เดวิด โบวี่ ถือได้ว่าเป็นนักดนตรีที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ตลอดระยะเวลา 54 ปี เขาผลิตงานเพลงต่างๆ ออกมามากมาย แสดงภาพยนตร์นับสิบ ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก เป็นแรงบันดาลใจของนักดนตรีรุ่นหลังมาจนถึงปัจจุบัน ทว่าภายใต้เส้นทางอาชีพที่โด่งดังคับฟ้า ชีวิตของโบวี่เคยร่วงดิ่งจนเกือบจะหาไม่ ถ้าหากไม่ได้เมืองๆ หนึ่งในยุโรปที่ช่วยดึงเขากลับมาสู่โลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง

เมืองนั้นคือกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี และในฐานะที่ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยือนเมืองนี้ เลยขอตามรอยเดวิด โบวี่ในเมืองที่พลิกชีวิตของเขาดูสักครั้ง

ปีค.ศ. 1976 ถึงเดวิดจะมีอัลบั้มฮิตติดท็อป 10 สองอัลบั้มในปีก่อนหน้า แต่ชีวิตส่วนตัวของเดวิดนั้นเรียกได้ว่าพังพินาศ การใช้ชีวิตเยี่ยงร็อกสตาร์ที่ลอส แอนเจลิส ทำให้โบวี่ติดโคเคนจนผ่ายผอมเป็นกระดูก วันๆ ขังตัวเองอยู่แต่ในคฤหาสน์หรูที่ฮอลลีวูดเพื่อเล่นยา กินแค่พริกกับนมสดประทังชีวิตไปวันๆ ประกอบกับการสวม ‘บทบาท’ ต่างๆตลอดเวลาหลายปี ทั้งเอเลี่ยนหัวแดง Ziggy Stardust โจรสลัดหลังโลกหายนะ Halloween Jack และเอเลี่ยนในร่างมนุษย์ในภาพยนตร์เรื่อง The Man Who Fell to Earth ทำให้เขาหลงคิดว่าเป็นตัวละครเหล่านั้นจริงๆ ภาวะหลอนยานี้เองทำให้โบวี่หยิบตัวละครเอเลี่ยนล่าสุดมาพัฒนาเป็นขุนนางอารยันบ้าอำนาจ ‘The Thin White Duke’ ขึ้น

Ziggy Stardust ที่มา http://david-bowie.wikia.com/wiki/Ziggy_Stardust_(persona)

Halloween Jack ภาพโดย Barry Schultz ที่มา https://static.skillshare.com/uploads/project/e10b4e3b7a60086550ef8d17a4d8cfca/14ae1247

The Man Who Fell to Earth โดย British Lion Films ที่มา https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTJynMzr0g6ZJ_3Eeradj6FYflav794I01WwKETlkFeuFyNddY

The Thin White Duke ที่มา https://www.stylist.co.uk/fashion/david-bowie-dead-69-life-in-pictures-25-of-his-most-iconic-fashion-moments-music-ziggy-stardust-space-oddity-thin-white-duke/116960?galleryImage=18#gallery-18

ณ จุดนั้น ไม่มี ‘เดวิด โบวี่’ อีกต่อไป โบวี่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตัวเองเป็นฟาสซิสต์ตามตัวละคร The Thin White Duke เขาป่าวประกาศให้กลุ่มฟาสซิสต์ในอังกฤษลุกฮือขึ้นล้มรัฐบาลจนโดนประนามในหน้าหนังสือพิมพ์ ความพังถึงจุดขีดสุดเมื่อวันหนึ่งโบวี่โบกมือให้แฟนๆ ขณะกำลังขึ้นรถไฟไปเล่นคอนเสิร์ต เคราะห์ร้าย รูปถ่ายโบวี่ในจังหวะที่มือของเขาดันไปเหมือนกับสัญลักษณ์บูชาฮิตเลอร์ของนาซี ทำให้สื่อทั่วโลกลงข่าวพร้อมกันว่าโบวี่เป็นฟาสซิสต์เต็มตัว

ภาพสัญลักษณ์มือนาซี ภาพโดย Chalkie Davies

เขาเลยได้สติว่าต้องเลิกผงขาวให้ได้ ก่อนจะตายหรือเป็นบ้าไปมากกว่านี้ โบวี่เก็บข้าวของหนีจากลอส แอนเจลิส ไปชุบตัวใหม่อีกฝากมหาสมุทรที่ยุโรป ตั้งรกรากในตอนแรกที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ก่อนย้ายไปอยู่กับเพื่อนรัก อิกกี้ ป๊อป (Iggy Pop) นักร้องนำวง The Stooges ที่เบอร์ลิน และอพาร์ตเมนต์นี้เองก็คือจุดหมายแรกในการตามรอยของผู้เขียนในครั้งนี้

อพาร์ตเมนต์ที่ Schöneberg

เดวิดมาถึงเบอร์ลินช่วงปลายปี 1976 ขณะนั้นเดวิดมีเรื่องฟ้องร้องกับผู้จัดการเก่าเป็นเงินหลายล้านดอลลาร์ จนฐานะเริ่มขัดสน โคโค่ ชวาบ (Coco Schwab) ผู้ช่วยส่วนตัวของโบวี่เลยหาอพาร์ตเมนต์เล็กๆ ราคาถูกให้เขาแชร์กันอยู่กับ อิกกี้ ป๊อป หลังหนึ่งย่าน Schöneberg ถิ่นชนชั้นแรงงานของผู้อพยพชาวตุรกี

นี่คือหน้าตาของอพาร์ตเมนต์ในปัจจุบัน เดินจากสถานีรถใต้ดิน U-bahn Kleistpark ไป 5 นาที

ถ้าเดินผ่านเร็วๆ ตึกนี้ก็เหมือนที่พักอาศัยทั่วไป ชั้นล่างเป็นคลินิคกายภาพบำบัด แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นว่าบนกำแพงข้างประตูมีป้ายสดุดีให้โบวี่อันใหญ่ติดอยู่ ประโยคสดุดีบนป้ายแปลเป็นไทยคร่าวๆได้ว่า

“เดวิด โบวี่เคยอาศัยอยู่ที่นี่ระหว่างปี 1976 – 1978 ช่วงเวลาดังกล่าวก่อให้เกิดอัลบั้ม Low, Heroes และ Lodger เป็นที่รู้จักในนามของ ‘ไตรภาคเบอร์ลิน’ ในประวัติศาสตร์ดนตรีโลก” และด้านใต้ของคำสดุดีก็คือท่อนหนึ่งจากเพลง Heroes จากอัลบั้มเดียวกัน

‘We can be heroes, just for one day.’

น่าเสียดายที่ผู้เขียนไม่สามารถเข้าไปในตึกได้ แต่เห็นได้ชัดเจนว่ารอบๆ ประตูยังมีดอกไม้วางเรียงรายและมีกราฟฟิติเขียนถึงเขาอยู่บนประตูจนลายไปทั้งบาน

ที่อพาร์ตเมนต์นี้เอง ที่โบวี่กลับมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาอีกครั้ง เขาไม่ทำอะไรนอกจากวาดรูป อ่านหนังสืออยู่ในห้อง ออกไปปาร์ตี้ กลับบ้านนอน เขาเปลี่ยนลุคตัวเอง ลองใส่เสื้อผ้าบ้านๆ ไว้หนวด ตัดผมแบบคนธรรมดา คนในละแวกไม่มีใครทักเขาเลยแม้แต่คนเดียว โบวี่รู้ตัวแล้วว่าเขาสามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องสวมบทบาทอะไรนอกจากเป็นแค่ ‘เดวิด โบวี่’ คนเดิม

เวลาผ่านไป เขาเริ่มกลับมาจับงานเพลงอีกครั้ง บรรยากาศเบอร์ลินภายใต้สงครามเย็น วงดนตรีเยอรมันเช่น Kraftwerk หรือ Neue! และผลงานของไบรอัน อีโน (Brian Eno) ปรมาจารย์เพลงแอมเบียนท์ผู้กลายมาเป็นคู่หูของโบวี่ เกิดเป็นแรงบันดาลใจเขาลองทางดนตรีใหม่ๆ เปลี่ยนแนวจากดนตรีร็อก ฟังก์และโซลกลายเป็นเพลงบรรเลงแนว instrumental ลึกซึ้ง ผสมกับเพลงป๊อปแต่มีความหมายลึกซึ้ง เกิดเป็นอัลบั้มในตำนานอย่าง Low, Heroes และ Lodger หรือที่แฟนๆโบวี่เรียกว่า Berlin Trilogy ขึ้นมา พร้อมช่วยโปรดิวซ์ The Fool และ Lust for Life อัลบั้มเดี่ยวสองอัลบั้มแรกของอิกกี้ ป๊อป เพื่อนรักไปด้วย

อัลบั้ม Low

อัลบั้ม Heroes

อัลบั้ม Lodger

พูดถึงผลงานเพลงแล้ว แน่นอนว่าเราต้องไปเยือนสตูดิโอที่โบวี่ใช้อัดทั้งสามอัลบั้มนี้ นั่นคือ Hansa Tonstudios กลางเมืองเบอร์ลินนั่นเอง

Hansa Tonstudios

Hansa Tonstudios ตั้งอยู่บนถนนเล็กๆ สายหนึ่ง ห่างจาก Potsdamer Platz แค่ไม่กี่นาที การเข้าชมสตูดิโอนี้ ต้องซื้อทัวร์เข้าไปด้านในเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ซึ่งไกด์ของผู้เขียนในวันนี้ก็คือธีโล ชมีด์ (Thilo Schmied) เจ้าของ Berlin Music Tours บริษัทที่รับทัวร์สตูดิโอนี้แต่เพียงผู้เดียว

ธีโลไกด์ทัวร์ของเราในวันนี้

ธีโลพาเราข้ามถนนไปยืนฝั่งตรงข้ามกับตึกเพื่อเล่าประวัติของสตูดิโอให้พวกเราฟัง ก่อนเป็นสตูดิโอ ที่นี่เคยเป็นอาคารของสมาคมช่างก่อสร้างกรุงเบอร์ลินมาก่อน เพื่อแสดงศักดานุภาพทางการก่อสร้างของสมาชิก สมาคมเลยสร้างห้องแสดงดนตรีขึ้นมาห้องหนึ่งเรียกว่า Meistersaal (Master Hall) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สมาคมก่อสร้างถูกสลายตัว เปลี่ยนให้ตึกนี้กลายเป็นโรงละครคาบาเร่ต์ จนปี 1961 ฝั่งเยอรมันตะวันออกสร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นมา ตัวกำแพงห่างไปจากตึกเพียง 200 เมตร ทำให้ละแวกรอบข้างซบเซาจนโรงละครต้องปิดตัวไปในที่สุด

แต่ความรกร้างที่ปกคลุมทั่วบริเวณกลับกลายเป็นข้อดีสำหรับการอัดเพลง ความเงียบรอบข้างทำให้ Studio Ariola ใช้ห้องแสดงดนตรีเก่าในอาคารอัดเพลงคลาสสิคอยู่หลายปี จนปี 1976 ที่พี่น้อง Meisel เจ้าของ Hansa Records ก็เข้ามาซื้อกิจการอาคารทั้งหลัง เลยเกิดเป็น Hansa Studios ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน

ด้านหน้าตึก Meistersaal

ธีโลพาเราข้ามถนนเข้าไปในตึก สิ่งแรกที่เห็นในล็อบบี้ก็คือรายชื่อสตูดิโอจำนวนมากที่อยู่ในตึกนอกจาก Hansa ถัดจากรายชื่อบริษัทก็คือรูปศิลปินต่างๆ ที่เคยมาใช้งานสตูดิโอเรียงราย ตั้งแต่ Depeche Mode, Nick Cave, David Byrne ยัน Jon Bon Jovi จนถึงศิลปินเบอร์ลินด้วยเองอย่าง Nina Hagen หรือ Nena เป็นต้น

ดูรูปกันพักหนึ่ง ธีโลก็พาเราขึ้นบันไดไปชั้นสองเพื่อดูดาวเด่นของทัวร์นี้ นั่นคือห้อง Concert Hall หรือที่รู้จักกันในนาม Studio 2

ภายในของ Studio 2 ในปัจจุบัน

Studio 2 ในยุค 1980

น่าเสียดายที่ปัจจุบันเจ้าของตึกเปลี่ยนห้องนี้ให้เป็นห้องสำหรับจัดเลี้ยง เลยไม่มีอุปกรณ์เพลงดั้งเดิมลงเหลืออยู่ เก้าอี้จากงานจัดเลี้ยงวันก่อนยังวางอยู่เต็มห้อง คนอื่นในทัวร์ทยอยกันนั่งลง ถึงจะไม่มีอุปกรณ์ดนตรีอยู่อีกต่อไป แต่ผู้เขียนก็ยังรู้สึกได้ถึงประวัติศาสตร์ดนตรีที่เกิดขึ้นในห้องนี้ได้อย่างชัดเจน

ตามปกติแล้วห้องอัดเสียงทั่วไปที่เราเคยเห็นกันจะบุผนังห้องด้วยวัสดุลดเสียงสะท้อน เพื่อให้ได้เสียงที่สะอาดใสที่สุด แล้วค่อยนำไปปรับแต่งเพิ่มในภายหลัง แต่ด้วยความที่ห้องนี้ไม่ได้ออกแบบมาให้เป็นห้องอัดเสียงแต่ต้น ทำให้เสียงในห้องนี้ดังก้องกังวาน แต่แทนที่จะเป็นข้อเสีย เสียงก้องนี้กลับกลายมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของสตูดิโอแห่งนี้ที่ศิลปินทั่วโลกแวะเวียนมาใช้งานกันไม่ขาดสาย

ธีโลชี้ให้ดูที่ต่างๆ ในห้องว่าเคยมีใครเล่นอะไรตรงไหนบ้าง เขาชี้ไปที่หน้าเวทีแล้วบอกว่าวงแบคอัพของโบวี่เคยเล่นอยู่ในช่องนี้ ส่วนที่กลางห้อง แอนตัน คอร์บิจน์ (Anton Corbijn) ช่างภาพและผู้กำกับเอ็มวีชื่อดัง เคยถ่ายเอ็มวีเพลง One ของ U2 ที่นี่ด้วย

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สตูดิโอนี้จะไม่เป็นที่รู้จักของศิลปินเหล่านี้ ถ้าโบวี่ไม่ได้เป็นผู้มาบุกเบิกเป็นคนแรก แล้วอยู่ดีๆ ธีโลก็เปิดเพลง Heroes ของโบวี่ให้เราฟัง

เป็นครั้งแรกของที่เคยได้ยินเพลงที่อัดในห้องเดียวกันกับห้องนั้นๆ ขอสารภาพว่าผู้เขียนถึงกับขนลุกวาบ น้ำตาไหล เสียงก้องของห้องทำให้เพลงนี้ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ความใจหายเหมือนวันนั้นที่รู้ว่าเจ้าของเพลงนี้ได้จากโลกนี้ไปแล้วเมื่อสองปีก่อนโถมกลับมา ผู้เขียนมองไปที่ตรงกลางห้อง ณ จุดที่โบวี่เคยยืนร้องเพลงนี้และรู้สึกได้ว่าโบวี่ยังอยู่กับพวกเราในห้องนี้จริงๆ

ธีโลเฟดเพลงออกไปเพื่อจะพูดต่อ แต่ผู้เขียนยืนยันได้ว่าน้ำเสียงของเขาสั่นเครือ ไม่ต่างจากอารมณ์ของผู้เขียนเลยแม้แต่น้อย

Control Room

และเนื่องจาก Studio 2 ไม่ได้สร้างขึ้นมาเป็นห้องอัดเสียงตั้งแต่ต้น ทางสตูดิโอจึงแยกห้อง control room ที่ใช้ควบคุมการอัดเสียงออกไปเป็นอีกห้องหนึ่งสุดทางเดินแล้วใช้กล้องวิดีโอตั้งไว้ในสตูดิโอเพื่อสื่อสารกันแทนปัจจุบันทางตึกได้ดัดแปลงห้อง control room ให้กลายเป็นบาร์เหล้าเล็กๆ ธีโลชี้ให้พวกเราดูว่าแผงควบคุมเคยอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องด้านหน้าหน้าต่าง

เมื่อปี 1976 หน้าต่างบานนี้มองออกไปเห็นกำแพงเบอร์ลินได้ทันที โทนี่ วิสคอนติ (Tony Visconti) มือเบสที่กลายมาเป็นโปรดิวเซอร์คู่ใจของโบวี่เคยเล่าว่า เวลาทำงานในห้อง ทหารเยอรมันตะวันออกมักส่องกล้องทางไกลสอดแนมว่าคนในห้องทำอะไรกันอยู่ และทหารที่ส่องเข้ามาอาจจะได้เห็นภาพนี้

โบวี่, โทนี่ วิสคอนติและ mixer คู่ใจเอดูอาร์ด ไมเยอร์ (Eduard Meyer)

แต่ที่สำคัญที่สุด สิ่งที่โบวี่เห็นนอกหน้าต่างบานนี้ในวันหนึ่งเมื่อปี 1977 กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของเพลงยอดฮิตอย่าง Heroes อย่างไม่น่าเชื่อ

ว่ากันว่า วันนั้นโบวี่พยายามคิดเนื้อร้องของ Heroes อย่างหนัก แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก โบวี่เลยขอให้ทุกคนออกไปจากห้อง ขอความเป็นส่วนตัวเพื่อคิดงาน ระหว่างที่หัวตื้ออยู่นั้นเอง โบวี่ก็มองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็เห็นโทนี่ วิสคอนติ กำลังแอบ ‘เล่นชู้’ กับนักร้องแบคอัพคนหนึ่งของวงอยู่ที่ข้างกำแพงสตูดิโอด้านล่าง

ภาพนั้น บวกกับกำแพงเบอร์ลินที่ห่างไปไม่กี่ร้อยเมตร ปฏิสนธิขึ้นเป็นเนื้อร้องท่อนที่ว่า

I, I can remember

Standing by the wall

And the guns, shot above our heads

And we kissed, as though nothing could fall

ท่อนอมตะของเพลงนี้เกิดขึ้นที่นี่ในห้องนี้นี่เอง ออกจากห้อง control room ธีโลก็พาพวกเราขึ้นไปบน Studio 1 ที่ชั้นบนสุดของอาคาร ปัจจุบัน Studio 1 เป็นสตูดิโอหลักของ Hansa ต้องบอกว่าน่าเสียดายที่ทางสตูดิโอห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด แต่ถ้าอยากเห็นสภาพภายในของสตูดิโอ เสามารถหาดูได้ไม่ยากจากเอ็มวีเพลง Sense of Doubt ของโบวี่ ธีโลเชิญให้ผู้เขียนจับเปียโน Steinway ตัวเดียวกันกับที่โบวี่เคยเล่นในเอ็มวี ผู้เขียนเลยเล่นท่อนของเพลง Sense of Doubt ให้เป็นการคารวะโบวี่เล็กน้อย

Studio 1 ในสมัยนั้นถือว่าก้าวหน้ามาก มีแผงควบคุมที่แยกเสียงได้มากถึง 48 track ซึ่งแม้ปัจจุบันแผงควบคุมจะเปลี่ยนเป็นแบบสมัยใหม่แล้ว แต่แผงควบคุมเทปแบบดั้งเดิมดั้งเดิมและ effect ต่างๆที่โบวี่เคยใช้ก็ยังอยู่ในห้องเป็นอนุสรณ์ให้กับประวัติศาสตร์อันยาวนั้นของสตูดิโอแห่งนี้

ก่อนจากกัน ธีโลเปิดเพลง Ashes to Ashes ให้พวกเราฟังเป็นการปิดท้าย ก่อนที่จะล่อลวงเงินในกระเป๋าผู้เขียนด้วยเสื้อโลโก้สตูดิโอจนหมดไป 25 ยูโรเป็นที่ระลึก เป็นการจบทัวร์สตูดิโอของโบวี่อย่างสวยงาม

นี่คือประวัติทางการอย่างคร่าวๆ ของชีวิตของโบวี่ในเบอร์ลิน สถานที่สุดท้ายที่ผู้เขียนขอพาผู้อ่านไปเยี่ยมชมนั้นจริงๆอ ยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเมนต์ของโบวี่ที่ Schoneberg แต่ผู้เขียนขอเก็บสถานที่นี้ไว้เป็นสถานที่สุดท้าย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่อาจจะพลิกเรื่องราวทั้งหมดที่เล่าไปข้างต้น เป็นเรื่องราวที่โบวี่ปิดไว้ไม่บอกใครมาหลายสิบปี สถานที่นั้นก็คือคาเฟ่ Cafe Anderes Ufer ข้างบ้านโบวี่

Cafe Anderes Ufer หรือที่ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Cafe Neues Ufer เป็นคาเฟ่ที่โบวี่กับอิกกี้ ป๊อปแวะมานั่งเล่นกันเป็นประจำ นี่คือหน้าตาของ Cafe ในปัจจุบัน

คาเฟ่ Anderes Ufer ในปัจจุบัน

สังเกตแถบสีรุ้งด้านบนของคาเฟ่ ที่นี่เป็นคาเฟ่เกย์ประจำย่านมาตั้งแต่ยุค 70s แต่ที่นี่ไม่ใช่แค่คาเฟ่ธรรมดา เพราะที่นี่คือที่ที่โบวี่ฉลองวันเกิดอายุครบ 30 ปี นี่คือรูปถ่ายจากงานในวันนั้น

งานฉลองครบรอบวันเกิด 30 ปีของโบวี่ ที่มา fotostrasse.com

ที่บอกว่าสถานที่นี้สำคัญมาก เพราะมีนักชีวประวัติบางคนลือกันว่า เหตุผลที่ทำให้โบวี่ย้ายมาอยู่เบอร์ลินนั้นจริงๆ ไม่ได้เป็นเพราะมาเลิกยาหรือหลงไหลในยุโรปอย่างที่ว่ากันอย่างเป็นทางการ แต่จริงๆ แล้วโบวี่มาที่นี่เพื่อ ‘ผู้หญิง’ คนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างโบวี่ในรูปนี้ นั่นคือ โรมี ฮาก (Romy Haag)

โรมี ฮาก เป็นนักร้องคาบาเร่ต์จากเนเธอร์แลนด์ เป็นเจ้าของไนท์คลับที่เบอร์ลินชื่อ Chez Romy Haag โบวี่เจอโรมีครั้งแรกเมื่อต้นปี 1976 ขณะทัวร์คอนเสิร์ต Isolar Tour ที่เบอร์ลิน ว่ากันว่าพอโรมีเห็นโบวี่บนเวที เธอก็ฝ่าฝูงชนไปด้านหน้าแล้วถอดท่อนบนอล่างฉ่างให้โบวี่เห็นเต็มตา คืนหลังคอนเสิร์ตเลิก โบวี่ก็ไปกันต่อกับเธอจนเล่นคอนเสิร์ตวันต่อมาสายไปถึง 4 ชั่วโมง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น แต่ที่แน่นอนก็คือโบวี่ตัวติดแจกับโรมี่ ฮากตลอดเวลาที่อยู่ในเบอร์ลิน โบวี่ที่ตอนนั้นระหองระแหงกับภรรยาที่อยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์อยู่แล้วเลยคบกันดูดดื่มกับโรมีที่เบอร์ลิน

Romy Haag

ที่น่าสนใจก็คือ โรมี ฮาก ไม่ใช่ผู้หญิงแท้ และเธอยังไม่ได้ผ่าตัดด้านล่างตอนที่ทั้งสองคนคบกัน แต่สิ่งนั้นไม่ใช่อุปสรรคขวางกั้น โบวี่มักแวะเวียนไปดูโชว์คาบาเร่ต์แต่งหญิงของโรมีที่ไนท์คลับของเธอ มีหลักฐานเป็นรูปถ่ายในช่วงนั้นมากมาย

ถ้าลองดูเนื้อเพลงของอัลบั้ม Heroes ดีๆ เนื้อเพลงของอัลบั้มอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับคู่รักหนุ่มสาวในเบอร์ลิน หรือความสัมพันธ์ชู้สาวของวิสคอนติ แต่จริงๆ แล้วอาจจะเกี่ยวกับความคนรักของคนลื่นไหลทางเพศสองคนที่เจอกันและกันในเมืองที่เรียกว่าเบอร์ลินก็เป็นได้…

น่าสังเกตว่า ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าย้ายมาเบอร์ลินเพื่อเลิกยา แต่ในสมัยนั้นเป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าเบอร์ลินเป็นแหล่งยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ไม่พอ คนรู้จักของโบวี่ในสมัยนั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่าโบวี่เล่นยาหนักขึ้นที่เบอร์ลินด้วยซ้ำ แต่ทั้งๆ ที่โบวี่อาจจะเล่นยาหนักเท่าหรือมากกว่าตอนที่อยู่ลอส แอนเจลิส ผลงานที่โบวี่ปล่อยออกมาในช่วงนี้กลับท็อปฟอร์ม เป็นอัลบั้มสำคัญที่แฟนๆ และนักวิจารณ์ต่างยอมรับว่าดีที่สุดจำนวนหนึ่งในผลงานทั้งหมดของโบวี่

หรือจริงๆแล้วสิ่งที่ทำให้โบวี่กลับมาเป็นผู้เป็นคนได้อีกครั้งหนึ่งอาจจะไม่ใช่เพราะการเลิกยา แต่เป็นเพราะความรัก?

ทว่าหลังงานวันเกิดปีที่ 30 โบวี่ก็ตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างกับโรมีอย่างฉับพลัน ชั่วข้ามคืนโบวี่ตัดขาดการติดต่อทุกอย่างกับเธอ ถึงเธอจะขอคืนดีทั้งส่วนตัวและผ่านสื่ออย่างไร โบวี่ก็ไม่ตอบรับจนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจบลงไปในที่สุด นักประวัติศาสตร์ดนตรีส่วนใหญ่เชื่อกันว่าการเลิกกันครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะปาปารัสซี่คนหนึ่งแอบถ่ายรูปโบวี่กับโรมีกำลังสานสัมพันธ์สวาทกันในงานจนทำให้โบวี่ไม่พอใจ ขอเลิกกับเธอ

เรื่องการตัดความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจริงแท้แค่ไหนไม่มีใครมีวันรู้ โรมีออกมาบอกเหตุผลแค่ว่า ‘ภรรยาของโบวี่รู้ว่าเราอยู่ด้วยกัน เธอจ้างทนายมาหาเรื่องฉัน เกิดเป็นข่าวฉาวจนโบวี่มีปัญหากับค่าย’ แต่ถ้าวิเคราะห์กันจริงๆแล้ว การเลิกกันครั้งนี้อาจเกิดขึ้นเพราะความสัมพันธ์ของทั้งสองคนดันไปถึงหูของบริษัท RCA ค่ายเพลงของโบวี่ในขณะนั้น พอค่ายเพลงว่าโบวี่กำลังคบกับสาวประเภทสองอยู่ เลยสั่งให้โบวี่เลิกกับโรมีทันที

ที่น่าสนใจก็คือ โบวี่ปล่อยเอ็มวีเพลง Boys Keep Swinging ออกมา 2 ปีหลังจากที่สองคนเลิกกัน เอ็มวีนี้มีฉากโบวี่แต่งหญิงอยู่เต็มไปหมด ซึ่งโรมีบอกว่าทั้งฉากและท่าทางของโบวี่ล้วนเหมือนการแสดงที่ไนท์คลับของโรมีทั้งสิ้น

https://www.youtube.com/watch?v=UMhFyWEMlD4

และที่เด็ดที่สุดก็คือ เมื่อโบวี่คืนฟอร์มด้วยการปล่อยอัลบั้ม The Next Day ออกมาในปี 2012 หนึ่งเพลงในอัลบั้มนั้นก็คือเพลง Where Are We Now? ที่พูดถึงกรุงเบอร์ลินอย่างอาลัยอาวรณ์ อะไรคือเหตุผลที่อยู่ดีๆโบวี่ก็พูดถึงเบอร์ลินขึ้นมาเมื่อ 30 ปีให้หลัง? และใครคือ ‘We’ ที่โบวี่พูดถึงในเพลงนี้ หรือว่าจริงๆ ‘We’ ที่ว่าในเพลงนี้อาจจะไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก โรมี ฮาก

ไม่ว่าเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเบอร์ลินเป็นเมืองที่เปลี่ยนชีวิตของเดวิด โบวี่ จนทำให้เขากลับมาตั้งตัวได้อีกครั้ง ทำให้เขาสร้างผลงานเพลงที่เปลี่ยนโลกออกมาได้หลายเพลง และทำให้เขากลับมาเป็นนักดนตรีที่มีผลงานฮิตติดชาร์ตในยุค 80s ตราบจนถึงปัจจุบันได้อีกครั้งหนึ่ง แฟนๆ ของโบวี่คนไหนที่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเบอร์ลิน ผู้เขียนขอแนะนำให้ไปตามรอย แล้วจะไม่ผิดหวัง

อ้างอิง

Buckley, David. Strange Fascination: David Bowie, The Definitive Story. Virgin Books. London, 2010.

Tags: , , , , , ,