“บัญชีและช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของท่านถูกระงับการทำธุรกรรมตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี”
ข้อความสั้นๆ ที่ส่งเข้ามาในมือถือของคนไทยหลายคนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ (15 กันยายน 2568) และนี่ไม่ใช่ข้อความหลอกลวง เพราะปรากฏว่าผู้ได้รับข้อความไม่สามารถใช้เงินในบัญชีธนาคารของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ รับเงิน หรือโอนเงิน จากแอปพลิเคชัน Mobile Banking หรือผ่านตู้ ATM เนื่องจากสงสัยว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘บัญชีม้า’
สิ่งนี้กลายเป็นประเด็นที่พูดถึงอย่างหนักหน่วง เพราะนอกจากเวรกรรมไปตกกับคนจำนวนมากที่ไม่ใช่บัญชีม้าแล้ว ปัจจุบันยังไม่มีการออกมายืนยันว่า การระงับบัญชีต้องสงสัยที่ว่านั้นสามารถจับตัวการที่เป็นบัญชีม้าตัวจริงได้หรือเปล่า มากไปกว่านั้นคือระบบการแก้ปัญหาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบที่เชื่องช้าไม่ทันกาลและสะเปะสะปะ
แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน ทำไมการจัดการบัญชีม้าที่ดูเหมือนจะเป็นการ ‘แก้ปัญหา’ จึงกลายเป็นการสร้างปัญหาให้กับประชาชนแบบถ้วนหน้า The Momentum พาไปดูว่ามีปัญหาอะไรบ้างจากมาตรการจัดการบัญชีม้า
1. มาตรการแบบใหม่ที่เนื้อในยังไม่นิ่งแต่บังคับใช้แล้ว
ความโกลาหลที่เกิดขึ้น มีตั้งแต่กลุ่มคนค้าขายที่ไม่สามารถรับเงินโอนจากลูกค้า คนทั่วไปที่ไม่สามารถใช้ Mobile Banking ได้ ไปจนถึงบางบริษัทที่ถูกระงับบัญชี ซึ่งสามารถยืนยันได้แล้วว่า ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะระบบธนาคารรวน แต่เป็นระบบใหม่ที่คิดขึ้นมาเพื่อทำสงครามกับบัญชีม้า นำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยที่กำกับอยู่เบื้องหลังวิธีดังกล่าว
มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยคือ การ ‘ขยายขอบเขต’ การจัดการกับบัญชีต้องสงสัย จากเดิมที่อายัดเฉพาะบัญชีที่มีผู้เสียหายแจ้งเข้ามา ขยายไปถึง ‘เส้นทางการเงิน’ ที่เชื่อมโยงกับบัญชีที่ต้องสงสัยว่าเป็นบัญชีม้าด้วย ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตามที่ได้รับเงินโอนจากบัญชีต้องสงสัยว่าจะเป็นบัญชีม้า ก็จะถูกอายัดไม่ให้เข้าถึงและเข้าใช้เงินในบัญชีของตัวเองทั้งหมด
มาตรการใหม่นี้เป็นมาตรการที่เพิ่งคิดค้นกันมาได้ไม่ถึง 1 ปี และยังไม่มีหลักเกณฑ์ที่จะมากำหนดกลุ่มเป้าหมายบัญชีธนาคารให้แคบลง แต่กลับมีการบังคับใช้จริงแล้วมาระยะหนึ่ง ขณะที่เนื้อในก็ยังมีความ ‘ไม่นิ่ง’ ซึ่งแปลว่ามาตรการยังต้องพัฒนาและปรับเปลี่ยนเรื่อยๆ เพื่อให้มีความเหมาะสม จึงเป็นเหตุผลว่า เหตุใดธนาคารหลายเจ้ามีการจัดการที่ ‘แตกต่าง’ แม้อยู่ภายใต้มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยเหมือนกัน ธนาคารบางเจ้าอายัดเฉพาะยอดเงินที่โอนจากบัญชีม้าเข้ามา บางเจ้าอายัดทั้งบัญชี หรือบางเจ้าอายัดบัญชีธนาคารเดียวไม่พอ ยังอายัดบัญชีอื่นๆ ที่ผูกกับข้อมูลส่วนตัวของผู้ถือครองด้วย
ขณะที่ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมาว่า ธนาคารมีหน้าที่ในการระงับการทำธุรกรรมทางการเงินเป็นการชั่วคราว โดยจะมีการระงับจำนวนเงินเฉพาะที่โอนออกไปจากบัญชีต้องสงสัยเท่านั้น แต่กลับมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่แสดงความเห็นในทำนองว่า ตนถูกระงับยอดเงินที่อยู่ในบัญชีทั้งหมด
น่าตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดมาตรการที่ยังไม่นิ่ง จึงบังคับใช้แล้ว จนนำมาซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก และก็น่าตั้งคำถามต่อไปว่า มาตรการขยายขอบเขตการจัดการบัญชีม้า แบบ ‘ถอนรากถอนโคน’ แบบที่ทำอยู่ตอนนี้จำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์มาคัดแยกคนบริสุทธิ์ ออกจากมิจฉาชีพให้รัดกุมและละเอียดมากกว่านี้หรือไม่
ไปจนถึงคำถามที่ว่า หรือมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยนี้จะไม่ตอบโจทย์กับการปราบปรามบัญชีม้า แต่ในทางกลับกันกลับทำให้กลุ่มมิจฉาชีพตอบสนองต่อมาตรการนี้ ด้วยการกลั่นแกล้งหว่านความเชื่อมโยงของบัญชีม้าไปยังบัญชีธนาคารของผู้บริสุทธิ์ เพื่อให้สาวไปถึงตอได้ยากมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาเปิดเผย หลังเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตำรวจไซเบอร์และคณะกรรมการอาชญากรรมออนไลน์ ประชุมด่วนเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 ได้ข้อสรุปว่า จะปรับแนวทางลดผลกระทบจากมาตรการจัดการบัญชีม้า ลดเวลาในการปลดล็อกการระงับให้เร็วที่สุดเหลือ 3-4 ชั่วโมง จากเดิมที่ต้องใช้เวลากว่า 3 วัน
2. ช่องทางร้องทุกข์ที่มีไว้ประดับ แต่ใช้งานไม่ได้?
หลังจากกลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์และทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการบัญชีม้าถูกวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาบัญชีม้า จึงพยายามหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเปิดสายด่วน 1441 เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2568 เพื่อมารับสายประชาชนที่ถูกอายัดบัญชีจากมาตรการจัดการบัญชีม้าโดยเฉพาะ
แต่ประชาชนที่ได้ลองติดต่อไป กลับแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า
“ขอถาม กดกี่รอบโทรกี่ชั่วโมงจะรับสาย”
“เปิด 24 ชั่วโมง รับสายตอนไหน”
“โทรวันนี้ติดอีกทีชาติหน้า”
“เขาลองโทรกันจนสายหลุดเองไปเป็น 10 ครั้งยังไม่มีใครรับสาย”
สรยุทธ สุทัศนะจินดา และทีมข่าวเรื่องเล่าเช้านี้ติดต่อผ่านเบอร์โทรศัพท์ดังกล่าวเพื่อทดสอบระบบ ปรากฏว่า ต้องรอนานมากกว่า 10 นาที โดยไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดรับสาย ขึ้นแต่เพียงข้อความว่า “พนักงานให้บริการเต็มทุกคู่สาย”
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีประชาชนติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อร้องทุกข์จากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย กลับมีการโยนให้ติดต่อไปยังหน่วยงานอื่นๆ ในขณะที่เมื่อติดต่อไปยังหน่วยงานอื่นๆ ตามที่ได้รับคำแนะนำแล้ว หน่วยงานนั้นก็โยนกลับให้มาถามหน่วยงานเดิม
3. ต้นทุนที่สูญเสียเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใครจ่าย?
จากการถูกอายัดบัญชีธนาคารกันถ้วนหน้าทั้งๆ ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ โดยไม่มีโอกาสให้ยื่นอุทธรณ์ความบริสุทธิ์ตั้งแต่ก่อนถูกระงับการใช้งานบัญชีนั้น สิ่งที่ประชาชนทำได้เพื่อยืนยันว่าตนเองไม่ใช่มิจฉาชีพ คือการหอบเอาเอกสารเป็นตั้งๆ เพื่อไปยืนยันกับธนาคารต้นสังกัดของบัญชีที่ถูกอายัดไป
มองเผินๆ อาจไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำ แต่สิ่งนี้มีต้นทุนที่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องจ่ายทั้งที่ตัวเองไม่ผิดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ไม่ว่าจะเป็นค่าถ่ายเอกสาร ค่าเดินทางไปยังธนาคาร รายได้และเวลาที่สูญเสียไปจากการที่ทำมาหากินไม่ได้ เพราะบัญชีธนาคารถูกอายัดนั้น เป็นต้นทุนที่ผู้ ‘ประสบภัย’ จากมาตรการสู้กับบัญชีม้านี้ต้องเผชิญ
ยังไม่นับรวมกับวิกฤตศรัทธาของประชาชนที่แห่ไปถอนเงินออกจากบัญชีธนาคาร เพราะกังวลว่าบัญชีของตนอาจผูกโยงเชื่อมต่อกับบัญชีม้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และอาจถูกระงับไม่สามารถใช้เงินได้ ซึ่งหากมองในภาพกว้างก็จะกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะคนไม่เชื่อมั่นในการเก็บเงินไว้กับธนาคาร
“โดนอายัดทุกบัญชีเลย ทำอะไรไม่ได้เลยมา 2 สัปดาห์แล้ว”
“ไปถอนเงินออกให้หมด”
“การกระทำของตำรวจและธนาคารจะรับผิดชอบกับประชาชนที่รับผลกระทบยังไง หรือแค่ทำให้ไวขึ้น ทุกอย่างมันมีค่าเสียโอกาสนะ ชดใช้ให้ประชาชนเขายังไง ช่วยออกมาชี้แจงเพิ่มนะ ทำแล้วจบฟรีมันไม่น่าใช้ได้ ความเสียหายมันเกิดวงกว้าง”
เหล่านี้ล้วนเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้น และแน่นอนว่ามาจากการบังคับใช้นโยบายของหน่วยงานภาครัฐ คำถามสำคัญคือ แล้วใครจะต้องรับผิดชอบกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นนี้ การเยียวยาจะดำเนินการไปอย่างไร
อ้างอิง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/92986
https://www.bot.or.th/th/news-and-media/news/news-20250913.html
Tags: ฟอกเงิน, บัญชีม้า, มิจฉาชีพ