ข่าวใหญ่ในวงการลูกหนังไทยเวลานี้ ย่อมหนีไม่พ้นการที่สามหัวเรือใหญ่ในไทยลีก ทั้ง มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติไทย และประธานสโมสรการท่าเรีอ เอฟซี, เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ออกโรงแถลงการณ์ตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อกอบกู้ ทัพช้างศึกให้พร้อมสำหรับการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ที่จะเริ่มฟาดแข้งนัดแรกในเดือนกันยายน 2023 ที่จะถึงนี้
แน่นอนว่าประเด็นที่สื่อและแฟนบอลนับล้านจับตามอง ย่อมหนีไม่พ้นการประกาศลงสมัครเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยของ นวลพรรณ และการส่งสัญญาณเตรียมสละเก้าอี้ประมุขฟุตบอลไทยของพลตำวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง
ในมุมหนึ่ง การกระทำเช่นนี้ก็ถูกแฟนบอลไทยในโลกโซเชียลมีเดียต่างแซวว่า วิธีดังกล่าวไม่ต่างจากการ ‘รัฐประหาร’ หรือ ‘กดดัน’ พลตำรวจเอกสมยศให้ลงจากตำแหน่ง เป็นตลกร้ายคล้ายเหตุการณ์บ้านเมืองเราตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ต่างกันที่เหตุการณ์ในโลกฟุตบอล ได้มีการเจรจาเบื้องหลังและจบลงด้วยดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในอีกมุม เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงและเจตนาของทีมชุดเฉพาะกิจนี้ ก็ดูจะพอมีเหตุและผลให้รับได้อยู่บ้าง กับการมุ่งคว้า ‘ตั๋วฟุตบอลโลก’ ที่จะเกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินแคนาดา เม็กซิโก และสหรัฐอเมริกา ในปี 2026 ซึ่งก็ถือว่าเป็นความมุ่งมั่นของคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติที่น่าส่งแรงใจเชียร์ไม่น้อย
เพราะเท่าที่ผ่านมาการบริหารสมาคมฟุตบอลฯ ดูจะมีทิศทางที่สะเปะสะ สาละวันเตี้ยลงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะระดับทีมชาติหรือโครงสร้างระดับสโมสร ส่วนหนึ่งอาจเพราะการบริหารถูกการเมืองแทรกแซงตามคำกล่าวอ้างของ พลตำรวจเอกสมยศ (ผู้เขียนเคยวิเคราะห์ไว้ในบทความ สมควรแก่เวลาแล้วหรือยัง ที่ ‘ฟุตบอลไทย’ กับ ‘การเมือง’ ควรแยกจากกันเสียที) ดังนั้น การหลีกทางให้ผู้ที่พร้อมและมีบารมีมากพออาจจะเป็นทางเลือกอันเหมาะสม
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ก็ยังไม่นำไปสู่คำตอบของคำถามที่ว่า เหตุใดว่าที่ประธานสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย และพรรคพวก ถึงพยายามตั้งเป้าเคี่ยวเข็ญพาฟุตบอลทีมชาติไทยไปโบกสะบัดธงไตรรงค์ ในทัวร์นาเมนต์เวิลด์คัพ 2026 ขนาดนั้น เหตุใดต้องเป็นหนนี้ เพราะที่ผ่านเป้าหมายเรื่อง ‘บอลไทย ไปบอลโลก’ ดูจะเป็นเรื่องเพ้อฝันไกลตัวมาตลอด
นับตั้งแต่ฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส โครงสร้างการแข่งขันรอบสุดท้ายจะประกอบไปด้วย 32 ทีม แบ่งออกเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม จากนั้นอันดับ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่ม จะได้สิทธิ์เข้าสู่รอบนอกเอาต์ 16 ทีม เพื่อดวลกันไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ
แต่กว่าจะถึงจุดนั้น หากจับตามองที่เฉพาะโซนเอเชีย ทีมที่มีโอกาสจะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้มีเพียง 4 ทีม กับอีก 1 ทีม ที่ต้องวัดใจไปเพลย์ออฟคว้าที่นั่งสุดท้ายร่วมกับประเทศจากทวีปอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นชาติที่เก่งด้านฟุตบอล เป็นกระดูกชิ้นโตกับชาวเอเชียอยู่เสมอ
อีกทั้งก่อนหน้านั้น ทีมจากโซนเอเชียจะต้องผ่านด่านรอบคัดเลือกในทวีปด้วยกันเอง 3 ด่าน คือ
1. รอบแรก ที่จะนำทีมอันดับ 35-46 (รวม 12 ทีม) มาแข่งขันแบบเหย้า-เยือน เพื่อหา 6 ทีมที่ผ่านเข้ารอบ
2. รอบสอง ที่จะนำทีมอันดับ 1-34 และ 6 ทีมรอบแรก (รวม 40 ทีม) มาจับฉลากแบ่งเป็น 8 กลุ่ม กลุ่มละ 5 ทีม มาแข่งขันแบบเหย้า-เยือน โดยจะนำทีมอันดับ 1 และ 2 รวมถึงทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุดอีก 4 ทีม เพื่อผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
3. รอบสาม จะนำทีมที่เหลืออยู่ 12 ทีมมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม มาแข่งขันแบบเหย้า-เยือน โดยอันดับที่ 1 และ 2 ของกลุ่ม จะได้สิทธิ์ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทันที ส่วนอันดับ 3 ของทั้งสองกลุ่มจะต้องมาเพลย์ออฟ เพื่อเป็นตัวแทนไปชิงดำกับชาติจากทวีปอื่นตามที่กล่าวในข้างต้น
เอาแค่ตรงนี้ แล้วลองจินตนาการตาม ก็ลากเลือดแล้ว แล้วนักฟุตบอลและทีมสตาฟโค้ชจะยิ่งกดดันขนาดไหนคงไม่ต้องสาธยาย
สำหรับในฟุตบอลโลก 2026 นี้ต่างออกไป เพราะตามมติของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติหรือฟีฟ่า (FIFA) นำโดยท่านประธาน จิอันนี อินฟานติโน (Gianni Infantino) ระบุไว้ชัดเจนว่า จะเพิ่มทีมแข่งขันในรอบสุดท้ายเป็น 48 ทีม หรือเกือบสองเท่าจากหลักเกณฑ์เดิม
และที่สำคัญคือ ทีมจากโซนเอเชียจะได้ทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย 8 ทีม กับอีก 1 ทีม ที่ต้องไปเพลย์ออฟจากชาติทวีปอื่น
เหมือนเช่นเคย แม้จะยังคงดูเป็นเรื่องแสนห่างไกลจากความเป็นจริง ที่ทัพช้างศึกจะได้ไปโลดแล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แต่หากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าโควตาที่เพิ่มมาเท่าตัว คือโอกาสทองที่ควรไขว่คว้า เพราะโอกาสต่อให้ 1% นั่นก็คือโอกาส
คำถามต่อมาคือฟุตบอลโลก 2026 โซนเอเชีย มีวิธีคัดเลือกอย่างไรนั้น สามารถจำแนกได้ดังต่อไปนี้ คือ
1. รอบแรก ทีมที่มีอันดับ 28-45 (รวม 18 ทีม) จะต้องมาจับฉลากพบกันโดยแข่งขันแบบน็อกเอาต์ เพื่อหาผู้ชนะ 9 ทีม เข้าสู่รอบต่อไป
2. รอบสอง ทีมที่มีอันดับ 1-27 และอีก 9 ทีม จากรอบก่อน (รวม 36 ทีม) จะถูกจับฉลากแบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม มาแข่งแบบเหย้า-เยือน โดยทีมอันดับ 1 และ 2 ของแต่ละกลุ่มจะผ่านเข้าสู่รอบ 18 ทีมสุดท้าย
3. รอบสาม 18 ทีมที่ผ่านเข้ารอบจะถูกจับฉลากแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 6 ทีม มาแข่งขันแบบเหย้า-เยือน โดยทีมอันดับ 1 และ 2 (รวม 6 ทีม) จะได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายอัตโนมัติ ขณะที่อันดับ 3 และ 4 จะได้สิทธิ์เข้าสู่รอบที่สี่
4. รอบที่สี่ ทางเลือกสุดท้ายนี้ ทีมอันดับ 3 และ 4 จากรอบก่อน (รวม 6 ทีม) จะถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม มาแข่งขันแบบเหย้า-เยือน โดยแชมป์กลุ่มจะได้สิทธิ์ลอยลำสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ขณะที่อันดับ 2 จะได้ไปเพลย์ออฟคว้าที่นั่งสุดท้ายกับชาติอื่น
แน่นอนว่าแฟนฟุตต้องบอลต้องมองว่า ถึงจะได้โควตาเพิ่ม แต่ก็ยังคงเป็นงานที่โหดหินเอาการสำหรับทีมชาติไทย เพราะต่อให้เลี่ยงมหาอำนาจอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ซาอุดิอาระเบีย อิหร่าน อิรัก หรือออสเตรเลีย แต่ก็ใช่ว่าเราจะดีเด่นไปกว่าทีมที่เหลืออยู่
แต่อย่าลืมนะครับ ว่าฟุตบอลโลกแข่งครั้งละ 4 ปี ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้น 4 ปีดังกล่าวของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน บางคนอาจจะมีเหตุให้อยู่ไม่ถึงวันที่ฝันเป็นจริงก็ได้ ไม่อาจล่วงรู้ได้เลย
อะไรที่คว้าได้ก็ควรรีบคว้า ในเวลานี้ ทีมชาติไทยกำลังระดมสรรพกำลัง ทั้งทีมสตาฟวิเคราะห์คู่ต่อสู้และนักเตะในชาติ ที่นำโดยกุนซือ มาซาทาดะ อิชิอิ (Masatada Ishii) ที่สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ใช้คำว่า ยอมเสียสละปล่อยตัวมาช่วยเหลือ ทีมฟิตเนสและกายภาพจากบีจี ปทุม ยูไนเต็ด และมันสมองจากโค้ช มาโน โพลกิง (Mano Polking) ก็คงจะพอมีหวังได้บ้าง
ส่วนในอนาคตทีมเฉพาะกิจชุดนี้จะทำสำเร็จตามเป้าหรือไม่ หรือจะเป็นแค่พิธีกรรมเพื่อแอบแฝงโฆษณาชวนเชื่อ เรียกเรตติ้งก่อนเลือกตั้งนายกสมาคมฯ คงได้แต่ดูกันไปยาวๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลง แฟนบอลอย่างเราก็ได้แต่ส่งเสียงเชียร์เท่านั้น
แต่ประการแรก เราต้องผ่านด่านรอบคัดเลือกรอบสอง ที่มีเกาหลีใต้ จีน และสิงคโปร์หรือกวมเสียก่อน จึงจะเห็นภาพความฝันได้ชัดเจน ไม่เช่นนั้น บทสรุปคงเป็นการฉายภาพเดิมซ้ำ
คือกอดคอตบไหล่ พร้อมเอ่ยคำว่า ‘เราทำดีที่สุดแล้ว’
Tags: FA Thailand, Football Association of Thailand, Game On