นับตั้งแต่เหตุการณ์ปะทะฝีปากกลางทำเนียบขาวระหว่าง โวโลดีมีร์ เซเลนสกี (Volodymyr Zelenskyy) ประธานาธิบดียูเครน กับผู้นำเบอร์หนึ่งและเบอร์สองของสหรัฐอเมริกาอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) และเจ.ดี. แวนซ์ (J.D. Vance) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ทั้งโลกต่างรู้ดีว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ-ยูเครน ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แม้เซเลนสกีเชื่อว่า เขาสามารถประสาน ‘รอยร้าว’ ด้วยการโน้มน้าวให้ทรัมป์เชื่อในตัวเขาและยูเครนได้ก็ตาม

แต่สถานการณ์ล่าสุดกลับดูเหมือนไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อวันนี้ (4 มีนาคม 2025) รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศระงับความช่วยเหลือทางการทหารกับยูเครน และเตรียมเดินหน้าปรองดองกับ วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) หลังมีแหล่งข่าววงในจาก Reuters เผยว่า ทรัมป์เตรียมผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย หวังเดินหน้ารื้อฟื้นความสัมพันธ์ในทางเศรษฐกิจ และการทูตระหว่าง 2 ประเทศ

เบื้องต้นทำเนียบขาวและเพนตากอนยังไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ ว่า ความช่วยเหลือดังกล่าวถูกระงับเป็นเม็ดเงิน หรือใช้ระยะเวลาเท่าไร แต่แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับทรัมป์เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการให้ความสำคัญกับการสร้างสันติภาพ และหาพันธมิตรร่วมบรรลุเป้าหมายให้เกิดขึ้นจริง นั่นจึงทำให้รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า ความช่วยเหลือทั้งหมดสามารถแก้ไขปัญหาได้จริง

นอกจากนี้รายงานอีกส่วนของ Reuters ยังระบุว่า ทำเนียบขาวเตรียมฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซีย หลังรัฐบาลสหรัฐฯ ขอให้กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงการคลังร่างรายชื่อที่อาจได้รับการผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตร ตั้งแต่เหตุการณ์รัสเซียผนวกไครเมียในปี 2014 จนถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงาน บุคคล รวมถึงกลุ่มชนชั้นนำรัสเซียบางส่วน โดยมติบางส่วนต้องได้รับการเห็นชอบจากรัฐสภา

ไม่แน่ชัดว่า ผลประโยชน์ที่สหรัฐฯ ได้รับจากนโยบายครั้งนี้คืออะไร หากแต่มีการคาดการณ์ว่า ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซียอาจเป็นประโยชน์ต่อตลาดน้ำมันโลกเนื่องจากรัสเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลก ในกรณีที่อเมริกาผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียสำเร็จ อาจทำให้ราคาน้ำมันโลกไม่สูงขึ้นไปมากกว่านี้ โดยเฉพาะหลังทรัมป์กดดันอิหร่านว่า สหรัฐฯ จะบอยคอตการส่งออกน้ำมัน เพื่อกดดันให้หยุดพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์

ในช่วงที่ผ่านมาทรัมป์ประกาศชัดกับสื่อมวลชนว่า ยูเครนไม่สามารถเอาชนะรัสเซียในสงคราม หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง จึงเป็นไปได้สูงว่า มาตรการดังกล่าวคือการกดดันให้เซเลนสกีกลับมาอยู่ที่โต๊ะเจรจาภายใต้กติกาของสหรัฐฯ เท่านั้น โดยแหล่งข่าวของ Politico ย้ำว่า ไม่ว่าจะมีการเดิมพันสูงขนาดไหน ข้อตกลงใดๆ เพื่อยุติสงครามจะไม่เกิดขึ้น จนกว่าผู้นำยูเครนจะแสดงท่าทีรับผิดชอบเหตุการณ์กลางทำเนียบข่าวที่ผ่านมา 

อาจกล่าวได้ว่า งานหนักทั้งหมดอาจตกอยู่ที่ยุโรป ทั้งในกรณีที่ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-รัสเซีย และสหรัฐฯ ปล่อยมือจากสงครามยูเครน โดยเฉพาะบทบาทของประเทศหัวเรือหลักอย่างสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส หลังมีข่าวว่า เคียร์ สตาร์เมอร์ (Keir Starmer) นายกรัฐมนตรีอังกฤษ และเอ็มมานูเอล มาครง (Emmanuel Macron) ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เตรียมเดินทางเยือนสหรัฐฯ อีกครั้ง หลังจากสลับเปลี่ยนกันพูดคุยกับทรัมป์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และโน้มน้าวให้เห็นชอบข้อตกลงหยุดยิงที่เสนอโดยยุโรป 

เหล่านี้สะท้อนจากท่าทีล่าสุดของยุโรปในการประชุมสุดยอดที่จัดขึ้นในสหราชอาณาจักรเมื่อวานนี้ โดยผู้นำอังกฤษย้ำว่า ตนจะเป็นสะพานเชื่อมสันติภาพเคียงข้างกับฝรั่งเศสและยูเครน ด้วยการร่างข้อตกลงหยุดยิงเสนอสหรัฐฯ อีกที ขณะที่มาครงหวังปูทางยุติสงครามชั่วคราวเป็นเวลา 1 เดือน โดยใช้แผนการที่มีชื่อว่า ‘แนวร่วมแห่งการสมัครใจ’ (Coalition of the Willing) ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับกลุ่มชาติพันธมิตรสหรัฐฯ ที่ร่วมปฏิบัติการบุกอิรักในปี 2003 

อ้างอิง

https://www.reuters.com/world/white-house-seeks-plan-possible-russia-sanctions-relief-sources-say-2025-03-03/

https://www.politico.eu/article/defense-promise-scant-detail-europe-decisive-week-ukraine-war-united-states/

https://www.politico.com/news/2025/03/03/trump-zelenskyy-do-over-00209494

https://www.reuters.com/world/us/trump-set-reimpose-maximum-pressure-iran-official-says-2025-02-04/

https://www.reuters.com/world/europe/trump-halts-all-us-military-aid-ukraine-white-house-official-says-2025-03-04/

Tags: , , , , , , , , ,