ในยุคที่สังคมกำลังผันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากกระแสของโลกาภิวัตน์ที่ทุกคนเชื่อมต่อกันด้วยภาษากลาง รวมทั้งการกดทับจากนโยบายรวมศูนย์ที่มีความพยายามทำให้ทุกคนในประเทศ ‘เหมือนกัน’ ทั้งวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และภาษา จนส่งผลให้ภาษา และวัฒนธรรมท้องถิ่นค่อยๆ สูญหาย เนื่องจากถูกลดทอนความสำคัญ จนบางครั้งถูกมองว่าเป็น ‘ภาษาอื่น’ และท้ายที่สุดนำมาสู่การไร้ความภาคภูมิใจในรากเหง้า และชาติพันธุ์ของตัวเอง จนภาษาและวัฒนธรรม ค่อยๆ มลายหายไปในท้ายที่สุด
กระนั้นหากเดินทางมายังพื้นที่รอบนอกของจังหวัดสุรินทร์อย่างตำบลสำโรงทาบ จะพบว่า ชาวบ้านในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้ใช้ภาษาอีสาน ภาษากลาง หรือภาษาราชการในการสื่อสารกับคนท้องถิ่นด้วยกันมากนัก หากแต่ใช้ ‘ภาษากูย’ ซึ่งเป็นภาษาเก่าแก่ของกลุ่มชาติพันธุ์กูยอายุราว 2,000 ปี
แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่า ภาษากูยไร้การกดทับจากกระแสสังคมหรือนโยบายรัฐแต่อย่างใด เพราะยังมีชาวกูยรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยที่แม้จะฟังภาษา ‘กูย’ ออกแต่ก็ไม่กล้าพูด และหันมาใช้ภาษาอีสานหรือภาษาไทยกลางในการสื่อสารในครอบครัวแทน นี่จึงเป็นสัญญาณสำคัญที่กำลังชี้ว่า อีกไม่นานภาษากูยอาจจะมีจุดจบเหมือนภาษาท้องถิ่นอื่นๆ ที่สูญหายไป
เพื่อไม่ให้เป็นเช่นนั้น สมาคมชาติพันธุ์กูยร่วมกับโรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา ตำบลสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์ กำหนดให้มี ‘วิชาภาษาไทยกูย’ สอดแทรกในตารางเรียนของเด็กชาติพันธุ์กูยระดับชั้นมัธยม เพื่อให้พวกเขาได้รู้จักกับ ‘ภาษาแม่’ ของตัวเอง และสร้างความภาคภูมิใจในความเป็นชาติพันธุ์กูย พร้อมกับสร้างพื้นที่สื่อสารภาษาถิ่นให้มากขึ้น
The Momentum พาไปสำรวจหลักสูตรการสอนภาษากูย ที่มีเป้าหมายเพื่อรักษารากเหง้าของชาติพันธุ์ พร้อมกับเสียงสะท้อนจากครูผู้สอนและนักเรียนในชั้น ผู้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะต่อลมหายใจภาษาแม่ของพวกเขาให้คงอยู่ต่อไป
อา-จอ-จา-ฉิม (หมากินหมดแล้ว)
ภาษากูยเป็นภาษาโบราณที่มีอายุการใช้งานราว 2,000 กว่าปี จัดอยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก สาขามอญ-เขมร กลุ่มกะตู (Katuic) คำในภาษากูยบางคำปรากฏอยู่ในชื่อเรียกปีใน 12 ปีนักษัตร เช่นคำว่า จอ ระกา วอก และมะเส็ง ซึ่งมีความหมายถึงสัตว์เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามภาษากูยที่สืบทอดมายังยุคปัจจุบันมีเพียงภาษาพูดเท่านั้น ไม่มีภาษาเขียน
ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันในหมู่ชาวกูยระบุว่า ในอดีตชาวกูยมีภาษาเขียนเป็นของตนเอง และได้นำไปจารึกเอาไว้บนหนังสัตว์ก่อนนำไปผึ่งแดดไว้ แต่สุนัขผ่านมาเห็นเข้าจึงคาบหนังสัตว์ที่จารึกอักษรกูยไปกินหมด เรื่องราวดังกล่าวมีไว้เพื่อตอบข้อสงสัยว่า เหตุใดภาษากูยจึงไม่มีพยัญชนะและวรรณยุกต์เหมือนกับภาษาไทย พวกเขามักตอบคำถามดังกล่าวเป็นภาษากูยประโยคสั้นๆ ว่า ‘อา-จอ-จา-ฉิม’ มีหมายความว่า ‘หมากินหมดแล้ว’
ในแง่ของการอนุรักษ์นั้นจะง่ายกว่ามากหากภาษากูยมีภาษาเขียน สมาคมชาติพันธุ์กูยแห่งประเทศไทยจึงพยายามสร้างสิ่งใหม่มาทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปในภาษากูย อย่างการประดิษฐ์ตัวเขียนกูยขึ้นมาทั้งพยัญชนะและสระ โดย ศุรวิษฐ์ ศิริพาณิชย์ศกุนต์ อุปนายกสมาคมชาติพันธุ์กูยบอกกับเราว่า มีความพยายามกว่า 3 ครั้งระหว่างปี 2557 กระทั่งมองเห็นเป็นรูปธรรมในปี 2561 ด้วยการพัฒนาของ สนอง สุขแสวง อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารีผู้เชี่ยวชาญภาษากูย จากนั้นในปี 2563 จึงทดลองใช้สอนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ณ โรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา อำเภอสำโรงทาบ ระยะเวลา 1 เทอม โดยให้ชื่อวิชาว่า ‘พูดภาษาไทยกูย’
“แต่อักษรกูยที่พัฒนาและทดลองสอนที่โรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา ก็ยังไม่ได้ผลสำเร็จเต็ม 100% เนื่องจากยังไม่มีหลักสูตรการสอนภาษาที่ชัดเจนเหมือนกับรายวิชาสอนภาษาอื่นๆ และเป็นการสอนให้จดจำคำศัพท์ภาษากูยแต่ละหมวดเท่านั้น อีกทั้งไม่มีการให้คะแนนหรือตัดเกรดเหมือนกับวิชาอื่นๆ จึงทำให้วิชาภาษากูยได้รับความสนใจเฉพาะช่วงแรก ก่อนที่ความสนใจจะลดน้อยลง”
การกำหนดหลักสูตรภาษากูยให้มีความชัดเจน เพื่อให้พร้อมต่อการเป็นวิชาสอนภาษาเหมือนกับวิชาภาษาไทยและวิชาภาษาที่สาม ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนระดมสมองจากผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายร่วมกับสมาคมชาติพันธุ์กูยแห่งประเทศไทย ด้วยมุ่งหวังให้ลูกหลานชาวกูยรุ่นใหม่ได้สัมผัสรากเหง้าประวัติศาสตร์ และเกิดความภาคภูมิใจผ่านการเรียนรู้ในหลักสูตรภาษากูยในโรงเรียน
“ทุกวันนี้ภาษากูยกำลังสูญหายขั้นวิกฤต กูยรุ่นใหม่เขาแทบจะไม่พูดเป็นภาษากูยกับพ่อแม่ของเขาแล้ว เวลาพ่อแม่ถามเป็นภาษากูยเขาก็จะตอบเป็นภาษาอีสาน เพราะเขายังไม่มีความภาคภูมิใจที่จะพูด ไม่รู้ว่าจะเอาภาษากูยไปพูดกับใคร การมีหลักสูตรภาษากูยในโรงเรียนจะทำให้เขาเห็นรากเหง้าของตัวเอง และได้ใกล้ชิดกับภาษาแม่ของเขามากขึ้น” ศุรวิษฐ์กล่าว
หมาลแก้ดๆ ด่องหรูงเหรียน (สิ่งเล็กๆ ในโรงเรียน)
“สมัยยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมในโรงเรียนมีทั้งเด็กนักเรียนชาวลาว เขมร และกูย ชาวกูยแบบเรามักโดนล้อเลียนว่า คนกูยไม่มีภาษาเขียนเหมือนกับพวกเขา แต่ในวันนี้เราได้ยืนอยู่ในฐานะของครูสอนให้นักเรียนเขียนภาษากูย มันจึงน่าภาคภูมิใจมากๆ”
หลังการประดิษฐ์ภาษาเขียนสัมฤทธิผล และเริ่มต้นทดลองสอนในโรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยานับตั้งแต่ปี 2561 จากนั้นอีกราว 4 ปี สุนิสา แก้วคำ ชาวกูยจากจังหวัดศรีสะเกษ ไม่รีรอที่จะเข้ามาเติมเต็มให้การเรียนการสอนในวิชาภาษากูยให้เดินหน้าต่อไป เนื่องจากครูคนเก่าเกษียณอายุราชการ
เหมือนกับเรียนวิชาภาษาทั่วไป สุนิสาเริ่มต้นด้วยการสอนให้เด็กจดจำพยัญชนะและสระ แต่ด้วยอดีตภาษากูยมีเพียงภาษาพูด การสอนภาษาเขียนให้กับนักเรียนจึงกล่าวได้ว่า เป็นการเริ่มต้นปูพื้นฐานภาษากูยใหม่เหมือนกับภาษาไทย ที่ต้องเริ่มเรียนด้วยการท่องจำ ก-ฮ ต่อด้วยการท่องจำสระทุกเสียง ซึ่งต้องใช้เวลามากพอสมควรที่ผู้เรียนจะจดจำและนำไปใช้
แต่สุนิสามีเวลาให้ลูกหลานกูยได้รู้จักกับภาษาแม่ของพวกเขา ภายใต้ระยะเวลาเพียง 1 ปีการศึกษาเท่านั้น เพราะหลักสูตรวิชาภาษาไทยกูยจะเรียนแค่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
“มันค่อนข้างยากด้วยเวลาเท่านี้ เพราะเด็กจะต้องเรียนพยัญชนะกูยที่สร้างขึ้นใหม่ เหมือนกับท่อง ก ข ค ในวิชาภาษาไทยเลย พอวิชานี้มีเรียนแค่เทอมเดียว การสอนก็ต้องเป็นไปอย่างเร็วๆ คาบแรกท่องพยัญชนะ คาบต่อมาต้องท่องจำสระ ปัญหาคือเด็กจำไม่ได้ เราจึงพยายามแก้ปัญหาด้วยการค่อยๆ ท่องไปกับเขา ดูภาษากูยกันไปทีละตัว”
นอกจากการเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดด้วยเวลาที่จำกัด สำเนียงที่แตกต่างกันระหว่างครูกับนักเรียนเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย คล้ายกับภาษาเหนือ อีสาน ใต้ ชาวกูยที่อาศัยอยู่ในแต่ละท้องที่ทั้งในลาว เขมร เวียดนาม กระทั่งในประเทศไทยที่อยู่กันคนละจังหวัด เช่น สุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และจังหวัดอื่นๆ ต่างมีสำเนียงการพูดภาษากูยที่แตกต่างกันในบางคำ
อย่างไรก็ดีสำเนียงที่แตกต่างเป็นเพียงความท้าทาย แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับสุนิสา
“เด็กอาจจะมีหัวเราะบ้าง หากเราพูดคำบางคำที่ไม่เหมือนกับที่เขาใช้ อาจเพราะเราไม่ใช่กูยที่อาศัยอยู่ในจังหวัดสุรินทร์ก่อนหน้านี้ สิ่งที่ทำคือความพยายามปรับความเข้าใจ เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเด็กนักเรียนวันละคำสองคำหรือพูดประโยคยาวๆ ให้นักเรียนฟัง เขาก็จะบอกว่า ถ้าเป็นสำเนียงกูยในสุรินทร์จะพูดแบบนี้หรือบอกว่าสำเนียงนี้ถูกแล้วครับครู”
บรรยากาศการใช้ภาษากูยที่เพิ่มมากขึ้นในโรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา คือความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน สุนิสาบอกกับเราว่า เด็กๆ มักทักทายเมื่อพบหน้าเธอด้วยภาษากูยอย่างสม่ำเสมอ เด็กบางคนตอบกลับเธอด้วยประโยคยาวๆ เพื่อบอกว่า พวกเขากำลังทำอะไรอยู่ ดูเหมือนว่า วิชาพูดภาษาไทยกูยที่เธอสอนจะสัมฤทธิผลแล้วในขั้นหนึ่ง นั่นคือการเปิดพื้นที่ให้เด็กได้ใช้ภาษาแม่ของตัวเองในโรงเรียน
“เราชอบเดินไปคุยกับนักเรียนเริ่มต้นด้วยคำว่า จูงก๊ะ ที่แปลว่าสวัสดี และต่อด้วยการถามว่า ทำอะไรอยู่ก็จะถามว่า มูหมวงวัวเนาะ นักเรียนก็จะตอบอย่างเช่น โจโดย แปลว่ากำลังกินข้าวอยู่”
แม้จะยังไม่มีหลักสูตรการเรียนการสอนเหมือนกับวิชาภาษาทั่วไป เป็นเพียงคาบเรียนเล็กๆ ในเวลาจำกัดให้นักเรียนมารู้จักพยัญชนะ สระ และคำศัพท์ กลับไปทำความคุ้นเคย แต่หากมองสถานการณ์ภาษากูยในวันนี้ ที่กำลังถูกกลืนกินด้วยภาษาอื่นๆ และสังคมยุคใหม่ วิชานี้คงเปรียบเสมือนยารักษา ที่กำลังช่วยฟื้นฟูภาษาที่กำลังอ่อนแอให้กลับมาเข้มแข็งได้ดังที่เคยเป็นในอดีต
และอาจกล่าวได้ว่า หากไม่มีวิชานี้อยู่ในโรงเรียน วันนี้สถานการณ์สูญหายของภาษากูยอาจรุนแรงกว่านี้มาก
สิดแก้ด (ลูกศิษย์)
หลายคนอาจสงสัยว่า วิชาภาษาชาติพันธุ์มีคุณค่าและความจำเป็นอย่างไรที่จะเรียน ทว่า สำหรับ เอย-วรรณิภา สมดี เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านตะเคียนกูยวิทยา ไม่เคยตั้งข้อสงสัยเลยสักครั้งระหว่างเรียน แต่กลับเกิดความตั้งใจใหม่ขึ้นในใจ
“เอยพูดภาษากูยได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะพ่อแม่ยังคงใช้ภาษากูยคุยกันในบ้าน แต่เพื่อนๆ ของเอยที่เป็นชาวกูยหลายคนเขาไม่ใช้แล้ว ส่วนมากเขาจะพูดภาษาไทยกลางมากกว่า”
เมื่อสังคมเพื่อนฝูงนิยมใช้ภาษาอื่นแทนภาษากูย เอยจึงต้องปรับตัวใช้ภาษาไทยกลางในการสื่อสาร ส่งผลให้การใช้ภาษาแม่ปฏิสัมพันธ์กับผู้คนภายนอกเริ่มลดลง กระทั่งเธอเข้าสู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และได้รับรู้ว่า มีวิชาภาษาไทยกูยให้เธอได้เรียน ภาษากูยที่ปกติเอยใช้สื่อสารเฉพาะกับคนในบ้าน จึงถูกพาเข้ามาอยู่ในห้องเรียนอย่างที่เธอไม่เคยคิดฝันมาก่อน
“ตกใจมาก ตอนแรกเราไม่รู้มาก่อนว่า มีวิชานี้อยู่ในโรงเรียน พอครูให้เรามาเรียนมันรู้สึกดีใจมากๆ ระหว่างที่กำลังเรียนหากมีคำศัพท์ไหนโผล่ขึ้นมาแล้วเรารู้จักเราก็จะจำได้ดี แล้วเอาไปสอนให้กับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ต่อไปได้”
ความตั้งใจอยากให้ภาษากูยได้โลดแล่นในโรงเรียนมากขึ้น ผลักดันให้เอยเพียรเรียนรู้ในวิชานี้ถึงที่สุด แม้จะมีความยากลำบากในช่วงต้น เพราะเธอไม่คุ้นเคยกับภาษาเขียนซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในภาษากูยตอนที่เธอยังเด็กมาก กระนั้นเอยกลับเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว จนเป็นมือขวาของครูในการช่วยแปลภาษากูยให้เพื่อนในห้องฟัง
“หลายๆ คนเขาจำภาษากูยได้แล้ว เราผูกพันกับภาษานี้ เริ่มพูดตั้งแต่ตอนอยู่ชั้นประถมจนพูดได้คล่องแคล่วตอนประถม 4 ไม่มีครั้งไหนที่เราไม่อยากใช้ภาษากูย เพราะเราใช้มาตลอด และก็จะยังใช้ไปเรื่อยๆ
“มีครั้งหนึ่งเอยเปิดโทรศัพท์ดู TikTok แล้วเห็นมีคนไลฟ์แล้วพูดเป็นภาษากูย เลยไปแสดงความคิดเห็นในคลิปเขาจากนั้นเลยได้คุยกันเป็นภาษากูย เราดีใจนะ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะใช้สำเนียงไม่เหมือนกับเรา มีบางคำที่พูดภาษาเขมร ก็จะถามเขาว่าคำนี้หมายถึงอะไร”
เอยเล่าความฝันเล็กๆ ของเธอให้ฟังว่า เธออยากมีช่อง TikTok เป็นของตัวเองและใช้ภาษากูยพูดคุยกับผู้คน
“อยากเปิดช่องขึ้นมาแล้วเอาภาษากูยไปใช้ อยากทำคอนเทนต์ประมาณว่า ภาษากูยวันละคำสองคำ แล้วลงคลิปสอนพูดภาษากูยเหมือนกับชาวลาว ชาวเขมรที่เขาเปิดช่องสอนภาษาถิ่นของเขา”
วิชาภาษากูยกำลังส่งผลบางอย่างกับเอยในแง่ดี การมีพื้นที่ให้เด็กคนหนึ่งได้พูดภาษาของตนเอง ก็เปรียบเสมือนกับการอนุญาตให้พวกเขาได้แสดงอัตลักษณ์ของตนเองออกมา โดยไม่ต้องคำนึงว่าตนเองจะแตกต่างหรือถูกทำให้เป็นอื่น ทั้งนี้การได้สื่อสารโดยใช้ภาษาชาติพันธ์ุที่ผูกพันมาตั้งแต่เกิด ได้ทำให้เกิดความภาคภูมิใจอย่างน่าประหลาด อาจเป็นเพราะพวกเขาได้มองเห็นแล้วว่า โลกที่พวกเขาอยู่ยังคงมีคนให้ความสำคัญกับภาษาและชาติพันธ์ุของพวกเขา
ระษาคัลผะฮอมดั้วะ (ต่อลมหายใจ)
โจทย์ของการอนุรักษ์และฟื้นฟูภาษาแม่ เดินทางมาถึงข้อจำกัดทั้งเรื่องของกฎหมายและทรัพยากร แม้จะมีภาษาเขียนแต่ยังคงอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาที่ต้องใช้นักภาษาศาสตร์เข้ามาช่วย วิชาภาษากูยยังคงต้องเดินหน้าสู่การสร้างเป็นหลักสูตร และสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่อย่างการจัดทำพจนานุกรมกูย-บรูนานาชาติ ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องทรัพยากร เนื่องจากชาวกูยไม่ได้อาศัยอยู่เฉพาะประเทศไทย แต่กระจายไปอีก 3 ประเทศ ได้แก่ ลาว เวียดนาม และกัมพูชา จึงต้องใช้เงินมหาศาล เพื่อรวมตัวกันมาร่วมทำพจนานุกรมฉบับสมบูรณ์ เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากการ ‘ดิ้นรน’ ของคนในกลุ่มชาติพันธุ์เอง โดยไร้การสนับสนุนจากภาครัฐ
ทั้งนี้สิ่งที่ชาวกูยทุกคนในบทความชิ้นนี้ต้องการคือ การผ่านพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่มีข้อกำหนด 7 ข้อคือ
-
ได้รับการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้จะดำรงวิถีชีวิตด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่าง
-
มีสิทธิอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของตนเองไม่ให้สูญหาย
-
สามารถจัดการหาหลักสูตรการเรียนการสอนตามวิถีวัฒนธรรมและภาษาท้องถิ่น
-
สามารถเข้าใช้สิทธิทรัพยากรธรรมชาติได้ตามวิถีวัฒนธรรมโดยไม่ถูกละเมิด
-
มีสิทธิกำหนดวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตน รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจฐานวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต
-
มีสิทธิเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและสวัสดิการสังคมอย่างเสมอภาค
-
มีสิทธิรับรู้ข่าวสารและมีส่วนร่วมตัดสินใจ ในการดำเนินโครงการที่มีผลกระทบต่อชุมชน
ทั้งหมดนี้คือการเปิดโอกาสให้กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย มีสิทธิกำหนดชีวิตของตัวเอง และต่อลมหายใจให้กับวัฒนธรรมของพวกเขาที่กำลังหล่นหายไปตามกาลเวลา
ในฐานะอุปนายกสมาคมชาติพันธุ์กูย ศุรวิษฐ์วาดฝันไว้ว่า หากกฎหมายฉบับนี้ผ่านอย่างไม่มีอุปสรรคขวางกั้น พวกเขาจะเดินหน้าออกแบบหลักสูตรวิชาภาษากูยให้มีแบบเรียนที่ชัดเจน และนำเข้าไปสอนในโรงเรียนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์กูยอาศัยอยู่ โดยว่าจ้างครูชาติพันธุ์เป็นผู้สอน ซึ่งเขายังหวังว่า กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ชาวกูยก็จะมีหลักสูตรการเรียนภาษาและวัฒนธรรมของตัวเองในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ภาษาและวัฒนธรรมดั้งเดิมไม่สูญหายไปตามกาลเวลา
อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตาม เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์มีมากถึง 5 ฉบับ และมีอยู่ 4 ฉบับที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากพรรครวมไทยสร้างชาติเคยปัดตกถึง 3 ครั้ง และรับหลักการเฉพาะร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ของคณะรัฐมนตรีเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า เนื้อหาของร่างอื่นเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติและเอื้อให้ชาวชาติพันธุ์ปกครองตนเอง โดยปัจจุบัน พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ผ่านการลงมติของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในวาระ 3 เรียบร้อยแล้วในวันที่ 8 เมษายน 2568 แต่เนื่องจากร่างของ สว.มีการแก้ไขจึงต้องส่งกลับไปให้ สส.พิจารณาอีกครั้ง และหาก สส.มีมติเห็นชอบก็สามารถทูลเกล้าฯ เพื่อตราเป็นกฎหมายได้
ทั้งนี้หาก สส.ยังมีมติไม่เห็นชอบต่อร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ สว.จะต้องตั้งกรรมาธิการร่วม โดยมี สส.และ สว.ในสัดส่วนที่เท่ากันมาพิจารณาร่างกฎหมาย เพื่อหาข้อสรุปร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง