เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2568 ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์กับ The Momentum ตอนหนึ่งถึงข้อเสนอให้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยุบสภาฯ โดยปิยบุตรยืนยันว่า การยุบสภาฯ เป็นอำนาจในทางการเมืองโดยแท้ของนายกฯ และในหลายประเทศก็ใช้การ ‘ยุบสภาฯ’ แก้วิกฤตการณ์ทางการเมือง เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชนและให้ประชาชนตัดสินใจเลือกตั้งใหม่
“สาเหตุที่ผมเสนอว่า ควรต้องยุบสภาฯ มากกว่าการลาออกจากตําแหน่ง เพราะการลาออกจากตำแหน่ง สุดท้ายต้องมาหานายกฯ ในสภาผู้แทนราษฎรกันใหม่ ซึ่งแคนดิเดตนายกฯ เท่าที่เหลืออยู่ ตามองค์ประกอบของแต่ละพรรค สุดท้ายจะเกิดการจับขั้วกันใหม่ แย่งกันเป็นรัฐบาล และต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรีกันใหม่ แล้วเราก็จะได้รัฐบาลในลักษณะที่เสียงไม่เด็ดขาด ได้รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำแบบเดิม ในเวลาเดียวกับที่เกิดปัญหาทางการเมือง ในเวลาเดียวกับที่เกิดปัญหาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เราต้องการรัฐบาลที่มีพลังและมีความชอบธรรมมากกว่านี้ ดังนั้นหากลาออกไป แล้วเอาองค์ประกอบสภาฯ แบบเดิม มาใช้กับนายกฯ ใหม่ ปัญหาก็ไม่จบ ก็วนอยู่ที่เดิม
“ผมกําลังเปรียบเทียบว่า ณ เวลานี้คณะรัฐมนตรีในรัฐบาล อํานาจและกําลังวังชาน้อยลง และลดลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับอำนาจสภาฯ กำลังวังชาก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน”
ในทางกลับกัน หากกลับไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ในที่สุดจะเป็นการ ‘รีบูสต์’ เอากำลังวังชากลับมาให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง รัฐบาลชุดใหม่จะมีความชอบธรรมสูง จะมีอํานาจที่เพิ่งผ่านพ้นมาจากการเลือกตั้ง และในระหว่างการหาเสียง ก็จะได้รณรงค์หาเสียงก่อนเลือกตั้งว่า เรื่องไหนจะทำ และเรื่องไหนที่จะไม่ทำ เพื่อให้มีความชอบธรรม ได้ฉันทมติจากประชาชน
“เช่นเดียวกัน องค์ประกอบของสภาฯ ตอนนี้ แต่ละคนอาจถูกดูด ถูกซื้อ ตัวอาจจะอยู่พรรคหนึ่ง แต่ชื่ออยู่อีกพรรคหนึ่ง มั่วไปหมด ฉะนั้นการกลับไปสู่การเลือกตั้ง จะทำให้ สส.ชุดใหม่ที่เข้ามา ได้เข้าในนามพรรคที่ตัวเองสังกัด แล้วจะได้ออกแบบเสียงข้างมากกันใหม่”
ส่วนปัญหา ‘สุญญากาศ’ ที่อาจเกิดขึ้นจากการยุบสภาฯ นั้น ปิยบุตรระบุว่า หากขั้นตอนเป็นไปตามปกติ ไม่เกิน 120 วัน ก็จะมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และในระหว่างที่ยังไม่ได้เลือกตั้ง ก็ยังคงมีรัฐบาลรักษาการต่อไป
“หลายคนอาจคิดว่า หากสภาฯ ไม่ผิด แล้วจะยุบสภาฯ ทำไม แต่สำหรับผม ความเห็นแบบนี้ไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง อํานาจการยุบสภาฯ เป็นการตัดสินใจในทางการเมืองโดยแท้ของนายกฯ เป็นเครื่องมือในการถ่วงดุลกับสภาฯ บางครั้ง นายกฯ ในบางประเทศก็ยุบสภาฯ เพื่อชิงความได้เปรียบทางการเมืองก็มี เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีหลักทฤษฎีอะไร แต่หลายคนกลับบอกว่า ยุบสภาฯ ก็ต่อเมื่อสภาฯ มีความผิด ไม่ใช่ครับ การยุบสภาฯ ถือเป็นเรื่องปกติในประเทศที่มีระบบรัฐสภา
“บางคนอาจบอกว่า ไม่อยากยุบสภาฯ เพราะกลัวเดี๋ยวจะไม่มีใครมาแก้ปัญหา ผมก็ถามว่า ด้วยสภาพองค์ประกอบของรัฐบาลแบบนี้ ที่เฉือนอำนาจให้พรรคร่วม เฉือนอำนาจให้กองทัพ คุณสามารถบริหารราชการแผ่นดินภายใต้วิกฤตได้จริงหรือ บางคนบอกว่าไม่ได้ ต้องรอให้ พ.ร.บ.งบประมาณผ่านก่อน สำหรับผม ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร รอให้ พ.ร.บ.งบประมาณผ่านก่อน ก็ค่อยประกาศยุบสภาฯ”
ส่วน ‘ความกลัว’ เรื่องวิกฤตการณ์ทางการเมือง กลัวว่าจะเกิดการบอยคอตเลือกตั้งและนำไปสู่การรัฐประหารในที่สุด ปิยบุตรระบุว่า บรรยากาศในปี 2568 ต่างกับในปี 2549 และปี 2557 อย่างชัดเจน สังเกตได้ว่า ขณะนี้ไม่มีพรรคการเมืองไหนที่ต้องการบอยคอตการเลือกตั้ง และหากดูจากแนวโน้ม หากมีการยุบสภาฯ เมื่อไร แต่ละพรรคก็พร้อมเลือกตั้งกันทั้งนั้น
ขณะที่ปัญหาที่ว่า หากเลือกตั้งใหม่ ‘พรรคประชาชน’ จะกลับมา เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะต่อให้ยุบวันนี้หรือยุบในปี 2570 พรรคประชาชนก็คงชนะเลือกตั้งอยู่ดี
ทั้งนี้เมื่อขณะนี้ นายกฯ เลือกจะไม่ยุบสภาฯ แต่เลือกปรับคณะรัฐมนตรี สถานการณ์หลังจากนี้ ปัญหาความมั่นคงก็จะไปอยู่ในมือทหารมากขึ้น ฉะนั้นสถานการณ์ชายแดน-สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาอยู่ในมือทหาร ซึ่งสุดท้ายจะกระทบกับหลักการพลเรือนอยู่เหนือกองทัพ และในด้านการบริหารราชการแผ่นดิน วันนี้สิ่งที่สะท้อนชัดเจนคือ เมื่อเก้าอี้ 8 รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยว่างลง ก็กลายเป็นสมบัติอันโอชะให้แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลสามารถนำไปต่อรองได้
“ด้วยสถานการณ์แบบนี้ หากมีพรรคร่วมพรรคใดพรรคหนึ่งออกไป รัฐบาลก็ล้มทันทีนะ เพราะฉะนั้น เขาต้องเกรงใจพรรคเหล่านี้มากขึ้น และในที่สุดแนวทางของพรรคเพื่อไทยจะขยับเอียงขวามากขึ้นเพื่อความอยู่รอดของตัวรัฐบาล
“สิ่งเหล่านี้จะทำให้รัฐบาลชุดนี้ไปต่อยาก เพราะทำได้แค่ประคับประคอง แล้วสุดท้ายก็จะพ้นตำแหน่งไปด้วยสภาพการณ์แบบนี้ ด้วยสภาพการณ์ที่แก้ปัญหาอะไรให้ประเทศได้เลย”
เมื่อถามถึงคำแนะนำถึง ‘พรรคประชาชน’ ปิยบุตรระบุว่า หลังจากนี้สิ่งที่ต้องขบคิดคือ พรรคประชาชนต้องไม่ใช่พรรคการเมืองที่มุ่งหวังแต่จะเสียบเป็นรัฐบาล หรือมุ่งแต่เอาคะแนนเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว แต่พรรคประชาชนต้องทำงานความคิด ต้องชี้นำสังคมให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องด้วย
“ยกตัวอย่างเช่น ณ เวลานี้ ด้วยกระแสที่นายกฯ มีปัญหาเรื่องความชอบธรรม มีปัญหาเรื่องคนสงสัยว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอไหมในการแก้ไขปัญหาประเทศ โดยเฉพาะเรื่องวิกฤตการณ์ชายแดน คนก็เลยหันไปหากองทัพจำนวนมาก ไปชื่นชมกองทัพมากขึ้น พรรคประชาชนก็ควรต้องชี้นำให้สังคมเห็นว่า ไม่ว่านายกฯ จะมีความสามารถหรือไม่ อย่างไร หลักที่ถูกต้องคือรัฐบาลพลเรือนจะต้องเป็นคนควบคุมกองทัพ แต่ถ้าพรรคประชาชนไปเฮโลกับบทบาทนำของกองทัพด้วย ตามกระแสสังคม อาจจะได้กระแส แต่ก็เป็นความคิดที่ผิดหลักการประชาธิปไตย
“บทบาทคือคุณต้องตรวจสอบรัฐบาลด้วย แต่ในขณะเดียวกันถ้าการเมืองมันเริ่มออกผิดทิศทางไปมันเริ่มออกจากกรอบของหลักการประชาธิปไตย ห่างไปจากกรอบของรัฐบาลพลเรือนอยู่เหนือทหาร พรรคประชาชนก็ควรที่จะต้องชี้นําสังคมตรงนี้ด้วย”
ปิยบุตรยังกล่าวถึงเรื่องที่พรรคภูมิใจไทยอยู่ระหว่างรวบรวมเสียง เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ส่วนเครื่องมืออย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ปิยบุตรระบุว่า กลไกในสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งการตั้งกระทู้ถาม กลไกกรรมาธิการ การเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ และการอภิปรายไม่ไว้วางใจซึ่งเจาะจงว่า ทำได้เพียงปีละครั้ง ซึ่งด้วยข่าวขณะนี้ หากรีบทำโดยสถานการณ์ยังไม่สุกงอม ก็หมายความว่า อีก 1 ปีข้างหน้าจะไม่สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อีกเลย
“แน่นอนที่สุด ประชาชนต้องการให้สภาฯ มีบทบาทในการแก้ไขปัญหาเรื่องวิกฤตชายแดน และต้องการให้สภาตรวจสอบการทํางานของรัฐบาล แต่เรายังมีกลไกอื่นๆ อยู่ที่ทำให้สามารถเดินได้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถามทั่วไป การใช้กลไกกรรมาธิการ การยื่นญัตติด่วน หรืออื่นๆ แต่ถ้าวันไหนจะตัดสินใจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมคิดว่าวันนั้นก็ควรจะต้องมีหลักฐานควรจะต้องมีข้อมูลใหม่ๆนะครับ ไม่ใช่แค่เพียงแต่คลิปที่หลุดออกมาคลิปเดียวเท่านั้นนะฮะ แต่ควรจะต้องมีเรื่องอื่นมากยิ่งขึ้น
“สมัยประชุมสภาฯ รอบนี้มี 4 เดือน สมัยประชุมหน้า มีอีก 4 เดือน เขาก็คงต้องไปหาข้อมูล-ประเมินว่าจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตอนไหน ถ้าให้ผมวิเคราะห์ก็คิดว่า คงต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพียงแต่จะเปิดตอนไหนเท่านั้นเองในอีก 1 ปี”
Tags: ปิยบุตร แสงกนกกุล