เมื่อ AI หรือปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นสิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่เพียงแค่การใช้เป็นเครื่องมือในการทำงาน แต่หลายคนกลับพึ่งพา AI มากกว่าที่ควร ตั้งแต่การตั้งคำถามสามัญอย่างวันนี้กินข้าวกับอะไรดี เลิกกับแฟนดีไหม ไปจนถึงการตัดสินใจครั้งใหญ่ อย่างการลาออกหรือเปลี่ยนงาน
ChatGPT, Gemini, Claude, Google Bard หรือ NotebookLM ฯลฯ กลายเป็นเครื่องมือคุ้นชินของมนุษย์ทำงาน เพราะนอกจากจะช่วยทำให้งานของเราง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยเสนอไอเดียใหม่ๆ ที่เราอาจคิดไม่ถึง และช่วยร่นระยะเวลาการทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่การ ‘พึ่งพา’ AI ที่มากเกินไป อาจส่งผลให้สมองทำงานน้อยลงได้
งานวิจัย Your Brain on ChatGPT จาก MIT Media Lab ระบุว่า ยิ่งเราพึ่งพาเครื่องมือ AI มากเท่าไร การเชื่อมต่อของสมองเราก็จะยิ่งลดลง โดยงานวิจัยแบ่งการเก็บข้อมูลไว้ 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่ใช้ LLM (ChatGPT) 2. กลุ่มที่ใช้ข้อมูลค้นหา (Search Engine) และ 3. กลุ่มที่ใช้สมองคิดเพียงอย่างเดียว (Brain-Only)
งานวิจัยนำการเก็บข้อมูลทั้ง 3 กลุ่มมาวัดกิจกรรมสมองด้วยคลื่นไฟฟ้า (EEG) เพื่อวัดระดับการมีส่วนร่วมทางปัญญา (Cognitive Engagement) และภาระทางปัญญา (Cognitive Load) พร้อมกับเก็บข้อมูลการวิเคราะห์ภาษาตามธรรมชาติ (NLP) พบว่า กลุ่มที่ใช้ LLM มีส่วนร่วมทางปัญญาต่ำกว่ากลุ่มค้นหาข้อมูลและกลุ่มใช้สมอง ยิ่งพึ่งพาเครื่องมือมาก การเชื่อมต่อของสมองก็จะยิ่งลดลง
นอกจากนี้หลังการทดลอง 4 รอบ ซึ่งกินเวลา 4 เดือน พบว่า กลุ่ม LLM มีการทำงานต่ำกว่ากลุ่มที่ใช้สมองคิดเพียงอย่างเดียวแทบทุกระดับ เช่น สมองและภาษา
แม้ว่ารายงานครั้งนี้ยังไม่สามารถสรุปผลได้ว่า LLM อาจส่งผลระยะยาวต่อความจำ ความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ชี้ให้เราเห็นนัยสำคัญหลายอย่าง ขณะเดียวก็มีงานวิจัยหลายอย่างชี้ว่า การใช้ AI ให้ถูกทางก็จะทำให้เราฉลาดขึ้น ทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้รายงานวิจัยชื่อ Research: Gen AI Makes People More Productive and Less Motivated ของ Harvard Business รายงานคล้ายกันว่า แม้ว่าการใช้ Generative AI จะช่วยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ของการทำงาน แต่กลับทำให้มีผลข้างเคียงคือทำให้ผู้ใช้มีแรงจูงใจภายใน (Intrinsic Motivation) ลดลง เช่น หลายคนอาจรู้สึกเบื่อหน่ายและหมดความท้าทายในที่ทำงาน เพราะคิดว่า AI พึ่งพาได้ รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของงานอย่างแท้จริง และอาจส่งผลให้ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง เช่น ถ้าไม่มี AI ก็ทำงานไม่ได้ จนเกิดความรู้สึกไม่มั่นใจในสมองตัวเอง
แล้วจะใช้ AI อย่างไรให้ไม่โง่ลง แถมงานมีประสิทธิภาพ
- มอง AI เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่ตัวแทน: ใช้ AI ช่วยสรุป ร่าง หรือเสนอทางเลือกแต่เราต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงทุกครั้ง และต้องไม่ใช่เชื่อใจ AI 100%
- เลือกคำตอบเอง: จาก AI เสนอคำตอบแบบไหนมาก็เลือกแบบนั้น เปลี่ยนเป็นให้ AI ช่วยระดมไอเดีย และเราเป็นผู้คัดกรอง คัดสรร และวิเคราะห์ให้ตรงกับงานเราอีก
- ตรวจสอบเสมอ: หลายคนไม่ว่า AI ตอบคำถามว่าอย่างไรก็เชื่อใจใน AI ทุกสิ่ง สิ่งนี้อาจทำร้ายเราได้หลายทางเช่น ทำให้กระบวนการคิดวิเคราะห์ หรือไอเดียสร้างสรรค์หายไป เพราะแค่ Prompt สิ่งที่ต้องการลงไปและ Copy-Paste ส่งต่อ ก็จะทำให้สมองไม่ได้ฝึกคิดเป็นระบบ แถมข้อมูลหลายอย่างที่ได้รับ AI อาจจะมั่วมาก็ได้
และสุดท้าย อย่าให้ AI เป็นทุกอย่างในชีวิต: เราใช้ AI เป็นผู้ช่วย เป็นลูกน้องได้ แต่อย่าให้ AI กลืนความเป็นคน กลืนวิธีคิด และการทำงานของเรา เพราะทักษะส่วนตัว และความเก่งเฉพาะด้านของแต่ละบุคคลไม่ใช่สิ่งที่ใคร หรือ AI จะมาแทนที่ได้ แต่หากเราเลิกคิด เลิกทำ เลิกพึ่งพาสมองตัวเอง และปล่อยให้ AI ทำหน้าที่ทั้งหมด อีกไม่นานทักษะที่เราสั่งสมมาอาจเสื่อมถอยไปตามเวลาหลังจากไม่ถูกใช้เป็นระยะเวลานานก็ได้
หากสนใจวิธีการใช้เครื่องมือ AI อย่างไรให้ไม่โง่ลงและเพิ่มโอกาส สามารถเจอกันได้ที่งาน ‘AI บนทางสองแพร่ง ความหวังหรือความน่าสะพรึง Ultimate Opportunity or Opponent’ ที่โรงแรม Hilton Grand Asoke ในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 โดยในงานครั้งนี้มี เรซา ซาดรี (Reza Sadri) อาจารย์จาก CalTech มาช่วยสังเคราะห์ AI พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติมากมาย ทั้งจากแวดวงนักธุรกิจ แวดวงการเมือง และแวดวงประชาสังคม
ที่มา:
– https://www.media.mit.edu/projects/your-brain-on-chatgpt/overview/?utm_source=chatgpt.com