เมื่อวานนี้ (5 สิงหาคม 2568) ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ (ISIS Thailand) จัดงานเสวนาวิชาการ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา: บทสะท้อนการเมืองและการต่างประเทศไทยในภูมิรัฐศาสตร์โลกปัจจุบัน โดยมีหนึ่งในผู้เสวนาคือ พวงทอง ภวัครพันธุ์ ศาสตราจารย์จากภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ภาพรวมการต่างประเทศไทยและหนทางสู่สันติภาพในห้วงความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
จากวิกฤตความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สะท้อนผ่านเหตุปะทะชายแดนในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พวงทองได้ฉายภาพสถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยให้เห็นด้วยกัน 2 ประเด็นคือ ปัญหาการทำงานของการต่างประเทศไทย และอุปสรรคที่ขัดขวางการออกจากวิกฤตอย่างการประนีประนอมหรือการหาทางออกร่วมกัน พร้อมกับหมายเหตุว่า สาเหตุที่ต้องพูดถึงสถานการณ์ในประเทศไทย เพราะกัมพูชามีข้อจำกัดคือ ประเทศถูกปกครองด้วยระบอบอำนาจนิยม โดยมี สมเด็จ ฮุน เซน (Hun Sen) ประธานองคมนตรี ประธานวุฒิสภา และอดีตผู้นำกัมพูชา กำหนดความเป็นไปต่อการเมืองภายใน ขณะที่ไทยมีตัวแสดงสารพัดกลุ่ม และประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นถึงการต่างประเทศได้อย่างเสรี
พวงทองเริ่มตั้งประเด็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในความขัดแย้งช่วงที่ผ่านมา การต่างประเทศไทยถูกวิจารณ์อย่างหนักถึงความล่าช้า และการสื่อสารไม่ทันเท่ากัมพูชา ซึ่งเป็นอาการจากการทำงานที่ไม่เป็นระบบและสะเปะสะปะ ขณะที่ในด้านหนึ่งก็จะมีเสียงวิจารณ์ว่า รัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขาดความรู้ความสามารถด้านการต่างประเทศและไม่มีภาวะผู้นำ อีกทั้งยังมีปัญหาซ้อนตามมา คือการตั้งคำถามด้วยความสับสนว่า ใครเป็นผู้นำประเทศไทยตัวจริงกันแน่ แล้วเมื่อมีปัญหาประเทศ ประชาชนต้องฟังใครระหว่างแพทองธารหรือทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งคำถามคือ บทบาทกระทรวงการต่างประเทศหรือสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในห้วงวิกฤตหายไปไหน แล้วกองทัพทำงานควบคู่ไปกับรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดนี้คือปัญหาภาพรวมการทำงานของการต่างประเทศไทยที่มีลักษณะสะเปะสะปะ
“เราไม่เห็นหน่วยงานที่ควรจะต้องมีความสำคัญคือ กระทรวงการต่างประเทศ และสมช. 2 หน่วยงานควรมีความรู้รอบด้านในเรื่องความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ความมั่นคง และทำหน้าที่ประสานงานและข้อมูล เพื่อที่จะช่วยรัฐบาลในการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์” พวงทองยังตั้งคำถามต่อว่า หน่วยงานทั้ง 2 แห่งที่เพิ่งปรากฏบทบาทระยะหลัง แท้จริงแล้วใครเป็นผู้นำในการกำหนดนโยบายต่อกัมพูชาทั้งระยะสั้นและยาว
ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมองว่า การต่างประเทศไทยมีความอ่อนแอในช่วง 20 ปี ตั้งต้นจากเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา สะท้อนจากการคัดเลือกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ จากความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัฐบาล ผู้นำพรรคการเมือง และผู้นำรัฐบาล มากกว่าการพิจารณาจากความสามารถ ขณะที่หัวเรือของการต่างประเทศทำหน้าที่เป็น ‘กระบอกเสียง’ แก้ต่างให้ผู้นำรัฐบาล ทั้งรัฐบาลพลเรือนหรือรัฐบาลทหารก็ตาม
เช่น เมื่อเกิดรัฐประหารปี 2557 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทำหน้าที่บอกชาวโลกว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย 99% หรือประกาศให้คนไทยรับรู้ว่า เรื่องความไม่เป็นประชาธิปไตยไม่ใช่ปัญหา ต่างประเทศไม่มีปัญหากับไทย ทั้งที่ในข้อเท็จจริงปรากฏว่า สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปปฏิเสธไม่ร่วมสังคายนาทั้งด้านความมั่นคง และเศรษฐกิจ ถ้าประเทศไทยยังไม่มีประชาธิปไตย
พวงทองยังเสริมว่า ตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา รัฐบาลไม่เห็นความสำคัญในการใช้เวทีต่างประเทศ บุกเบิกโอกาสใหม่ ทั้งเศรษฐกิจหรือสถานะของประเทศ โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตก่อนปี 2549 ซึ่งไทยเคยมีบทบาทอย่างมากในอาเซียน เช่น เมื่อครั้งเวียดนามบุกกัมพูชา ไทยทำหน้าที่เป็นแกนหลักในการรวมเสียงของอาเซียนให้เดินตามนโยบายต่อต้านเวียดนามและสนับสนุนเขมรแดง แม้ตนจะไม่เห็นด้วยกับนโยบาย แต่เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า การต่างประเทศไทยเข้มแข็งมากและทำงานอย่างเป็นระบบ
หรือแม้แต่รัฐบาลพลเรือนภายใต้ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ กับการยุติปัญหาสงครามกลางเมืองกัมพูชาคือ นโยบายเปลี่ยนอินโดจีนจากสนามรบให้เป็นสนามการค้า แม้แนวทางดังกล่าวขัดกับกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งซื่อสัตย์ต่อความเชื่อและยืนกรานว่า ไทยไม่ควรเชิญฮุน เซนเข้ามาเจรจาในประเทศ แต่รัฐบาลพลเรือนมีวิสัยทัศน์ชัดเจนว่า ต้องยุติปัญหากัมพูชาและสร้างร่วมมือด้านเศรษฐกิจ
“ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา แทนที่ไทยจะเป็นแนวหน้าอาเซียนในภูมิภาค แต่เรากลับกลายเป็นปัญหาของอาเซียน” อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ย้ำ ซึ่งส่วนหนึ่งของปัญหาความขัดแย้งดังกล่าวมาจากการเมืองภายใน
เมื่อการต่างประเทศไทยอ่อนแอและไม่เป็นระบบ สิ่งที่พวงทองตั้งประเด็นต่อคือ บทบาทของกองทัพไทย โดยเหตุการณ์ทั้งหมดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านสะท้อนมาว่า กองทัพมีอิสระในการตัดสินใจ โดยไม่ฟังรัฐบาล ซึ่งเผชิญสภาวะกดดันจากกลุ่มชาตินิยมว่าตอบโต้ช้า จึงดูเหมือนว่าปล่อยให้กองทัพมีอิสระตอบโต้
“ในด้านหนึ่ง เราเคารพยกย่องถึงการเสียสละของทหารชั้นผู้น้อยที่เสียชีวิตในการสู้รบบริเวณชายแดน แต่ต้องระวังเรื่องการใช้กำลังทางการทหาร ดิฉันมองว่า เราต้องเตือนกันเอง เตือนรัฐบาล กองทัพ และพวกเรากันเองด้วยว่า มาตรการทางการทหารไม่ควรเป็นอิสระจากนโยบายและยุทธศาสตร์หลักของรัฐบาล แต่ต้องดำเนินควบคู่ไปกับแนวทางการทูต และอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ”
ทั้งนี้โลกมีกฎระเบียบ ไม่สามารถปล่อยให้ไทยทำอะไรตามอำเภอใจ ซึ่งในอีกด้านหนึ่ง ไทยมักบอกว่า รัฐบาลกัมพูชาละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ โจมตีที่ตั้งพลเรือนและทำให้คนเสียชีวิต จนมีการตั้งประเด็นให้ยื่นฟ้องร้องศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC)
แต่ก็ต้องระวังเช่นกันว่า มาตรการทางทหารของไทยจะต้องไม่ทำให้ประเทศตกอยู่ในสถานะเดียวกัน เพราะในช่วงที่ผ่านมา กองทัพประกาศว่ายึดพื้นที่ 11 จุด แต่หนึ่งในนั้นคือ ‘พระวิหาร’ ซึ่งพวงทองมองว่า การประกาศเช่นนี้เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะไทยอาจถูกเล่นงานจากกัมพูชาบนเวทีโลกในอนาคต เนื่องจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) ตัดสินในปี 2505 ว่า ปราสาทตั้งอยู่ดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
ทั้งนี้หากอ้างอิงตามแนวคิดของ โทมัส อไควนัส (Thomas Aquinas) บาทหลวงนักปรัชญาสายโรมันคาทอลิก การทำสงครามต้องประกอบด้วย 3 เงื่อนไขควบคู่กันไปคือ
1. การทำสงครามและปฏิบัติการทางทหารต้องดำเนินภายใต้นโยบายของรัฐ ซึ่งก็คือรัฐบาลพลเรือน
2. การทำสงครามต้องชอบธรรม (Just War) คือต้องทำเพื่อปกป้องตนเอง ไม่ใช่การลงโทษ ทำเพื่อความสะใจ หรือเกลียดชังอีกฝ่าย
3. ปฏิบัติการทางทหารต้องมีเป้าหมายสูงสุดคือ การหาทางออกจากวิกฤต
อย่างไรก็ตาม การทำงานในลักษณะนี้ภายใต้ความร่วมมือของรัฐบาล กระทรวงการต่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกองทัพยังไม่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลยังไม่มีจุดหมายปลายทางว่า ต้องการให้วิกฤตครั้งนี้จบอย่างไร ขณะที่กลุ่มชาตินิยมก็ประกาศว่า ต้องการเอาชนะกัมพูชา ปกป้องดินแดน และยึดคืนพื้นที่ให้ได้มากที่สุด โดยเชื่อว่าสงครามเป็นคำตอบ
แต่พวงทองตั้งคำถามกลับว่า วิธีการดังกล่าวเป็นหนทางที่ไทยทำได้จริงหรือไม่ ซึ่งต้องวางอยู่บนความเป็นจริง กฎหมาย และหลักฐาน คือ MOU 2543 ที่กำหนดให้สนธิสัญญาปี 2447 และ 2405 รวมถึงแผนที่ 1:200,000
ในทางกลับกัน เป้าหมายที่ไทยวางไว้ต้องมาจากการศึกษาร่วมกันของรัฐบาล กองทัพ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และกระทรวงการต่างประเทศ เช่น หลักฐานการปักปันเขตแดนบริเวณช่องบกและปราสาทตาเมือนธม ชี้ว่ากัมพูชาได้เปรียบ คำถามคือไทยจะทำอย่างไรต่อไป จะใช้กำลังต่อไปหรือไม่ ซึ่งหากใช้ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดการปะทะและสถานการณ์บานปลาย จนกัมพูชาอาจนำเรื่องนี้ยื่นต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอีก (United Nations Security Council: UNSC) และมีมติจัดการปัญหาที่ชัดเจนออกมา ไปจนถึงการที่ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำสหรัฐฯ ใช้มาตรการทางภาษีจัดการไทย-กัมพูชา
หรือในท้ายที่สุดแล้ว ไทยและกัมพูชาต้องประนีประนอมเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด ขณะที่หากหลักฐานที่มีชี้ว่า ไทยเสียเปรียบ แล้วกระแสชาตินิยมจะเป็นอุปสรรคสำคัญหรือไม่ เช่น รัฐบาลจะสามารถพูดตรงๆ ได้ไหมว่า ไทยต้องประนีประนอมเพราะหลักฐานคือ ให้ทั้ง 2 ฝ่ายกลับมาอยู่สภาวะเดิม (Status Quo) ก่อนเกิดการปะทะ แล้วปฏิบัติตาม MOU 2543 ชำระสะสางประเด็นที่เป็นปัญหา หรือกำหนดให้ 2 ประเทศดูแลพื้นที่ร่วมกันอย่างเป็นทางการเหมือนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้พวงทองยังมองว่า ในกระบวนการประนีประนอมระหว่างไทย-กัมพูชา อาจมีแนวโน้มยืนยาวจากประเด็นเขตแดนทางทะเลตาม MOU 2544 และการใช้ทรัพยากรร่วมกัน แม้อาจใช้เวลายาวนานถึง 20 ปี และถูกใช้เป็นเชื้อไฟให้กลุ่มชาตินิยมสร้างวิกฤตทางการเมือง แต่ศาสตราจารย์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชื่อว่า นี่คือโปรเจกต์ระยะยาวที่ลดความร้อนแรง และประนีประนอมปัญหาร่วมกัน เป็นการวางผลประโยชน์ตรงหน้า และหยุดให้ 2 ประเทศทะเลาะเรื่องเล็กๆ ที่จัดการไม่ได้
“เราต้องไม่วางอยู่บนความคิดว่า รักชาติไว้ก่อน รักมากๆ ยังไงก็ไม่ผิด เพราะรักมากๆ มันมีปัญหา มันทำให้เรามองไม่เห็นปัญหาของตัวเราเอง มองไม่เห็นจุดอ่อนของเราเอง มองไม่เห็นเส้นทางที่เรากำลังเดินไปติดกับดักและสูญเสียมากยิ่งขึ้น
“เพราะฉะนั้นเมื่อรักชาติต้องรักแบบมีเหตุผล รักแบบมีข้อมูล และข้อเท็จจริง” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ทิ้งท้าย
Tags: แพทองธาร ชินวัตร, ทหาร, การต่างประเทศไทย, ชินวัตร, รัฐศาสตร์ จุฬาฯ, กัมพูชา, ไทย-กัมพูชา, ทักษิณ ชินวัตร, ปราสาทตาเมือนธม, อาเซียน, วิกฤตไทย-กัมพูชา, ไทย, สมช, ฮุนเซน, สภาความมั่นคงแห่งชาติ, กระทรวงการต่างประเทศ, กองทัพไทย, พวงทอง ภวัครพันธุ์