เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ผ่านมา สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ในวัย 69 ปี ก้าวขึ้นสู่เวทีสีแดงฉานในหอประชุมปักกิ่งอย่างสง่างาม เขาโบกมือน้อยๆ ให้กับเหล่านักข่าวที่นั่งสังเกตการณ์อยู่ในห้อง ก่อนจะหยุดที่โพเดียมตรงกลางโดยมีฉากหลังคือชายคนสนิทอีก 6 ชีวิต นี่คือโฉมหน้าของคณะกรรมการกรมการเมือง (Politburo Standing Committee) กลุ่มผู้บริหารที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศจีน เขตเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก

การต่ออำนาจของสีไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะนับตั้งแต่ปี 2561 ก็มีสัญญาณชัดเจนว่า เขาจะครองอำนาจต่ออีกสมัยโดยฉีกกฎเกณฑ์ดั้งเดิมที่ตำแหน่งประธานาธิบดีจะจำกัดแค่ 2 วาระเท่านั้น แต่สิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึงคือโฉมหน้าคณะทำงานของเขา ที่คัดสรรเฉพาะ ‘ผู้จงรักภักดี’ โดยมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสีมายาวนาน แต่กลับไม่มีรายชื่อผู้บริหารที่เป็นมิตรกับภาคธุรกิจหรือโน้มเอียงไปทางสนับสนุนทุนนิยมและการค้าเสรีเช่นในอดีต

หลังประกาศรายชื่อคณะกรรมการกรมการเมือง ดัชนีหุ้นจีนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างก็ดิ่งลงอย่างน่าหวาดเสียว เพราะนักลงทุนมองว่าแนวคิดของสีไม่เป็นมิตรต่อตลาดมากนัก ส่วนเหล่าผู้บริหารก็ไม่ต่างจากตราประทับที่โอนอ่อนผ่อนตามคำสั่งของสีแบบไม่มีข้อโต้เถียง

ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจของจีนที่ต่ำเกินคาด ผนวกกับปัญหาคาราคาซังที่ส่วนหนึ่งเกิดจากนโยบายของสีเอง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายโควิดเป็นศูนย์หรือมาตรการจำกัดหนี้สินในภาคอสังหาริมทรัพย์ การกระชับอำนาจของสีสะท้อนอย่างชัดเจนว่า นโยบายเหล่านี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงในเร็ววัน นักลงทุนจำนวนไม่น้อยจึงตัดสินใจถอยออกจากตลาด โดยมองว่าจีนอาจไม่น่าสนใจเฉกเช่นในอดีตอีกต่อไป

โฉมหน้าทีมงานผู้ภักดี

การปรับเปลี่ยนคณะกรรมการกรมการเมืองครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะเป็นหน้าใหม่ถึง 4 จาก 6 คน โดยแทบทุกคนต่างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ สี จิ้นผิง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ชายที่ก้าวขึ้นสู่อำนาจท่ามกลางความฉงนสงสัยของคนทั้งโลกคือ หลี่ เฉียง (Li Qiang) อดีตหัวหน้าของสีสมัยที่ยังทำงานในมณฑลเจ้อเจียง ผลงานที่ทำให้ชื่อหลี่เป็นที่รู้จัก คือการล็อกดาวน์มณฑลเซี่ยงไฮ้อย่างเข้มงวดร่วม 1 เดือน เพื่อรับมือการระบาดของโควิด-19 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา หลี่ถูกประชาชนก่นด่าว่าบริหารจัดการได้อย่างเลวร้าย หลายคนมองว่านี่คือผลงานชิ้นโบดำที่อาจทำให้เขาหมดอนาคตทางการเมือง การปรากฏชื่อของเขาในคณะกรรมการกรมการเมืองจึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ อีกทั้งความจงรักภักดีของเขาอาจได้รับการตอบแทนด้วยตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยหน้าด้วยซ้ำ

คนต่อมาคือ ไช่ ฉี (Cai Qi) คนใกล้ชิดของสีสมัยที่ยังทำงานที่มณฑลฝูเจี้ยนและมณฑลเจ้อเจียง ผลงานโดดเด่นของไช่คือการจัดโอลิมปิกฤดูหนาวได้สำเร็จท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ชื่อของเขาก็ใช่ว่าจะไร้รอยด่างพร้อย เนื่องจากไช่เคยดำเนินนโยบายลดจำนวนประชากรในปักกิ่งอย่างแข็งกร้าว ด้วยการทลายที่พักชั่วคราวของคนยากจน เพื่อบีบให้พวกเขาอพยพไปอยู่ที่อื่น

คณะบริหารหน้าใหม่อีก 2 คน คือ ติง เซวียเสียง (Ding Xuexiang) คนสนิทที่เป็นเลขาธิการของสีสมัยที่ทำงาน ณ มณฑลเซียงไฮ้และปักกิ่ง อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะทำงานของประธานาธิบดี และหลี่ ซี (Li Xi) อดีตผู้ช่วยส่วนตัวของ สี จงซุน (Xi Zhongxun) หนึ่งในผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์และพ่อของสี จิ้นผิง เขาใกล้ชิดกับครอบครัวสีและเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดมา

ส่วน 2 คนที่ยังคงรักษาเก้าอี้ไว้ได้คือ หวัง ฮู่หนิง (Wang Huning) นักวิชาการผู้ทำหน้าที่เสมือนมันสมองเบื้องหลังทฤษฎีของเหล่าประธานาธิบดีหลากยุคหลายสมัย เขาคือคนสำคัญที่ผลักดันลัทธิสีในจีนผ่านหนังสืออย่าง ‘แนวคิดของ สี จิ้นผิง เกี่ยวกับสังคมนิยมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบบจีนสำหรับศักราชใหม่’ ส่วน จ้าว เล่อจี้ (Zhao Leji) คือมือปราบทุจริตคู่บารมีโดยมีผลงานปราบปรามการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหลาย ทั้งสองต่างอยู่ในกลุ่ม ‘ผู้ภักดี’ ต่อสี

ส่วนคนที่ถูกปลดออกจากคณะกรรมการกรมการเมืองแทบทั้งหมดถูกมองว่าอยู่ค่ายของ หู จิ่นเทา (Hu Jintao) อดีตประธานาธิบดี ไม่ว่าจะเป็น หลี่ เค่อเฉียง (Li Keqiang) อดีตเบอร์สองที่การันตีด้วยปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ แม้แต่ตัวเก็งผู้สืบทอดตำแหน่งระดับสูงอย่าง หวัง หยาง (Wang Yang) ก็กลับถูกปลดออกจากทุกตำแหน่ง ส่วนนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ใครๆ ก็จับตามองอย่าง หู ชุนหัว (Hu Chunhua) ก็ถูกตัดออกจากสารบบเช่นกัน

แนวคิดของ สี จิ้นผิง นับว่าไม่ค่อยเป็นมิตรกับนักลงทุนและตลาดสักเท่าไร เมื่อขาดคนคอยทัดทานคานอำนาจเช่นในอดีต ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากนักลงทุนจะแสดงความกังวลว่า เศรษฐกิจจีนอาจไม่ได้เติบโตเฟื่องฟูเหมือนที่เคยเป็นมา

หลากมาตรการที่นักลงทุนกังวล

เมื่อประกาศรายชื่อคณะกรรมการกรมการเมืองอย่าเป็นทางการ นักลงทุนต่างชาติต่างระดมเทขายทั้งเงินหยวนและหุ้นจีนในระดับที่น่าตื่นตะลึง ดัชนีฮั่งเส็งในฮ่องกงซึ่งเป็นตลาดยอดนิยมที่บริษัทจากจีนแผ่นดินใหญ่มักจะมาจดทะเบียนปรับตัวลดลงถึง 6% ส่วนดัชนีหุ้นจีนที่จดทะเบียนในตลาดแนสแด็ค (Nasdaq) ของสหรัฐอเมริกา (The Golden Dragon index) อาทิ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างอาลีบาบา (Alibaba) และไป่ตู้ (Baidu) ปรับตัวลดลงถึง 20% ขณะที่เงินหยวนในตลาดต่างประเทศก็ผันผวนหนักจนอ่อนค่าที่สุดในรอบทศวรรษ

คำปราศรัยวันเข้ารับตำแหน่งของสียังสะท้อนได้ดีว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องรอง แต่ ‘ความมั่นคง’ เป็นเรื่องหลัก โดยรายงานต่อสภาฯ ในวันที่ 16 ตุลาคม ปรากฏคำว่า ‘ความมั่นคง’ ถึง 91 ครั้ง รวมทั้งการเน้นเสริมความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในประเทศเพื่อรับมือกลยุทธ์ ‘ปิดล้อมทางเศรษฐกิจ’ ของสหรัฐอเมริกา

นโยบาย ‘ความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Prosperity)’ ที่มีเป้าหมายเพื่อกระจายรายได้สู่ฐานรากด้วยการปรับสมดุล เช่น การเพิ่มสัดส่วนรายได้ฝั่งแรงงาน หรือกระทั่งการออกกฎหมายใหม่เพื่อจัดเก็บภาษี ทั้งความมั่งคั่งและผลได้จากทุน แน่นอนว่านโยบายดังกล่าวอาจส่งผลดีต่อประชาชนผู้มีรายได้น้อย แต่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติอยากเห็นนัก

นอกจากนี้ สียังไม่แสดงท่าทีที่จะลดบทบาทรัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ภายในประเทศที่ไร้ประสิทธิภาพ ในทางกลับกัน เขากลับกระตุ้นให้พรรคคอมมิวนิสต์เดินหน้าการมีส่วนร่วมในภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น นี่คือ ‘โครงสร้างพิเศษ’ ของบริษัทในประเทศจีนที่นอกจากจะทำธุรกิจแล้ว ยังต้องทำตัวเสมือนหนึ่งที่ทำการพรรคคอมมิวนิสต์แบบ 2-in-1 โดยมีผู้บริหารนั่งเป็นหัวเรือใหญ่ (อ่านเพิ่มเติมได้ทาง ‘เคล็ดวิชาเผด็จการ’ โครงสร้างสู่ความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีน) โครงสร้างดังกล่าวอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่สบายใจนัก เพราะนั่นหมายถึงบริษัทต้องน้อมนำอุดมการณ์ของสีโดยยากจะหลีกเลี่ยง

การกระชับอำนาจของสียังเป็นสิ่งยืนยันว่าจีนจะยังคงยึดมั่น ‘มาตรการโควิดเป็นศูนย์’ ต่อไป โดยไม่สนใจว่าหลากประเทศทั่วโลกจะ ‘มูฟออน’ จากโควิด-19 แล้วก็ตาม โดยล่าสุดมีการสั่งล็อกดาวน์เมืองใหญ่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือเจิ้งโจวซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานผลิต iPhone ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ยังไม่นับปัญหาคาราคาซังในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นผลพวงมาจากนโยบาย ‘สามเส้นแดง’ (Three red lines) ที่ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเอเวอร์แกรนด์ (Evergrande) ถึงขั้นขาดสภาพคล่องซึ่งสะเทือนถึงเหล่าธนาคารพาณิชย์ สีเองก็ตระหนักถึงปัญหาความมั่นคงของสถาบันการเงินภายในประเทศโดยประกาศ ‘เสถียรภาพทางการเงิน’ เป็นหนึ่งในเป้าหมายหลัก

อย่างไรก็ตาม การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องง่าย ท่ามกลางภาวะราคาอสังหาริมทรัพย์ขาลง นโยบายล็อกดาวน์ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ และภาคท่องเที่ยวที่รอเม็ดเงินจากต่างชาติอย่างไร้ความหวัง ปัจจัยเหล่านี้นับวันจะยิ่งกัดกร่อนสภาพคล่องของเหล่าธนาคารที่ต้องแบกหนี้จำนองมูลค่ามหาศาลจนเสี่ยงต่อการล้มละลาย

แล้วตลาดเมืองจีนยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่?

คำตอบก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณยอมรับ ‘อุดมการณ์’ ของสี จิ้นผิง ได้มากน้อยขนาดไหน หากมองว่าอุดมการณ์ไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้ราคาหุ้นในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงนับว่าถูกแสนถูก แต่ถ้าคุณไม่เชื่อมั่นว่า ‘ผู้นำ’ ทรงอำนาจที่แวดล้อมด้วยเหล่าคนสนิทที่ไม่กล้าทัดทานจะทำให้เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองได้ ก็อาจถึงเวลาถอยมองหาทางเลือกใหม่ที่เป็นมิตรกับนักลงทุนมากกว่า

เอกสารประกอบการเขียน

Xi Jinping has surrounded himself with loyalists

Xi Jinping promises financial stability. He is not delivering it

Xi Jinping provokes a spectacular sell-off in China’s markets

No ‘adults in the room’: Xi Jinping catches global investors off guard

Chinese Stocks Fluctuate After a Bruising Week

 

Tags: , , ,