หากกล่าวถึงพื้นที่สำหรับผู้พิการในประเทศไทยยังคงยากที่จะบอกว่ามีที่ใดบ้าง เพราะปัจจุบัน การเปิดรับให้ผู้พิการทุกประเภทไม่ว่าจะเป็น ผู้พิการทางสายตา คนหูหนวก กลุ่มออทิสติก ฯลฯ ได้ใช้ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งเหมือนกับคนทั่วไปในสังคมยังทำได้แบบทีละนิดทีละหน่อย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การจ้างงานที่หลายบริษัทรับผู้พิการเข้าไปเป็นแรงงานในจำนวนจำกัด เพียงเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของกระทรวงแรงงานเท่านั้น ส่งผลให้แหล่งรายได้ของผู้พิการมีไม่มากเมื่อเทียบกับคนทั่วไป ขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตทางเศรษฐกิจมากกว่าปกติ
ดังนั้นเพื่อให้ผู้พิการอยู่รอดและมีรายได้ในระบบเศรษฐกิจไทยแบบทุนนิยม จึงเป็นที่มาของ ‘ยิ้มสู้คาเฟ่’ สถานที่ซึ่งไม่ได้มีความพิเศษเฉพาะความอร่อยเท่านั้น แต่ยังพิเศษในเรื่องของแนวคิดที่ต้องการให้พื้นที่แห่งนี้สร้างรายได้สำหรับผู้พิการ เป็นเหตุผลว่า เหตุใดคาเฟ่ที่ตั้งอยู่ในตึกแถวภายในซอยอรุณอมรินทร์ 39 ที่เต็มไปด้วยผู้พิการในฐานะของแคชเชียร์ พนักงานเสิร์ฟ คนชงเครื่องดื่ม กระทั่งคนทำอาหารและเบเกอรี ที่ต่างบริการลูกค้าด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
เพื่อฉายภาพความพิเศษให้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น The Momentum จึงเดินทางมายังยิ้มสู้คาเฟ่ สถานที่ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแหล่งพักพิงด้านรายได้แก่ผู้พิการเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำหน้าที่เป็นชุมชนที่โอบรับผู้พิการหลากหลายกลุ่ม และบอกกับพวกเขาว่า ผู้พิการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตของตนเองได้ แม้จะมีข้อจำกัดทางด้านร่างกายก็ตาม
การมีอยู่ของร้านเพื่อให้ผู้พิการพึ่งพาตนเองได้
การเกิดขึ้นของยิ้มสู้คาเฟ่ที่มีผู้พิการเป็นหัวใจหลัก มาจากการส่งต่อโอกาสของ วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ที่ขาข้างหนึ่งอยู่ในตำแหน่งประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ และอีกข้างคือผู้พิการทางสายตาที่เข้าใจบริบทและความจำกัดของสังคมไทยต่อผู้พิการอย่างลึกซึ้ง
ย้อนกลับไปในปี 2510 วิริยะได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดภายในโรงเรียนช่างฝีมือทหารที่ศึกษาอยู่ ความรุนแรงของเหตุการณ์ทำให้เขาต้องสูญเสียดวงตาทั้ง 2 ข้าง และใช้ชีวิตด้วยดวงตาดับสนิทตั้งแต่วัย 15 ปี เหตุการณ์ครั้งนี้กลายมาเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเขาในหลายๆ ด้าน ทั้งความฝันอยากเป็นหมอที่ต้องทิ้งไป ขณะเดียวกันสภาพสังคมที่มองผู้พิการว่า ไร้ความสามารถเป็นแรงผลักดันให้วิริยะตั้งมั่นว่าจะประสบความสำเร็จ และกลับมามอบโอกาสให้ผู้พิการคนอื่นๆ
หลังเรียนจบนิติศาสตรบัณฑิต ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อด้วยปริญญาโท สาขากฎหมายภาษีอากรที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา วิริยะจึงก่อตั้งมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการขึ้นในปี 2542 ขณะเดียวกันก็สวมหมวกนักรณรงค์ผลักดันกฎหมายที่รู้จักกันในชื่อ พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ที่นำมาสู่การบังคับให้สถานประกอบการภาครัฐและเอกชนที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไป ต้องจ้างคนพิการเข้าทำงาน 1 คน
การอุทิศตนเพื่อผู้พิการของวิริยะ นอกจากกฎหมายที่เป็นรูปธรรม ก็คือโครงการเพื่อผู้พิการที่ตั้งอยู่ภายในอาคารเลขที่ 27/5 สูง 4 ชั้น ภายในซอยอรุณอมรินทร์ 39 ไม่ว่าจะเป็นศูนย์บริการถ่ายทอดการสื่อสารแห่งประเทศไทย (TTRS), ศูนย์บริการคนพิการทั่วไป, ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กผู้พิการ (บ้านยิ้มสู้), หอศิลป์ยิ้มสู้ และหนึ่งในนั้นคือ ยิ้มสู้คาเฟ่ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2559 ภายใต้โครงการของศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน
ด้วยอุดมการณ์ที่ต้องการให้ผู้พิการสามารถพึ่งพาตนเองและใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียม ภายใต้โครงการยิ้มสู้คาเฟ่ จึงมีระบบที่ออกแบบให้ผู้พิการเป็นทุกส่วนของร้าน ตั้งแต่การรับออเดอร์ เสิร์ฟ อบเบเกอรี ปรุงอาหาร และชงเครื่องดื่ม ด้วยค่าแรงที่สมน้ำสมเนื้อ และสวัสดิการที่จะเป็นหลักพิงไปจนถึงวัยเกษียณ
ที่สำคัญ คือการโอบรับผู้พิการจากบริษัทเอกชนที่ขาดความพร้อมในการรับผู้พิการเข้าทำงาน จึงส่งพวกเขาเข้ามาทำงานภายในยิ้มสู้คาเฟ่ โดยยังได้รับเงินเดือนของบริษัทต้นสังกัดอยู่ เติมด้วยเงินเดือนที่ได้จากการทำงานภายในคาเฟ่เข้าไปเสริม
การมีอยู่ของยิ้มสู้คาเฟ่ จึงไม่เพียงแต่เป็นโอกาสให้ผู้พิการได้มีงานทำ แต่ยังเป็นบันไดที่จะทำให้ชีวิตของพวกเขาเดินทางไปสู่ความมั่นคงของชีวิต อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เปราะบางจากการขาดแคลนรายได้ และลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างคนทั่วไปกับผู้พิการไปในคราวเดียวกัน
แม้มีข้อจำกัดทางร่างกาย แต่สื่อสารกันได้
หลายคนอาจเกิดความกังวลว่า จะสื่อสารกับผู้พิการอย่างไร เนื่องจากบางคนไม่ได้ยินเสียง หรือบางคนไม่สามารถสื่อสารออกมาเป็นคำพูดได้ ยิ้มสู้คาเฟ่เข้าใจถึงข้อจำกัดนี้ และสร้างระบบที่เอื้อให้เกิดการสื่อสารระหว่างลูกค้ากับพนักงานที่เป็นผู้พิการโดยตรง โดยไม่เกิดอุปสรรคและสร้างความลำบาก
การสั่งอาหารและเครื่องดื่มสามารถทำได้ที่เคาน์เตอร์แบบร้านอาหารทั่วไป แต่สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาคือ รายละเอียดภายในใบเมนู เช่น รายการอาหารและเครื่องดื่ม รสชาติที่ต้องการ วัตถุดิบที่ไม่ต้องการใส่ ลูกค้าจะต้องใช้ภาษากาย โดยการใช้นิ้วชี้ไปที่รายการต่างๆ ให้ครบ โดยมีพนักงานที่เป็นผู้พิการคอยคีย์ข้อมูลออเดอร์ตามที่สั่ง หรือสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานภาษามืออยู่แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะต้องนำมาใช้กับการพูดคุยในยิ้มสู้คาเฟ่ ที่พนักงานแต่ละคนสามารถใช้ภาษามือในการสื่อสารได้
แม้จะเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยใช้เสียงในการสื่อสาร เนื่องจากพนักงานบางส่วนเป็นผู้พิการทางการได้ยิน แต่นั่นไม่ได้แปลว่า พวกเขาจะไม่พยายามส่งภาษากายที่เข้าใจง่ายเพื่อสื่อสารกับลูกค้า เช่น การขอบคุณ หรือการแสดงออกว่ารับรู้สิ่งที่ลูกค้าต้องการแล้ว
ภาพจำและความเข้าใจว่า การสื่อสารกับผู้พิการเป็นเรื่องที่ยากนั้น ยิ้มสู้คาเฟ่พิสูจน์แล้วว่า ไม่เป็นความจริง ผ่านบริการต่างๆ ภายในร้าน และกิมมิกเล็กๆ ที่หลายคนสัมผัสได้ เช่น การได้รับออเดอร์ตรงตามที่สั่งทุกเมนู รวมไปถึงการได้รับความเอาใจใส่ และบริการตามคำขอของลูกค้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อาจเรียกได้ว่าเป็นการลบภาพจำเก่าๆ และสะท้อนให้เห็นความจริงว่า ผู้พิการไม่ได้เข้าถึงยากแบบที่กังวลกัน
พื้นที่สำหรับทุกคน
ยิ้มสู้คาเฟ่ยังใส่ใจผู้พิการด้วยการออกแบบพื้นที่บริเวณชั้น 1 ของอาคาร ด้วยอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ตั้งแต่ทางเข้าร้านที่ทำเป็นสโลปเพื่อให้เกิดความสะดวกในการเข็นวีลแชร์ ไปจนถึงห้องน้ำที่ออกแบบมาให้ใช้ร่วมกันได้ทั้งผู้พิการและลูกค้าทุกช่วงวัย
และเมื่อมองไปรอบร้านจะพบว่า มีภาพวาดประดับอยู่ตามผนังมากมาย ให้ความรู้สึกคล้ายกำลังหลงเข้าไปในแกลเลอรีขนาดย่อม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแนวคิดของมูลนิธิฯ ที่ต้องการให้ยิ้มสู้คาเฟ่เป็นมากกว่าคาเฟ่ที่มีพนักงานเป็นผู้พิการ แต่ยังเป็นสเปซให้ผู้พิการได้แสดงศักยภาพผ่านงานศิลป์ของตัวเอง โดยสามารถนำมาจัดแสดงได้ทั้งในบริเวณคาเฟ่และชั้นบนของอาคาร ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงผลงานศิลปะ
มากไปกว่าภาพศิลปะคือการแสดงศักยภาพของผู้พิการที่ถูกส่งผ่านอาหารแต่ละจาน ซึ่งไม่เพียงแต่การจัดจานอย่างประณีตเท่านั้น แต่ยังให้รสชาติที่อร่อยไม่แพ้ร้านอื่นๆ รวมไปถึงงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ที่เติมเสน่ห์ให้กับเครื่องดื่มแต่ละแก้วด้วยลาเต้อาร์ตรูปโลโก้ของร้านยิ้มสู้ กับรูปดอกไม้ที่บรรจงวาดด้วยพนักงานผู้พิการ
ทั้งหมดนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความต้องการให้ร้านเป็นของผู้พิการ สิ่งที่ชัดเจนมากกว่านั้นคือ ความต้องการให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพให้ผู้ที่มาเยือนได้มองเห็นว่า คนพิการนั้นมีความสามารถและทำทุกอย่างได้ โดยไม่มีข้อจำกัดทางร่างกายมาเป็นอุปสรรค ซึ่งจะเป็นการลบภาพจำที่ไม่ดีของผู้พิการทิ้งไป ที่สำคัญยังสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับผู้พิการ ในวันที่ประเทศยังมีพื้นที่ให้ผู้พิการได้ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปไม่มากพอ ยิ้มสู้คาเฟ่จึงเกิดขึ้นเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้สังคมต่อไปในอนาคต
Fact Box
- ยิ้มสู้คาเฟ่ เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.30-16.30 น. ร้านตั้งอยู่ภายในซอยอรุณอมรินทร์ 39 แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 https://maps.app.goo.gl/dp4CRrYvULoXDPce7