายกฯ เป็นการตัดสินใจที่ ‘เจ็บปวด’ และทำให้ผู้สนับสนุนพรรคประชาชนรู้สึกผิดหวัง แต่ยังยืนยันว่าเป็นการตัดสินใจที่ผ่านการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว เพราะหากพรรคประชาชนเลือกอยู่เฉยๆ โดยไม่เลือกนายกฯ จากพรรคใดเลย พรรคเพื่อไทยก็อาจจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งจะตามมาด้วยปัญหาความไม่มีเสถียรภาพ ไม่สามารถผลักดันกฎหมายและนโยบายสำคัญได้ และท้ายที่สุดพรรคภูมิใจไทยก็จะกลับเข้าไปร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยอยู่ดี ส่งผลให้ประเทศได้ ‘รัฐบาลหน้าตาเดิมๆ’ ที่ประชาชนไม่ต้องการมาบริหารต่อไปอีก 2 ปี

“หากเพื่อไทยสามารถฟอร์มรัฐบาลได้ด้วยการสนับสนุนของเรา พูดตรงๆ ว่า เขามีโอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก เพราะว่าเสียงเดิมของเขามีอยู่ 250-260 เสียงอยู่แล้ว เมื่อเป็นรัฐบาลเขาจะมีพลังที่สามารถดูด สส.พรรคอื่นๆ เข้าไปในพรรคตัวเองได้” รักชนกกล่าว และหากเป็นตามฉากทัศน์นี้ก็จะมีความเสี่ยงสูงที่พรรคเพื่อไทยจะ ‘บิดพลิ้ว’ ไม่ทำตามข้อตกลง (MOA) ของพรรคประชาชนในเรื่องการยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน หรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

รักชนกชี้ว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ออกแบบมาเพื่อให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ และให้อำนาจกับองค์กรอิสระในการ ‘เตะตัดขา’ เพื่อขัดขวางการทำงานของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นการตัดสินใจเลือกอนุทินเพราะเชื่อว่าจะกำกับให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยทำตามสัญญา MOA ได้ จึงเป็นการตัดสินใจเพื่อ ‘ปลดล็อก’ ประเทศจากรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว แม้จะต้องแลกมาด้วยคะแนนความนิยมก็ตาม

“มันคือสิ่งที่เรากัดฟันเพื่อแลกโอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แน่นอนว่าหลายๆ คนอาจจะบอกว่ามันจะได้แก้เหรอ แก้ออกมาหน้าตามันจะเป็นอย่างไร มันจะสำเร็จไหม พูดตรงๆ ว่าไม่มีใครรู้ แต่เราไม่เคยอยู่ใกล้โอกาสในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากเท่านี้มาก่อนเลย

“มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพรรคประชาชน แต่มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับประเทศนี้ ที่หลายๆ คนอาจจะมีมุมมองไม่เหมือนเรา แต่เราประเมินทุกฉากทัศน์แล้วว่า จะเอารัฐบาลเพื่อไทยที่เสียงง่อนแง่นเหมือนเดิม หรือจะเอารัฐบาลเพื่อไทยที่อยู่ต่อไปอีก 2 ปี แล้วนำส่งอะไรไม่ได้ หรืออาจจะเป็นนายกฯ คนนอก หรือนายกฯ ประยุทธ์ จะเอาแบบไหน” รักชนก กล่าว

สำหรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีบุคคลที่คุ้นเคยจากรัฐบาลเดิมกลับมาดำรงตำแหน่ง เช่น สุชาติในตำแหน่งรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักชนกมองว่า ความเคลื่อนไหวของพรรคประชาชน ไม่ได้มีนัยสำคัญที่ทำให้บุคคลดังกล่าวได้เป็นรัฐมนตรี แต่เป็นผลมาจากการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีตามโควตาทางการเมืองแบบเดิม

อย่างไรก็ดี ครม.ชุดใหม่นี้มีหลายบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่รักชนกเป็นแกนหลักในการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบ โดยเฉพาะกรณีการลงทุน 7,000 ล้านบาท ของสำนักงานประกันสังคมในการซื้อตึก SKYY9 Centre ซึ่งเกี่ยวข้องกับสุชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น, พิพัฒน์ รัชกิจประการ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นบุตรชายของ สันติ พร้อมพัฒน์ ผู้ซึ่งเคยเป็นเจ้าของตึก SKYY9 Centre ก่อนที่สำนักงานประกันสังคมจะเข้าไปลงทุน

“สิ่งที่ดิฉันและประชาชนน่าจะคาดหวังกันก็คือ คือถ้าอยู่กันเยอะขนาดนี้ต้องแก้อะไรได้สักอย่างแล้วใน 4 เดือน แน่นอนว่ามันสั้น แต่มันมากพอที่จะเอาคนที่เกี่ยวข้องเรื่องนี้มาลงโทษ ถ้ามันไม่ขยับอะไรก็พิจารณาตัวเองเถอะ

“ดิฉันไม่มีอะไรจะพูดกับสุชาติ แต่ดิฉันก็มีความหวังอันแรงกล้าว่า วันหนึ่งคนที่เคยทำเรื่องต่างๆ ที่เลวร้ายกับสำนักงานประกันสังคมไว้ ซึ่งดิฉันไม่ได้หมายถึงสุชาติ หมายถึงคนอื่นในยุคของสุชาติ ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดิฉันก็คาดหวังว่าคนเหล่านั้นที่เป็นเห็บหมัดกัดกินสำนักงานประกันสังคม แล้วก็ทำให้ผู้ประกันตนต้องมีเบาะรองที่มันไม่มั่นคง ดิฉันก็หวังว่า คนพวกนี้จะได้ชดใช้เวรกรรมของตัวเอง คือเวรกรรมมันมาช้าเสียเหลือเกิน เราก็อาจจะต้องเร่งมันให้เร็วขึ้น ด้วยการที่ในสมัยหน้า ถ้าเราได้มีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล ดิฉันก็มีความกระเหี้ยนกระหือรือและมีความมุ่งมั่นปรารถนาเป็นอย่างยิ่งอยากจะเห็นใครหลายๆ คนติดคุกหรือว่าถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต จะได้ไม่ต้องมาสร้างความฉิบหายให้กับหน่วยงานใด หรือว่าส่วนไหนของประเทศนี้อีก

“ก็ขอให้สุชาติเก่งไปแบบนี้เรื่อยๆ ขอให้ได้เป็นรัฐมนตรีไปเรื่อยๆ เพราะว่าถ้าวันไหนไม่ได้เป็นแล้ว วันนั้นโดนเช็กบิลแน่นอน”

ส่วนสิ่งที่อยากจะฝากถึงนายกฯ รักชนกระบุว่า ในช่วง 4 เดือนต่อจากนี้อยากให้อนุทินมุ่งเน้นเรื่องการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชัน ทว่าเธอก็ยังตั้งคำถามว่า พรรคภูมิใจไทยจะอยู่ได้หรือไม่หากมีการปราบปรามจริง จึงไม่มีอะไรจะฝากถึงเป็นพิเศษ เพราะไม่มีความคาดหวังในตัวนายกฯ คนใหม่ นอกจากเป้าหมายหลัก 2 ข้อใน 4 เดือนนี้ คือการยุบสภาฯ และวางหมุดหมายแรกในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น

“ถึงแม้ว่าเราจะขานชื่อเขาออกมา แต่อนุทินไม่ใช่นายกฯ ในดวงใจดิฉันแน่นอน สิ่งที่เราอยากจะเปล่งเสียงออกมามากที่สุดคือ ชื่อแคนดิเดตจากพรรคประชาชน ถ้ามันไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่ต้องมีบัญชีแคนดิเดตนายกฯ วันนั้นเสียงที่พวกเราควรจะเปล่งออกมามันคือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แต่เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่มันบอกว่า แคนดิเดตนายกฯ ล็อกอยู่ในบัญชี 3 ชื่อ ก็เลยทำให้เรามาติดล็อกสู่ทางตัน” รักชนกกล่าว

รับชม b-holder EP57: ไอซ์ รักชนก รู้สึกอย่างไรที่ สุชาติ ชมกลิ่น ได้เป็นรองนายกฯ ได้ทาง https://youtu.be/8LbMuAJ0_0s

Tags: , , ,