การเมืองไทย ณ เวลานี้อยู่ในสถานการณ์ ‘พลิกไปพลิกมา’ นับตั้งแต่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทยถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง

พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลจึงต้องรีบเร่งเกมตั้ง ‘นายกฯ’ คนใหม่จากบัญชีแคนดิเดตที่เหลืออยู่ของพรรคคือ ชัยเกษม นิติสิริ ทว่าทางฝั่งพรรคภูมิใจไทยที่เพิ่งดีดตัวออกมาจากรัฐบาลอยู่หมาดๆ ก็ถือโอกาสเสนอ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเข้าชิงตำแหน่งนายกฯ เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้การจะได้มานั่งตำแหน่งนายกฯ ต้องใช้เสียง สส.มากกว่า 246 เสียงขึ้นไป แต่ทั้ง 2 ฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นฝั่งเพื่อไทยหรือฝั่งภูมิใจไทย ยัง ‘ไม่สามารถรวมเสียง’ ได้มากกว่าตัวเลขดังกล่าว ดังนั้น ‘พรรคประชาชน’ พรรคที่ดำรงตนเป็นฝ่ายค้านมาตั้งแต่ปี 2566 (สมัยเป็นพรรคก้าวไกล) จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ทั้ง 2 พรรคต้องการเสียงมาสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่า 143 เสียงของพรรคประชาชนจะโหวตให้ฝ่ายใดง่ายๆ โดยพรรคประชาชนได้วางเงื่อนไขการโหวตนายกฯ ไว้ว่า แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคใดพรรคหนึ่งจะได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน จะต้องดำเนินการตามเงื่อนไขของพรรคประชาชน ดังต่อไปนี้

1. ยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือน เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่

2. จัดให้มีการจัดทำประชามติเรื่องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้ง

3. พรรคประชาชนเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว เพื่อให้สามารถตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะทำตามเงื่อนไข

เมื่อโจทย์ทางการเมืองเป็นเช่นนี้ ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยที่ต่างต้องการเสียงของพรรคประชาชนมาสนับสนุนแคนดิเดตของตนเอง จึงตบเท้าเข้าไปยังอาคารอนาคตใหม่เพื่อการเจรจา

อย่างไรก็ตามตัดภาพมาที่วันที่ 3 กันยายน 2568 คณะกรรมการบริหารพรรคประชาชน นำโดยหัวหน้าพรรคประชาชนแถลงต่อสื่อมวลชน ตัดสินใจ ‘หนุน’ อนุทินเป็นนายกฯ คนที่ 32 ของประเทศ โดยให้เหตุผลว่า พรรคภูมิใจไทยสามารถ ‘ไว้ใจ’ และ ‘จัดการ’ ได้ง่ายกว่าพรรคเพื่อไทย

ทว่าการตัดสินใจดังกล่าวของพรรคประชาชน ทำให้หลายฝ่าย ไม่ว่านักวิชาการ นักวิเคราะห์การเมือง อินฟลูเอนเซอร์ ตลอดจน ‘ด้อมส้ม’ ผู้สนับสนุนพรรคประชาชน ต่างส่งเสียงแสดง ‘ความไม่เห็นด้วย’ บนโลกโซเชียลมีเดียอยู่ไม่น้อย

ดังในกรณีของ ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ที่ออกมาวิจารณ์การตัดสินใจของพรรคส้มว่า เป็นการตัดสินใจที่ทำให้เป็น ‘รอยด่าง’ ของพรรค ตลอดจนเป็นการเดินหมากที่ผิดพลาด เนื่องจากพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากพรรคประชาชนมากที่สุด และออกมาวิจารณ์ว่า พรรคประชาชนควรเลือก ‘ปีศาจที่รู้จัก’ มากกว่า ‘ปีศาจที่ไม่รู้จัก’

ดังนั้นในมุมมองปวิน เมื่อพรรคประชาชนตัดสินใจเช่นนี้ พรรคประชาชนจะต้องย้ำเรื่อง ‘ยุทธศาสตร์’ และ ‘ผลประโยชน์สูงสุด’ กับผู้สนับสนุนพรรคและต้องยอมรับว่า การตัดสินใจครั้งนี้สวนทางกับความคาดหวังหรือความรู้สึกของผู้สนับสนุนบางคน

ขณะที่ ‘ใบตองแห้ง’ อธึกกิต แสวงสุข คอลัมนิสต์ชื่อดังก็ออกมาวิพากษ์เช่นเดียวกันว่า ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของพรรคประชาชน เพราะเป็นการ ‘ถลำลึก’ และไม่เป็นการเห็นชอบกับหลักการที่รักษาการนายกฯ มีอำนาจในการยุบสภาฯ ได้ ซ้ำร้ายการตัดสินใจครั้งนี้อาจทำให้จำนวน สส.ของพรรคประชาชนครั้งหน้าอาจจะเหลืออยู่ที่ 150 ที่นั่งจากเป้าหมาย 200 ที่นั่ง

เนื่องจากพรรคประชาชนช่วงหลังเริ่ม ‘สับสน’ ในหลักการ ทั้งเรื่องทหารชายแดน กระแสพรรคที่ไม่ได้สูง ไม่มี ‘ลุง’ เป็นเป้า และที่สำคัญไม่มี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ พูดอย่างง่ายคือ เสียทั้งคนที่ยึดแก่นอุดมการณ์ และเสียสลิ่มกลับใจ ไม่มีผู้นำความหวัง ไม่มีประเด็นแหลมคม

ด้าน อานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ส่งความในใจผ่าน Facebook ส่วนตัวว่า “ในฐานะคนที่เลือกพรรคก้าวไกล ทั้งแบบเขตและบัญชีรายชื่อ ผมไม่เห็นด้วยกับการโหวตให้อนุทินเป็นนายก”

พร้อมทั้งถามไปยังสหายพรรคประชาชนว่า หากโหวตให้อนุทินเป็นนายกฯ แล้วพรรคภูมิใจไทยถูกยุบและต้องโหวตเลือกนายกฯ ใหม่อีกครั้ง พรรคประชาชนจะโหวตให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นนายกฯ เพื่อ ‘ผ่าทางตัน’ อีกหรือไม่

ในความเห็นของอานนท์เมื่อพรรคเพื่อไทยแสดงเจตนาแล้วว่า ต้องการยุบสภาฯ ก็ต้องโหวตให้ชัยเกษมเป็นนายกฯ และยุบสภาฯ เรื่องมันควรจะง่ายแค่นั้นเอง

หรือแม้แต่ เป๋า-ยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้จัดการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (iLaw) ก็ออกมาแสดงทัศนะว่า ไม่อยากให้พรรคภูมิใจไทยเป็นนายกฯ รวมทั้งไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ เพราะไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่เป็นผลดี

เพราะพรรคประชาชนเป็นพรรคที่มีคุณูปการอย่างสูงหาทางเปรียบไม่ได้ ที่สร้างกระแสการตื่นตัวทางการเมือง สร้างความหวังทางการเมืองตลอด 6 ปีที่ผ่านมา

“ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก 2 วันข้างหน้า พรรคนี้อาจทำลายสิ่งเหล่านั้นลงให้กลับไปเท่าเดิม ให้ภาพลักษณ์ของสนามการเมืองเป็นพื้นที่สีเทาๆ คนไม่เข้าใจเป็นเกมซับซ้อน นับตัวเลขเก้าอี้ ดีลด้วยสารพัดเงื่อนไข มีโต๊ะข้างหน้า มีโต๊ะข้างหลัง นโยบายอาจจะแตกต่าง แต่เลือกใครไปก็ได้ผลประมาณเดียวกัน แล้วเมื่อประชาชนเลิกเชื่อว่า การเลือกตั้งจะทำให้มีอะไรที่ดีขึ้นได้ ‘เขา’ ก็จะคุมเกมการเมืองได้ดังใจเช่นหลายสิบปีที่ผ่านมา” ยิ่งชีพกล่าว

แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของพรรคส้มจะทำให้หลายฝ่ายเกิดความผิดหวังในจุดยืนและเริ่มสั่นคลอนทางอุดมการณ์ แต่อย่างไรก็ตามณัฐพงษ์ก็แถลงย้ำในวันนี้ (4 กันยายน 2568) ว่า ‘ไม่เปลี่ยนใจ’ และ ‘ไม่เสียดาย’ ที่จะเลือก ‘เสี่ยหนู’ ให้เป็นประมุขฝ่ายบริหารคนที่ 32 ของประเทศ

เพราะสุดท้ายต้องไม่ลืมว่า พรรคประชาชนเป็นพรรคที่พยายาม ‘รักษาคำพูด’ หรือการกระทำที่เคยสัญญาไว้กับสาธารชน

Tags: , ,