การจะเห็นผลงานของนักเขียนไทยวางขายอยู่บนชั้นร้านหนังสือในต่างประเทศ อาจเคยเป็นเพียงภาพจินตนาการที่ยากจะเป็นไปได้ โดยเฉพาะเมื่อขาดแรงสนับสนุนที่สำคัญจากภาครัฐ

ขณะนักเขียนประเทศอื่นจากฝั่งเอเชียผลัดกันสร้างชื่อเสียงในหมู่นักอ่านทั่วโลกคนแล้วคนเล่า นักเขียนไทยยังคงเป็นที่รู้จักเฉพาะในประเทศตัวเอง งานเขียนของพวกเขาส่วนใหญ่แทบไม่เคยได้มีโอกาสตีพิมพ์เป็นภาษาอื่น 

ด้วยความมุ่งมั่นอยากผลักดันงานเขียนไทยให้ไปได้ไกลกว่านี้ ‘ซอย | soi’ ทีมงานเล็กๆ ที่บางคนรู้จักพวกเขาจากการตีพิมพ์ซีรีส์หนังสือ Damned Be Patriarchy | พอกันที ปิ(ด) ตาธิปไตย จึงเปิดมุมมองความเป็นไปได้ด้วยการก่อตั้ง ‘ซอยวรรณกรรม’ ขึ้นมา เพื่อดูแลการแปลวรรณกรรมไทยไปเป็นภาษาอื่น ตลอดจนเจรจาซื้อขายลิขสิทธิ์กับสำนักพิมพ์ต่างประเทศ โดยทำงานขนานควบคู่กันไปกับสำนักพิมพ์ซอยและซอยสตูดิโอ อีกแขนขาหนึ่งที่สำคัญของพวกเขา

 ‘เจน’ – จุฑา สุวรรณมงคล บรรณาธิการบริหารของ ซอย | soi พร้อมด้วย ‘เพลิน’ – ปาลิน อังศุสิงห์ ทีมงานที่รับผิดชอบส่วนของซอยวรรณกรรม และ ‘เกด’ – ภาอรุณ ชูประเสริฐ ผู้ดูแลซอยสตูดิโอ เปิดออฟฟิศย่านถนนนครสวรรค์ ที่ในอดีตเคยเป็นถนนที่คับคั่งไปด้วยสำนักพิมพ์น้อยใหญ่ วันนี้พวกเธอจะบอกเล่าถึงการทำงานของ ซอย | soi ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่ผ่านมา ในการพยายามขับเคลื่อนสังคมไทยผ่านการสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ และความสำเร็จก้าวแรกที่สามารถพานวนิยายเรื่อง จุติ ของ อุทิศ เหมะมูล ไปเซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ต่างประเทศ Penguin Random House SEA ได้ด้วยตัวเอง 

คนทั่วไปอาจรู้จัก ‘ซอย’ ในฐานะสำนักพิมพ์ แต่จริงๆ แล้วซอยนิยามตัวเองว่าคืออะไร 

เจน: ถ้าพูดแบบนามธรรม ซอยสนใจองค์ความรู้ แต่สนใจองค์ความรู้ที่กว้างมากกว่าพื้นที่ของสถาบันการศึกษา เราเลยรู้สึกว่าเรายืนอยู่ระหว่างงานลักษณะที่เป็นทฤษฎีกับงานสื่อสารมวลชน คือเราไม่ได้เป็นทั้งสองอย่าง แต่พยายามจะเชื่อมพื้นที่ต่างๆ เข้าหากัน อันนี้เป็นการอธิบายอย่างนามธรรม หากอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม กิจกรรมทั้งหมดของซอยเป็นไปตามประโยค ‘platform for writing, editing, and publishing in the expanded field’ ก็คือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเขียน บรรณาธิการ และการพิมพ์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราเขียนทุกอย่างหรือพิมพ์ทุกอย่าง เราสนใจสิ่งที่เราเรียกรวมกันกว้างๆ ว่า ‘การเมืองทางวัฒนธรรม’ อันนี้เป็นเหมือนตัวคอนเทนต์ที่ซอยสนใจ ตอนจะเริ่มทำซอย เราก็ถามตัวเองว่าแล้วแพลตฟอร์มต้องมีหน้าตายังไงถึงจะช่วยให้ทำสิ่งนี้ได้ คิดไปคิดมาเลยออกมาเป็น 3 องค์ประกอบของซอยที่มีอยู่ 

องค์ประกอบแรกเป็น ซอย press คือสำนักพิมพ์ ที่คนรู้จักเราผ่านหนังสือที่ตีพิมพ์ออกมา และเรามีส่วนที่สองที่เรียกว่า ซอย literary ในตอนแรกคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร เพราะเป็นโมเดลที่ยังไม่ได้มีอยู่ในไทย ซึ่งซอย literary ก็จะทำงานสวนทางกับซอย press ปกติเราซื้องานลิขสิทธิ์จากต่างประเทศมาแปล แต่ซอย literary เราทำงานกับนักเขียนไทย เพื่อจะทำให้งานของเขาถูกตีพิมพ์ไปเป็นภาษาอื่นๆ โดยสำนักพิมพ์อื่น ซึ่งการทำงานสองภาษาหรือมากกว่าสามารถช่วยเพิ่มคนที่เราอยากคุยด้วยไปได้อีกหลายเท่า แต่เราก็ไม่ได้แค่ขายงานอย่างเดียว เพราะสิ่งสำคัญที่เราอยากไปถึงคือทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักเขียนเพื่อผลิตงานต่างๆ จากตัวบทตั้งต้นที่เขามีอยู่แล้ว มันไม่จำเป็นต้องจบลงที่การเป็นหนังสือเล่มอย่างเดียว

ส่วนสิ่งที่หวังอีกอย่าง แต่คิดว่าต้องใช้เวลาอีกนานคือ แม้ว่าเงื่อนไขการทำงานมันวางอยู่บนเรื่องลิขสิทธิ์ เราก็เห็นปัญหาและข้อจำกัดมากมาย จึงหวังว่าเราจะช่วยผลักดันให้ความสัมพันธ์ระหว่างงานสร้างสรรค์ และผู้สร้างมีในทางอื่นที่เป็นคุณกับสาธารณะมากกว่านี้ แต่นี่คือเรื่องที่ใหญ่มากกว่าการผลิตหนังสือ มันคือระบอบทางเศรษฐกิจที่เราจินตนาการอยากเห็น

อันสุดท้ายคือ ซอย studio ที่เป็นการทำงานร่วมกับคนอื่นๆ มีทั้งงาน collaboration และงาน commission โดยอยู่รูปทั้งการให้คำปรึกษา ให้ความคิดเห็น ไปจนถึงการผลิตร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่รายรอบเรื่องสิ่งพิมพ์หรือการทำคอนเทนต์อยู่ตลอด แต่รูปแบบสื่อที่ใช้จะเปิดกว้างมากขึ้น 

คิดว่าองค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนของซอย เป็นโมเดลอย่างหนึ่งของการผลิตองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ไม่ได้ย้ำติดกับรูปแบบเก่าซึ่งเป็นเพียงการตีพิมพ์หนังสืออย่างเดียวไหม

เจน: เรายังไม่กล้าที่จะเคลมตัวเองมากขนาดนั้น เพราะเราเพิ่งเริ่มทำ แต่เราตั้งใจจะเป็น active publisher ไม่ใช่แค่ผลิตหนังสือแล้วจบไป จริงๆ การผลิตหนังสือเป็นเพียงแค่หนึ่งกระบวนการด้วยซ้ำ เป็นแค่จุดเริ่มต้นที่เราอยากให้มีบทสนทนากับคนอ่านในภาษาไทย หรือเอาประเด็นที่เรารู้สึกว่ามันไหลเวียนอยู่ในสังคม แต่ยังไม่มีใครขมวดมัน หรือพูดถึงมันในทางที่เราอยากชวนคุย เอาสิ่งเหล่านั้นมาทำงานหรือสร้างงานจากประเด็นเหล่านั้นในแนวทางของเรา เราไม่ได้อยากแค่ผลิตสิ่งที่เขาพูดกันอยู่แล้ว แต่เราอยากขยายสิ่งที่มีเพื่อเชื่อมโยงใหม่ งานทำนองนี้มันเป็นกระบวนการต่อเนื่องเหมือนกัน มันใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองด้วย ตอนนี้เลยยังบอกอะไรไม่ได้หรอก

‘เจน’ – จุฑา สุวรรณมงคล

หมายความว่าการทำงานรูปแบบเดิมอาจจะอยู่ได้ยากในสภาพสังคมปัจจุบันด้วยหรือเปล่า

เจน: ไม่รู้เหมือนกัน ไม่กล้าที่จะฟันธงขนาดนั้น แต่ที่เรารู้คือการทำสิ่งพิมพ์มันอยู่ไม่ง่ายมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว เราจึงยิ่งต้องคิดเยอะๆ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และสิ่งที่เราทำเดินไปพร้อมกับการผลิตอื่นๆ ที่ดำเนินไปในสังคมยังไงบ้าง ดังนั้น มันเลี่ยงไม่ได้เลยที่สำนักพิมพ์ที่อยากมีบทสนทนากับสังคมจริงๆ จะต้องทบทวนวิธีการทำงาน และจริงๆ วิธีการนำเสนอซอยก็ยังเตาะแตะ เพราะเรายังคุยกับคนที่ยังไม่ใช่กลุ่มใหญ่มาก และเราหวังว่าวงจะขยายใหญ่กว่านี้ในปีต่อๆ ไป แต่อย่างน้อยคนที่เราเจอในช่วงไม่ถึง 1 ปีที่ผ่านมาก็เป็นกลุ่มคนที่น่าสนใจและดูค่อนข้างมีส่วนร่วมกับเรามากพอสมควร ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา หรือเป็นอะไรที่เขาบอกว่าดีใจที่มีพื้นที่แบบนี้เกิดขึ้น มันก็ตรงกับความต้องการของเราที่อยากทำสิ่งที่เราคิดว่าสำคัญ ที่ก่อนหน้าอาจยังไม่มีหรือมีแต่ไม่มากพอ อย่างที่บอก เราคิดว่างานพวกนี้ไม่ใช่งานที่ฟู่ฟ่าหรือแสดงผลลัพธ์ได้เร็ว แต่สังคมก็ยังต้องการงานลักษณะนี้ด้วย

หากซอยเกิดขึ้นมาเพื่อจะเติมสิ่งที่ยังขาดหายไป แล้วสิ่งเดิมที่มีอยู่คุณเห็นมันเป็นอย่างไร 

เจน: เรารู้สึกว่าองค์ความรู้ทุกอย่างไม่ได้เป็นองค์ความรู้ตายตัว ทุกคนในทีมซอยไม่ได้เชื่อองค์ความรู้ที่ขึ้นหึ้ง และเราไม่เชื่อว่ามีคำตอบสำเร็จอะไรแบบนั้นด้วย เพราะองค์ความรู้มันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามความต้องการของยุคสมัย ไม่ได้หมายความว่าเราจะถูกชี้นำโดยยุคสมัย เพราะบางอย่างมันก็ยังจริงและทำงานอยู่แม้ข้ามเวลาและบริบท แต่ว่าการถามว่าตัวเองสัมพันธ์อย่างไรกับปัญหาหรือชะตากรรมที่เกิดขึ้นข้างนอก มันเป็นคำถามสำคัญมากพอๆ กัน ที่คนทำงานเชิงองค์ความรู้ต้องมี เพราะเรากำลังทำสิ่งที่บางทีก็จับต้องยาก ถ้าไม่คิดกับมันมากพอ อาจกลายเป็นว่าพูดอะไรที่หลักลอยเหมือนกัน มันจึงจำเป็นมากๆ ที่สำนักพิมพ์จะต้องคิดเรื่องนี้ให้ละเอียด เราเลยคิดว่ามันมีช่องว่างของสิ่งที่ผลิตออกมาด้วยมุมมองของยุคหนึ่งและควรถูกทำงานต่อ ยังมีหนังสือหลายอย่างที่ควรถูกเอามาแปลหรือเอามาพูดถึงในไทย แต่ก็ยังไม่มี และยังมีนักเขียนไทยที่เราอยากกลับไปค้น นักเขียนร่วมสมัยที่เราวางแผนจะทำงานด้วย

พูดถึงซอย literary บ้าง รายละเอียดการทำงานในส่วนนี้เป็นอย่างไร ถึงขั้นสามารถพา อุทิศ เหมะมูล เซ็นสัญญากับสำนักพิมพ์ต่างชาติได้สำเร็จ 

เพลิน: ซอย literary ตั้งต้นมาบนไอเดียที่ว่าเราจะทำยังไงให้งานวรรณกรรมของนักเขียนไทยถูกแปลไปเป็นภาษาอื่น และถูกตีพิมพ์ไปข้างนอกเพื่อขยายกลุ่มนักอ่านวรรณกรรมไทยให้มากขึ้น ซึ่งไอเดียนี้มาจากการที่เพลินได้มีโอกาสรับงานแปลนวนิยายของ ‘พี่ม่อน’ – อุทิศ เหมะมูล ตอนนั้นเพลินเริ่มทำซอยกับพี่เจนแล้ว แต่ยังไม่มีสิ่งที่เรียกว่าซอย literary ขึ้นมา พอเราได้เริ่มแปลนวนิยายของพี่ม่อน เหมือนเราเกิดคำถามกับตัวเองว่า ‘ถ้าแปลเสร็จ ต้นฉบับนี้ใครจะเป็นคนดูแลต่อ’ จริงๆ ก็เป็นคำถามที่นักแปลทุกคนคงถามเหมือนกัน เพราะเวลากับแรงที่ลงไปในงานงานหนึ่ง เทียบกับค่าตอบแทนที่นักแปลในไทยได้กลับมามันไม่ค่อยสมน้ำสมเนื้อกันเท่าไร เราจึงอยากรู้ให้แน่ใจว่าผลงานจะผ่านไปได้ถึงขั้นไหน 

เพลินเลยหาข้อมูลและสอบถามคนในวงการหนังสือว่าต้องทำยังไง ซึ่งน่าจะเป็นความจริงที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่างานวรรณกรรมไทยไม่ค่อยถูกแปลไปเป็นภาษาอื่น ภายใต้มายาคติที่ว่านักเขียนไทยไม่เก่งเท่านักเขียนนอก หรือว่างานเขียนไทยไม่ดีเท่า มันจึงไม่ถูกแปล แต่เรากลับไม่ดูโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้งานวรรณกรรมสามารถถูกแปลไปได้ด้วยซ้ำ คือโครงสร้างมันยังไม่เอื้อให้เราแสดงศักยภาพได้ทั้งหมดเลย จะด่วนสรุปว่าใครดีไม่มากก็ไม่ค่อยแฟร์นัก ถ้าเรามองจากประเทศที่โครงสร้างนี้ลงหลักแล้ว จะเห็นว่าเขามีโครงสร้างที่ใหญ่และเป็นระบบมาก มันช่วยทำให้นักเขียนและนักแปลอยู่ได้ ทั้งยังเกิดบทสนทนาเกี่ยวกับวรรณกรรมที่มันรุ่มรวยมาก เพราะงานของเขาถูกส่งออกไปข้างนอก และมีนักอ่านเข้ามาสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเขา 

แต่โครงสร้างนี้ไม่มีในไทย หรืองานเขียนไทยที่โชคดีได้ถูกแปลไปก็มีอยู่น้อยมาก และส่วนใหญ่เกิดขึ้นได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของนักแปลคนเดียว ทั้งๆ ที่ประเทศอื่นไม่ได้มีคนทำงานคนเดียว เขามีองค์กรส่วนกลางที่เรียกกันว่า literary agency ที่ทำงานกับนักเขียน คอยเป็นตัวกลางวิ่งระหว่างตัวนักแปลกับแหล่งทุนหรือกับสำนักพิมพ์ต่างประเทศ ผ่านการติดต่อเจรจาซื้อขายกันว่าทำไมสำนักพิมพ์ต้องพิมพ์งานชิ้นนี้ แต่ที่ไทยไม่ได้มีระบบแบบนี้ เราเลยอยากลองเริ่มมันขึ้นมาเอง และด้วยความที่เราแปลงานนี้ มีผลงานอยู่ในมืออยู่แล้ว เราจึงวิ่งไปติดต่อสำนักพิมพ์ต่างประเทศหลายที่เพื่อ Pitch งานด้วยตัวเอง แต่เราไม่ได้ Pitch แค่ว่าเรามีเป็นคนแปลงานนี้นะ เรา Pitch ในลักษณะที่เหมือนกับเราเป็นเอเจนซีที่เพิ่งก่อตั้ง 

ระหว่างนั้นเพลินกับพี่เจนก็มีติดต่อนักเขียนไทยประมาณ 6-7 คน เพื่อชวนมาทำงานด้วยกัน ซึ่งแต่ละประเทศก็มีตลาดที่แตกต่างกันออกไป แต่เราพยายามจะเลือกนักเขียนที่เรารู้สึกมั่นใจว่าสามารถไปได้ไม่ยากก่อน ถามว่าอะไรที่ทำให้เรามั่นใจว่าไปได้ ก็คือเขาต้องมีผลงานมาแล้วอยู่ในระดับหนึ่ง และจริงๆ ก็เป็นความสนใจส่วนตัวที่เรามีกับนักเขียนท่านนั้นด้วย เพราะการเริ่มทำงานตรงนี้ต้องใช้ความไว้ใจกันระดับหนึ่ง 

อันนี้เป็นส่วนของซอย literary ที่เริ่มทำมาได้ประมาณ 1 ปี แต่เรายังคงดำเนินการไปได้ในทางที่ค่อนข้างช้า เพราะด้วยความที่เราทำกันเองด้วย กว่าจะมีตัวตนในระดับนานาชาติได้ มันต้องใช้เวลาในการสร้างเครือข่ายพอสมควร ก็เลยรู้สึกว่าเป็นอะไรที่จะต้องค่อยๆ ทำไป ค่อยๆ สร้างเครดิตให้ตัวเอง คิดว่าหากในอนาคตเราสร้างตัวได้ประมาณหนึ่ง เราก็อยากจะทำงานกับนักเขียนไทยคนอื่นๆ หรือนักเขียนไทยหน้าใหม่ๆ ที่เขาอยากมีโอกาสให้งานเขาถูกแปล และขยายวงนักอ่านมากขึ้น 

เจน: ช่วงนี้เรายังเป็นช่วงแนะนำตัวเองในโลกของสิ่งพิมพ์ต่างประเทศ และเป็นช่วงที่ทำความเข้าใจกับมันอยู่ จริงๆ ก็เพื่อจะพิสูจน์ให้คนไทยเห็นด้วยว่าเรากำลังพยายามอะไรอยู่ และมีอะไรเกิดขึ้นแล้วบ้าง คนอาจจะเพิ่งเห็นการทำงานส่วนนี้ของเราจากกรณีของพี่ม่อน แต่จริงๆ เราทำก่อนหน้านั้นมาเป็นปีแล้ว

‘เพลิน’ – ปาลิน อังศุสิงห์

ส่วนใหญ่สำนักพิมพ์ต่างประเทศมองหาวรรณกรรมไทยในลักษณะไหน

เพลิน: แล้วแต่สำนักพิมพ์หรือตลาดในประเทศของเขา ขึ้นอยู่กับทางเราด้วยว่าเราจะพรีเซนต์นักเขียนเราแบบไหน ตอนนี้คนที่เราเลือกมาทั้งหมดส่วนใหญ่จะทำงานเป็นวรรณกรรมแนวฟิกชัน นวนิยาย การ์ตูน หรือกราฟิกโนเวล หลังจากที่วรรณกรรมโมเดิร์นคลาสสิกอย่างหนังสือ คำพิพากษา ของ ชาติ กอบจิตติ ได้ถูกแปลไปหลายภาษา ซึ่งก็ประมาณ 30-40 ปีมาแล้ว งานแปลก็เงียบไปประมาณหนึ่ง จนกระทั่งมีงานนักเขียนรุ่นของ ปราบดา หยุ่น กับ เดือนวาด พิมวนา ถูกแปลไปเป็นระลอกสอง เราเลยรู้สึกว่าคนข้างนอกเขาน่าจะมีความหิวโหย เนื่องจากมีการขาดตอนของการส่งออกวรรณกรรมไทยร่วมสมัยอยู่มาก

แต่ก็พูดยากเหมือนกัน อย่างตอนติดต่อสำนักพิมพ์ในประเทศจีนที่เขาสนใจงานวรรณกรรมจากเอเชียตะวันตกเฉียงใต้โดยเฉพาะ เขาเล่าถึงภาวะสุญญากาศของวรรณกรรมไทย และวรรณกรรมจากเอเชียทางใต้มาตั้งแต่ยุค 80s เขาจึงอยากเติมช่องโหว่ตรงนั้นให้เต็มด้วยการพิมพ์งานที่เขาเรียกว่า ‘คลาสสิก’ เขาก็เลยสนใจงานของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ หรือถ้าสนใจผลงานของนักเขียนรุ่นใหม่ก็อาจเป็นงานตั้งแต่ปี 2000 ขึ้นไป 

ดังนั้น สิ่งสำคัญในฐานะเอเจนซีไม่ใช่แค่เข้าใจว่าใครต้องการงานอะไร แบบไหน เพื่อจะได้รู้ว่าเราควรพานักเขียนของเราไปหาใคร แต่เราตั้งใจจะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพื้นที่ของงานวรรณไทยเพิ่มขึ้นด้วย หรือเติมข้อมูลในมุมที่เขายังขาด เพราะมันไม่ได้มีแค่งานแบบที่เขารู้จัก แต่มีงานของนักเขียนที่จุดยืนทางการเมืองอยู่ในฝั่งประชาชนด้วย ซึ่งเขาอาจสนใจ แต่เขาเข้าไม่ถึงข้อมูล เและไม่แปลกเลยที่เครื่องไม้ของมือของประชาชนจะน้อยกว่าฝั่งที่อยู่ข้างรัฐ เหมือนกับที่เราเห็นตัวอย่างจากการสนับสนุนงานของกระทรวงวัฒนธรรม และซอยมีจุดยืนที่จะสนับสนุนงานของนักเขียนที่อยู่ฝั่งประชาธิปไตยจริงๆ การแหวกพื้นที่ให้เสียงแบบนี้จึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายของเรา

ถ้าเป็นในหมู่นักอ่านต่างประเทศ เขาสนใจงานวรรณกรรมของไทยมากขนาดไหน 

เพลิน: เพลินได้มีโอกาสไปเรียนเกี่ยวกับวรรณกรรมอังกฤษที่ต่างประเทศ ตอนนั้นมีวิชาชื่อว่า Global Literature หรือ World Literature ให้เราเลือกว่าเราอยากเรียนอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นงานวรรณกรรมที่ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษหรือถูกเขียนเป็นภาษาอังกฤษในประเทศอื่นนอกจากประเทศตะวันตก ถึงจะเป็นหมวดหมู่ที่ฟังดูกว้างมาก แต่วรรณกรรมที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะมาจากทางฝั่งประเทศอาณานิคมเก่าอย่าง อินเดีย ศรีลังกา และถ้าเป็นงานแปลก็จะมาจากฝั่งอเมริกาใต้ 

เวลาคนมองหาวรรณกรรมจากฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศที่เขานึกออกเป็นอันดับแรกก็คืออินโดนีเซีย แต่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงวรรณกรรมไทยเพราะมันแทบจะไม่เคยถูกแปลเลย เราเลยรู้สึกว่าวรรณกรรมไทยหายไปเลยจากมุมมองของคนนอก เขาไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาอ่านงานของเราได้ยังไง ในเมื่อไม่มีช่องทางให้เข้ามารู้จักวรรณกรรมประเทศเรา มันจึงค่อนข้างชัดเจนว่าประเทศไหนมีโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้งานถูกแปลไปได้ ก็จะมีงานจากประเทศนั้นออกไปเยอะ

เจน: รงนี้เป็นช่องโหว่อย่างหนึ่งที่ซอยพยายามจะทำ เราต้องการคนมีความสามารถในการใช้ภาษาได้ดี แต่ก็ไม่ใช่แค่นั้น เขาต้องมีความเข้าใจในวรรณกรรมที่แข็งแรงพอจะสามารถพางานไปได้ด้วย ถ้าอยากจะตัดสินว่าไปได้หรือไปไม่ได้ เราต้องให้โอกาสได้แสดงตัวก่อน ให้โอกาสมันได้อยู่ในพื้นที่ที่ทัดเทียมกันกับที่อื่นๆ ก่อน ซึ่งเป็นอะไรที่พื้นฐานมาก แล้วเอาจริงก็ค่อนข้างจะเป็นงานของภาครัฐนะ

ประเทศอินโดนีเซียเขาได้พื้นที่ในงาน Frankfurt Book Fair ถึงขนาดได้เป็น Guest of Honor และเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ทำได้ จะบอกว่าเป็นเพราะเขาประเทศใหญ่ ก็คงไม่ใช่ เพราะต่อให้เขาเป็นประเทศใหญ่ที่มีนักเขียนเยอะ แต่ถ้าไม่มีแรงสนับสนุนที่สามารถทำให้งานเขียนถูกอ่านได้โดยพลเมืองโลก มันก็เป็นไปไม่ได้หรอกที่คนจะรับรู้ว่านักเขียนเหล่านั้นพยายามจะพูดอะไร สุดท้ายมันจะกลับมาที่เรื่องของการจัดสรรทรัพยากรและนโยบายทางวัฒนธรรม แล้วก็เป็นเรื่องที่ถ้าพูดถึงจะยาวมาก เพราะตอนนี้ แค่สิ่งที่จำเป็นขั้นพื้นฐานต่อชีวิตประชาชน รัฐบาลยังทำไม่ได้เลย รู้สึกไม่ได้หวังอะไรตอนนี้หรืออาจจะต้องใช้เวลากว่า 10 ปี และเผลอๆ อาจยาวนานกว่านั้นมากกว่าเราจะเห็นการทำงานในรูปแบบที่ว่ามา

เพลิน: ก่อนจะพูดถึงว่าข้างนอกต้องการอะไรนั้น อาจต้องกลับมาพูดถึงในไทยด้วย คำนิยามของการประสบความสำเร็จในการเป็นนักเขียนวรรณกรรมในไทยยังเป็นลู่ทางที่ค่อนข้างแคบและไปได้ทางเดียว ซึ่งก็คือการล่ารางวัลไปเรื่อยๆ ถ้าสูงสุดคือได้ซีไรต์ แต่จากนั้นแล้วยังไงต่อ มันเหมือนกับไม่มีทางหลุดออกไปจากตรงนั้นได้สักที แต่ถ้าไปดูประเทศที่การเขียนวรรณกรรมไม่ได้แค่ถูกวัดค่าโดยรางวัล แต่ถูกวัดค่าโดยสิ่งอื่นเยอะแยะมากมาย การที่งานหนึ่งถูกแปลก็เป็นการขยายวงผู้อ่านให้หลากหลายยิ่งขึ้น เวลางานได้มีโอกาสไปแตะอยู่กับบริบทอื่นๆ สิ่งเหล่านั้นก็จะเพิ่มพูนวิธีการอ่านงานคุณด้วย งานวรรณกรรมแปลจึงมีแต่การสร้างใหม่และอาชีพการเป็นนักเขียนก็กลายเป็นสิ่งที่มากกว่าการได้โล่ เพลินเลยรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ไม่ใช่เป็นแค่ประโยชน์ของนักเขียนคนเดียว แต่เป็นประโยชน์กับวัฒนธรรมการอ่านของประเทศนั้นเลยล่ะ 

เกด: ตอนที่โพสต์ของซอยเพิ่งปล่อยออกไปเกี่ยวกับเรื่องของพี่ม่อน มีคนแชร์และพูดถึงประมาณว่าวรรณกรรมไทยควรจะได้รับการสนับสนุนแบบนี้มาตั้งนานแล้ว และเหมือนมีนักเขียนไทยหน้าใหม่ที่แชร์ด้วยความรู้สึกว่า เขามีความหวังมากขึ้นว่างานของเขาจะสามารถตีพิมพ์ไปในลักษณะนี้ได้ด้วย เลยรู้สึกว่าเหมือนคนมองหาพื้นที่ที่จะให้ตัวเองมีเสียง เพราะที่ผ่านมาคล้ายกับว่าเสียงของเขาไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐเลย ซึ่งเราคิดว่าสิ่งที่ซอยทำอยู่ทำให้คนเห็นความเป็นไปได้ที่กว้างขึ้น

ช่วงต้นมีการพูดถึงคำสบประมาทของผู้คนที่ว่านักเขียนวรรณกรรมไทยไม่เก่งเท่านักเขียนชาติอื่น จากการคลุกคลีอยู่ตรงนี้เห็นศักยภาพของพวกเขาอย่างไรบ้าง 

เพลิน: เพลินไม่ใช่คนที่อ่านวรรณกรรมไทยมามากขนาดนั้น เพิ่งจะมาเริ่มอ่านและทำความเข้าใจมาไม่กี่ปีเอง เลยไม่ได้อ่านงานคลาสสิกมากมาย แต่เวลาได้อ่านก็มักจะเกิดความคิดว่าทำไมเราถึงไม่พูดถึงงานชิ้นนี้ในระนาบเดียวกันกับงานวรรณกรรมประเทศอื่นๆ ที่เราเคยอ่านมาได้มากกว่านี้ ทำไมเราถึงไม่เคยหยิบยก ลับแล, แก่งคอย ของพี่ม่อน มาพูดพร้อมกับงานของโทนี มอร์ริสัน หรือกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ เพราะที่จริงมีประเด็นหลายอย่างมากในนั้นที่เราสามารถอ่านข้ามพรมแดนกันได้ 

มันเลยไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของศักยภาพของนักเขียน แต่เพลินรู้สึกว่าเป็นศักยภาพของนักอ่านด้วย เมื่อไรที่การอ่านข้ามบริบทเกิดขึ้น มันก็จะช่วยยกระดับงานของนักเขียนให้มีช่องทางไปได้เยอะกว่าเดิม เพลินว่าศักยภาพมาจากตรงนั้นมากกว่าจากนักเขียนเพียงคนเดียว จริงๆ นี่ก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งในการทำงานเอเจนซีด้วย เพราะเวลาเราไป Pitch งานเขียนให้ที่อื่น เราไม่ได้แค่บอกว่าของเราดีและขายวัฒนธรรมไทยแบบชาตินิยม แต่เราต้องบอกเขาให้ได้ว่าทำไมคนนอกประเทศไทยถึงจะอยากอ่านเล่มนี้ มันเกี่ยวอะไรกับเขา หรือเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในโลกตอนนี้ เพราะทุกอย่างสามารถเชื่อมโยงกันได้หมด 

เจน: สิ่งหนึ่งที่ซอยไม่เชื่อก็คือ เราไม่เชื่อบรมครู เราไม่เชื่อการแนะนำว่าต้องอ่านเล่มนี้นะ เล่มนี้ยอดเยี่ยม นักเขียนคนนี้ห้ามพลาด อะไรพวกนี้ คือเราไม่ปักใจกับของการเป็นสุดยอดในสายนั้นๆ แต่เชื่อการสัมพันธ์กันของหลายๆ อย่างมากกว่า เราเชื่อว่าการก่อร่างความคิดของคนมาจากส่วนผสมปนเปในแบบที่ใครก็กะเกณฑ์ไม่ได้ เราจึงไม่มองว่าการอ่านเป็นการไต่เต้าทางความรู้ การอ่านคือการอ่านสารพัดอย่าง และเราเอามันมาปรุง มาผสมเป็นความเห็นของคนคนหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่ความเห็นหลายๆ แบบมาเจอกัน เพลินพูดถูกมากที่ว่ามันไม่ใช่แค่ศักยกายภาพของนักเขียน แต่เรากำลังพูดถึง ‘ศักยภาพของวัฒนธรรมการอ่าน’ ว่าเราสนับสนุนการอ่านแบบไหนไปบ้าง

คำว่าเก่ง-ไม่เก่งก็เหมือนกัน ดูเหมือนคนรุ่นก่อนหน้าเขาอาจจะเชื่ออะไรแบบนี้มาก มีการจัดลำดับความสูงต่ำของสิ่งต่างๆ ว่าอะไรดี ไม่ดี แท้ไม่แท้อยู่ตลอด ต้องวรรณกรรมแบบนี้เท่านั้น วรรณกรรมอีกแบบไม่ดี หรืออะไรทำนองเป็นหรือไม่เป็นศิลปะก็เหมือนกัน เรารู้สึกว่าวิธีการมองแบบนั้นค่อนข้างใจแคบ คำถามที่สำคัญกว่าการมานั่งบอกว่าเก่ง-ไม่เก่ง คือจริงๆ แล้วเรามีสังคมที่อนุญาตให้คนแสดงความสามารถได้ถึงที่สุดแล้วหรือยัง คำตอบก็คือยังแน่นอน สังคมไทยขาดโอกาสที่จะได้เห็นการผลิบานของคนที่มีความสามารถมาแล้วกี่รุ่น เพราะเงื่อนไขมันไม่เกื้อกูลพวกเขาเลย นโยบายต่างๆ ก็สายตาสั้น อยากได้อะไรรวดเร็วตลอดเวลา วัดกันแค่ความสำเร็จแบบด่วนได้ รัฐเราไม่มีแผนระยะยาวให้กับอะไรทั้งนั้น แต่เราเชื่อมั่นภาคประชาชนว่าผู้คนรับรู้ปัญหาหลายๆ อย่างแล้ว รวมถึงการท้าทายวัฒนธรรมสูงต่ำที่ควรทลายลงเสียทีด้วย เหลือก็แต่การสร้างพื้นที่เหล่านั้นขึ้นมาให้แข็งแรง จะได้ไม่มีแต่วัฒนธรรมเจ้ายศเจ้าอย่างที่พยายามหายใจเฮือกสุดท้าย เราต้องมีวัฒนธรรมใหม่ให้การเมืองแบบใหม่ด้วย

สุดท้ายจะวกกลับไปสู่เรื่องการเมือง เพราะมันจำเป็นมีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยให้คนทำงานสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ออกมาได้อย่างเต็มความสามารถ ตราบใดที่ยังมีความขาดแคลนเชิงโครงสร้างอยู่ เราจึงสนใจการพัฒนาในเชิงนโยบายมากกว่าการชี้นิ้วในเชิงคุณค่า และที่สำคัญกว่าเราอ่านอะไร คือเราอ่านสิ่งต่างๆ ยังไงมากกว่า เราอาจจะอ่านการ์ตูนเล่มละบาท หรืออาจจะอ่านจากถุงกล้วยแขกก็ได้ แต่เราอ่านมันยังไง และเรามีปฏิสัมพันธ์กับโลกยังไง ตัวบทที่อ่านก็เป็นแบบนั้น นี่คือสิ่งที่ซอยสนับสนุน เราไม่เชื่อว่าคนไทยอ่านน้อย และเราไม่ได้คิดว่าคนอ่านไม่ทันโลก ฉะนั้น หน้าที่ของสำนักพิมพ์คือการให้เขาได้มีโอกาสปะทะกับตัวบทที่หลากหลาย แล้วเราค่อยมาคุยกันว่าจริงๆ การอ่านเป็นแบบไหนกันแน่ เรามีจุดยืนประมาณนี้มากกว่า 

ถ้าอย่างนั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้วรรณกรรมไทยสามารถประสบความสำเร็จได้ในต่างประเทศต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

เพลิน: อย่างแรกคงต้องกลับไปเรื่องโครงสร้างพื้นฐานก่อน ซึ่งขึ้นอยู่กับการจัดสรรทรัพยากรของรัฐบาลส่วนกลางด้วยว่าเขาจะจัดสรรผ่านการให้ความสำคัญกับอะไร ถ้าเขามองว่างานวรรณกรรมไทยเป็นสิ่งที่เขาควรสนับสนุน เพราะช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ หรือโปรโมตภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเชิงวัฒนธรรม ถ้าเขาสามารถมองได้แบบนี้ เพลินก็รู้สึกว่านโยบายต่างๆ จะเอื้อให้คนทำงานทุกคนในแวดวงวรรณกรรมได้อย่างเหลือเชื่อแล้ว เพราะตอนนี้เราไม่มีเลย และเท่าที่รู้มา ตอนนี้คนในฝั่งของภาพยนตร์ไทยเขาก็กำลังสู้เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขาต้องการการสนับสนุนจากองค์กรส่วนกลางให้เข้ามาช่วยทำให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์อยู่ได้มากกว่านี้ 

แล้วมันกระทบไปถึงเรื่องของ working condition ของคนทำงานด้วยเลยนะ เช่น ถ้าเด็กจบใหม่เขาสนใจอยากจะทำงานเกี่ยวกับหนังสือหรืออยากทำหนัง กลายเป็นว่าทางมันไม่สามารถเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของเขาได้ เพราะมันอยู่ไม่ได้ คนทำงานภาคนี้จึงมีน้อยลงไปเรื่อยๆ สิ่งที่ถูกผลิตออกมาเลยถูกผลิตแค่คนกลุ่มเดียวที่เขามีต้นทุนสามารถทำได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีแรงสนับสนุนจากสิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเอง เพลินเลยคิดว่าถ้าวงการวรรณกรรมเราต่อสู้เรื่องนี้ และพยายามให้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ แค่นี้ก็คงจะช่วยได้เยอะมากๆ แล้ว เพราะทุกคนพร้อมที่จะทำ และทุกคนก็อยากเห็นมันเกิดขึ้น เหลือแค่องค์ประกอบเดียวที่สำคัญก็คือ ‘รัฐ’ ที่ยังขาดไป 

เจน: เรารู้สึกชื่นชมคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มากที่เขาค่อนข้างจะแอ็กทีฟ แล้วพวกเขาก็รู้ตั้งแต่ต้นว่าไม่สามารถที่จะสู้ด้วยตัวคนเดียวได้ อะไรพวกนี้น่าจะมีในแวดวงสร้างสรรค์ทุกๆ แวดวงเลย บางทีเราค่อนข้างกังวลเหมือนกัน เวลาจะตอบว่ายังขาดอะไรไป เพราะเราก็ไม่ใช่ผู้รู้ที่จะบอกได้ทุกอย่างขนาดนั้น ซึ่งคนในวงการวรรณกรรมอาจจะต้องมานั่งคุยกัน พวกเราเองก็ยังใหม่ เลยพยายามจะตามฟังว่าใครพูดอะไรไว้บ้าง แต่ยังไม่เห็นการรวมตัวกันจริงจังเท่าไร ส่วนหนึ่งอาจเป็นภาพจำของคนทำงานเขียนด้วยหรือเปล่า ว่าคุณต้องทำทุกอย่างด้วยคนเดียวเสร็จสรรพ เช่น งานเขียน งานแปล ทั้งที่ไม่เคยมีอุตสาหกรรมไหนเลยที่เป็นปัจเจกแบบนั้น แวดวงสิ่งพิมพ์อาจจะต้องพูดด้วยซ้ำว่าในกระบวนการผลิตมีน้ำมือหลายคนที่ทำให้สิ่งนี้มันเกิดขึ้น และน้ำมือเหล่านั้นก็สำคัญมากเท่าๆ กัน เขาแค่อาจจะไม่ได้มาปรากฏหน้าให้เห็น เราพยายามจะสื่อสารถึงอะไรพวกนี้กับคนอ่านเหมือนกันนะ

คิดว่าความท้าทายที่ยากที่สุดในการทำงานตรงนี้ของซอยคืออะไร 

เจน: คิดว่าเป็นเรื่องเวลา ก่อนหน้านี้เรามีคุยกันอยู่ว่าซอยอาจจะต้องหางานที่จบเร็วบ้าง เพราะส่วนใหญ่งานที่ทำต้องใช้เวลาหมดเลย อย่างทำหนังสือเล่มหนึ่ง ใช้เวลาทำเป็นปี หรือบทความบนเว็บไซต์ที่เรามีให้อ่าน เราก็ให้เวลากับนักเขียนไป 3-4 เดือนในการทำงาน เพราะฉะนั้นจึงมีความคาดหวังบางอย่างที่เราต้องลงทุนให้กับเวลา และการใช้เวลาหมายถึงต้นทุนอย่างอื่นที่ต้องลงไปด้วย มันเลยเป็นความท้าทายในแง่ที่ว่าเราต้องอึดพอจะทำงานระยะยาวได้ เพราะทุกอย่างที่เราคาดหวังเอาไว้ว่าล้วนต้องใช้เวลาหมดเลย แต่ถ้าหากประเมินการทำงานตลอด 1 ปี ก็คิดว่าเราพอใจกับสิ่งที่ได้รับกลับมานะ เวลาจึงเป็นความท้าทายแรก 

ความท้าทายที่สองเป็นความท้าทายของตัวเองในเชิงธุรกิจ อย่างที่บอกว่ามันเป็นงานที่ใช้เวลาหมดเลย เราต้องใช้ต้นทุนลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ดอกผลจะต้องรออีกสักพัก เราจึงต้องหาคำตอบว่าจะทำยังไงให้ธุรกิจนี้สามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืน พร้อมสามารถดูแลทีมได้ 100% ซึ่งตอนนี้เรายังไม่ได้ไปถึงจุดนั้นเลย

ส่วนความท้าทายที่สาม เราอยากคุยกับคนจำนวนมาก ในขณะที่วิธีการจะไปให้ถึงจุดนั้น เราก็ไม่เชื่อว่ารีบวิ่งไปถึงด้วยการ dumb down คอนเทนต์ เราไม่อยากลดทอนสารที่จะสื่อ อีกอย่างงานแบบนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เราถนัดด้วยแหละ เราชอบที่จะสร้างและทำงานกับคอนเทนต์ที่เรียกร้องสูง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดต้องใช้เวลา บางคนอาจจะบอกว่าคอนเทนต์เรามันเคี้ยวยาก แต่เราค่อนข้างจะเชื่อในคนอ่านพอสมควรว่าจริงๆ แล้วเขาเข้าใจมันได้ และเป็นความท้าทายด้วยว่าเขาจะใช้เวลากับเราด้วยไหม ส่วนเราเองก็เรียนรู้ที่จะสื่อสารให้ดีมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ได้ยังไงบ้าง

รู้จัก ซอย Press กับ ซอย Literary ไปแล้ว สำหรับ ซอยสตูดิโอ นั้นมีรายละเอียดอย่างไร

เกด: ซอยสตูดิโอเป็นเหมือนพื้นที่ทดลอง อย่างที่พี่เจนบอกว่าจะมีส่วนที่เราทำเป็นงาน collaboration กับที่อื่น และงาน commission เรายังสนใจในเรื่องของสิ่งพิมพ์อยู่ แต่เราจะทำสิ่งพิมพ์มากกว่ารูปแบบของหนังสือ และตอนนี้ซอยสตูดิโอมีโปรเจ็กต์หนึ่งที่เพิ่งปล่อยไปบนโซเชียลมีเดียชื่อว่า ขบและข่วน เป็นโปรเจ็กต์หนังสือราคาถูก เป็นหนังสือที่เราได้สิทธิ์จากนักเขียนที่เราไปขอมา โดยบอกเงื่อนไขว่าเป็นการตีพิมพ์ในสัญญาแบบ creative commons นั่นคือ สามารถทำซ้ำและเผยแพร่ได้โดยอิสระ แต่ห้ามนำไปแสวงหากำไร ซึ่งนักเขียนเขาก็ให้การยินยอมจะให้เราตีพิมพ์ออกไปด้วยวิธีการแบบนี้ เงินที่เราขายหนังสือได้ก็จะหมุนเข้าไปสู่คนทำงานทั้ง นักแปล โรงพิมพ์ และนักออกแบบ ที่ทำให้หนังสือเริ่มนั้นเกิดขึ้นมาได้ ด้วยความที่เกดเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน ตอนที่เราเรียนอยู่การจะซื้อหนังสือแต่ละเล่มมันต้องใช้เงินเยอะ ขบและข่วน จึงเหมือนเป็นการทำให้นักศึกษาเห็นว่าความรู้ไม่ได้เป็นของแพงมากขนาดนั้น หรือสามารถทำให้คนทั่วไปเข้าถึงความรู้ได้ ซึ่งตอนนี้เรากำลังเตรียมพิมพ์ออกมาทั้งหมด 5 เล่มพร้อมกัน

ส่วนพาร์ตอื่นๆ ของเราคือการให้ปรึกษาเกี่ยวกับการทำหนังสือหรือทำโปรเจ็กต์ร่วมกัน เพราะในซอยเรามีทีมทำคอนเทนต์ มีทีมออกแบบ เรามีทรัพยากรอยู่ในมือบ้าง ถึงจะไม่ได้มีมาก แต่พอที่เราจะสามารถช่วยได้ หรือมีงาน collaboration ที่ล่าสุดเราทำกับ Bangkok Book Festival และกำลังจะมีโปรเจ็กต์ที่ทำกับเพจเครื่องด่าจิตอาสา ที่จะชวนเขามาตีพิมพ์เป็นหนังสือเล่ม โดยน่าจะใช้วิธีการพิมพ์เหมือนโปรเจ็กต์ ขบและข่วน และถ้าสถานการณ์ดีขึ้น สิ้นปีเราอาจจะใช้พื้นที่ที่ซอยมีอยู่ชวนคนมาทำกิจกรรมร่วมกัน 

‘เกด’ – ภาอรุณ ชูประเสริฐ

เหมือนซอยพยายามจะทลายกำแพงราคา ที่เป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งในการเข้าถึงองค์ความรู้หรือเปล่า 

เจน: ก็เป็นแบบนั้นด้วยส่วนหนึ่ง แต่ต้องบาลานซ์หลายๆ อย่าง หนังสือบางเล่มก็ยังต้องทำเป็นอุตสาหกรรม เพราะมีต้นทุนที่เราต้องแบกรับอยู่ ส่วน ขบและข่วน เกิดจากความรู้สึกว่าเด็กนักเรียน นักศึกษา อยากอ่านบทความภาษาอังกฤษดีๆ เขาจะสามารถซื้อหาได้ในราคา 50-100 บาท ได้ยังไงนะ ซึ่งเป็นความคิดที่ว่าถ้าจะทำหนังสือให้ต้นทุนน้อยที่สุดมันต้องทำยังไงบ้าง แต่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราคา แต่เราหวังว่ามันจะช่วยให้การอ่านมันเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ไม่อยากให้เป็นเรื่องของคนที่อ่านภาษาอังกฤษได้เท่านั้น เพราะการอ่านภาษาอังกฤษได้ ไม่ได้ไม่ได้แสดงแปลว่าคุณเก่งกว่าชาวบ้าน มันเป็นแค่เรื่องโอกาสทางการศึกษา เป็นโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากร ก็ทำนองเดียวกันกับปัญหาความไม่เท่าเทียมในส่วนอื่นๆ ของสังคมไทย 

มีช่วงหนึ่งเกิดขบวนการขโมยหนังสือเพื่อมาขายตัดราคา คิดว่าราคาหนังสือบ้านเราแพงเกินไปจนส่งผลให้ขบวนการนี้เกิดขึ้นมาด้วยไหม 

เจน: เราคิดว่าเป็นเพราะหลายๆ อย่าง และไม่ใช่ความผิดเชิงปัจเจกคนไหนเลย มันเป็นเรื่องของระบบ ถ้าอยากจะโทษจริงๆ อาจจะต้องมานั่งคุยเรื่องนโยบายของประเทศนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีสำนักพิมพ์ไหนหรอกที่ทำแล้วรวย แค่ทำให้ไม่เจ๊งก็ถือว่าเก่งแล้ว จะบอกว่าสำนักพิมพ์โก่งราคาก็ไม่น่าจะใช่ หรือสายส่งเอาเปอร์เซ็นต์เยอะ จริงๆ สายส่งเองก็ไม่สามารถที่จะขายราคาเต็มได้เหมือนกัน ถ้ายังไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล หนังสือจะมีราคาประมาณนี้แหละ เพราะมันไม่ได้เป็นสินค้าที่สามารถทำกำไรได้ล้วนๆ ตัวหนังสือส่วนหนึ่งก็ไม่ได้เป็น Mass Product เมื่อไม่มีการสนับสนุน สำนักพิมพ์บางแห่งจึงเลือกทำกำไรผ่านการเลือกหนังสือบางประเภทที่คิดว่าขายได้ เสี่ยงน้อยกว่า แทนที่จะเลือกหนังสือบนฐานความคิดอื่นที่อาจจะให้ประโยชน์กับคนอ่านได้อีก เพราะเราเข้าใจว่ามันก็มีความเสี่ยงทางธุรกิจ เรื่องนี้จึงต้องคุยกันในระดับนโยบายเลยถึงจะแก้ได้ 

การเมืองไทยกับสิ่งพิมพ์มีความสอดรับกันไปในบางบริบท เราเห็นการเมืองผ่านการแบนหนังสือหรือผ่านการยกย่องหนังสือบางประเภท พวกคุณเห็นการเมืองผ่านวงการสิ่งพิมพ์อย่างไรบ้าง 

เจน: เรารู้สึกว่าเดี๋ยวนี้การแบนอาจจะไม่ค่อยได้ผลแบบเมื่อก่อน เพราะเรามีอินเทอร์เน็ต แต่เรานึกถึงคำพูดของ เรย์ แบรดบิวรี (Ray Bradbury) คนที่เขียนหนังสือเรื่อง Fahrenheit 451 เขาพูดว่า “คุณไม่จำเป็นต้องเซนเซอร์หนังสือเพื่อที่จะทำลายวัฒนธรรมหรอก คุณแค่ทำให้คนเลิกอ่านหนังสือคุณก็ทำลายวัฒนธรรมนั้นได้แล้ว” เราคิดว่าการทำแบบมันยากขึ้นแหละ แน่นอนว่าข้อมูลก็ยังถูกปิดและขีดฆ่าได้อย่างจดหมายซื้อขายวัคซีนบ้าบออะไรนั่น แต่เราคิดว่าสิ่งที่สำคัญคืออ่านยังไงให้เห็นสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังพยายามปิดได้ด้วย ผู้คนก็ล้อเลียนจดหมายนั้นน่าดู มันคืออาการที่ประชาชนรู้ทัน และก็ชัดเจนว่ามีสาระบางอย่างถูกปิดไว้ เราจึงคิดว่าการสนับสนุนกับเรื่องการอ่านในหลายๆ มุมเป็นสิ่งสำคัญ ทุกวันนี้เราได้รับข้อมูลข่าวสารต่อวันมากมาย แต่เราเห็นวิธีการใช้ภาษาหรือวิธีคิดที่สร้างสิ่งที่เราอ่านขนาดไหน อะไรพวกนี้ก็คุยได้เยอะเหมือนกันนะ ลองคิดดูสิว่าข้อมูลบางอย่างชัดขนาดนี้ ทำไมบางคนถึงยังเชื่ออะไรที่ต่างกันลิบลับได้ล่ะ เขาอ่านมันยังไง เขาผสมกับอะไรในหัวตัวเอง

เกด: ในระบบการศึกษาของไทย หนังสือที่มีอยู่ แบบเรียนแบบสอนหรือข้อมูลที่ถูกป้อนเข้ามา มันเป็นชุดความรู้ที่เราได้รับมาจากคนกลุ่มหนึ่ง อาจจะเป็นรัฐหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เขามีอำนาจในการตัดสินใจเลือกชุดความรู้นี้มาใช้เพื่อสร้างชุดความคิดในแบบที่เขาต้องการให้กับเด็ก พอมาเรียนมหาวิทยาลัย ก็ตั้งคำถามว่าใครเป็นคนที่นำความรู้พวกนี้มาให้กับเรา เพราะมันมีผลต่อความคิดของเด็กทุกคนมากเลย การที่ทำแบบนั้นหมายถึงการไปบีบให้เราต้องคิดตามกระบวนการทางสังคมที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรก เหมือนไม่ได้สอนให้เด็กรู้ว่าเราสามารถที่จะอ่านอะไรได้ อะไรที่สามารถเอามาใช้ในการเรียนรู้ ซึ่งไม่ได้ถึงแค่เรื่องของการอ่านหนังสือ แต่หมายถึงการอ่านเพื่อวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์จากสิ่งที่อยู่รอบตัวเองด้วย 

หรือถ้าเอาอย่างเห็นภาพได้ชัดเลยคือ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสิ่งพิมพ์อย่างงานหนังสือ ตอนเราเด็กๆจำได้ว่างานหนังสือที่เกิดขึ้นมันเฟื่องฟูและบรรยากาศก็คึกคักมาก พอมาในปีสองปีนี้สภาพเศรษฐกิจมันย่ำแย่ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่วงการสิ่งพิมพ์เท่านั้นที่ทยอยล้มกันแต่หมายถึงกิจการหลายๆอย่างด้วย เห็นจากยอดขายของร้านค้าสำนักพิมพ์ใหญ่ๆที่ลดฮวบลง หรือการไม่สามารถจัดกิจกรรมในพื้นที่กายภาพได้ ไม่ต้องพูดถึงสำนักพิมพ์ หรือร้านหนังสือรายเล็กเลยว่าจะสาหัสขนาดไหน ซึ่งเรื่องเหล่านี้มันก็เกี่ยวโยงอยู่กับเรื่องของการเมือง การจัดการระบบของรัฐทั้งหมด แล้วพอสำนักพิมพ์ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือการรองรับใดๆ ก็ไม่สามารถผลิตงาน ผลิตความรู้ได้ต่อเนื่องมันก็มีผลกับการก้าวทันของความรู้ภายในประเทศกับกระแสของโลกด้วย เลยคิดว่าการเมินเฉยที่จะจัดการสถานการณ์ก็เป็นการแบนความรู้ให้หยุดชะงักทางนึงเหมือนกัน

เจน: ตอนที่เราเข้ามาทำงานวงการนี้ สื่อมักจะถามว่าคิดว่าสิ่งพิมพ์ตายหรือยัง เราก็บอกเขาว่า เราคิดว่าการอ่านจะไม่มีวันตาย แต่ท่าทีของการพิมพ์และประเด็นที่คนอยากจะคุ้ย ค้น และอยากมีบทสนทนา จะถูกปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เรารู้สึกว่ามันมีคำถามที่วิ่งขนานกันไปเสมอ และเป็นคำถามที่ไม่ได้อยู่บนยุคสมัย เป็นคำถามโลกแตกในเชิงคุณค่าของมนุษย์ หรืออะไรที่มันใหญ่ แต่มีรายละเอียดบางสิ่งที่ตอบคำถามผ่านสำเนียงของยุคสมัยอะไรพวกนี้ สิ่งพิมพ์หรือการอ่านมันมีส่วนมากๆ ในการให้เนื้อหา ให้พื้นที่ หรือให้คำอธิบาย ซึ่งคือการเพิ่มความเป็นไปได้ของบทสนทนาที่เขาจะมี เพื่อทำให้ความคิดที่ตัวเองกำลังคิดอยู่แข็งแรงมากขึ้น 

สิ่งพิมพ์จึงควรที่จะผลิตบนความแตกต่างให้มากที่สุด เพราะเมื่อไรที่ไม่เป็นแบบนั้น คนที่กุมอำนาจในการอธิบายและการใช้ภาษา ซึ่งคือคนกลุ่มเดียวกันกับคนที่มีอำนาจในสังคม สามารถจะชี้นำคำตอบหรือชี้นำคุณค่าผ่านการเล่นลิ้นและใช้ภาษาได้ แน่นอนว่าการเมืองเป็นเกมของวาทศิลป์ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็จะใช้ แต่เราก็จะเห็นว่าบางครั้งภาษาและวาทศิลป์มันฉ้อฉลได้ขนาดไหน มันสามารถพูดถึงการ ‘ฆ่า’ ด้วยคำอย่างอื่นที่บางเบากว่า มันจึงกลับมาสู่เรื่องของการอ่านว่าทำไมเราถึงเชื่อว่าการอ่านการสำคัญ เพราะเราเชื่อว่าการอ่านเป็นอาวุธของประชาชนเหมือนกัน และเราก็อย่าทำให้อาวุธที่มีอยู่ถูกหยิบฉวยไปใช้แค่ฝ่ายที่มีอำนาจอยู่เต็มมือเท่านั้น

ด้วยความที่ซอยพยายามจะสื่อสารประเด็นทางสังคม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอีกทางหนึ่ง มีภาพสังคมที่ซอยอยากไปให้ถึงตรงนั้นไหม 

เจน: ถ้าถามโดยไม่เอาความเป็นไปได้ สิ่งที่เราไม่ชอบคือ เราไม่ชอบความสูงต่ำที่มีเยอะมากในสังคมไทย เราอยากเห็นว่าสังคมไทยสามารถที่จะข้ามพ้นความเป็น ‘เจ้า’ ในมโนคติของคน ไม่ใช่เรื่องเจ้าที่หมายถึงสถาบันกษัตริย์อย่างเดียวนะ แต่เจ้าในคติของเราที่ทำให้บางทีการพูดถึงสิ่งต่างๆ ยังไปไม่พ้นต้องใครสักคนคอยมาให้คำตอบหรือชี้ทางสว่าง ความคิดนี้มันไม่ค่อยใจกว้างเท่าไร เรายังเห็นการกดปราบคนที่อาจจะเด็กกว่า หรือออกมาพูดอะไรที่ไปสั่นคลอนสถานะที่วางไว้ก่อนหน้าของคนอื่นกลุ่ม สำหรับเรา การเมืองมันคืออณูเล็กๆ พวกนี้ด้วย ถ้าจะขจัดก็ต้องขจัดออกไปให้หมด

เพลิน: (นิ่งคิด) แค่รู้สึกว่ามันพูดยากมากเลย ตอนนี้เราจินตนาการไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เพราะสิ่งที่มันเกิดขึ้นตอนนี้ในการเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่ มันก็เซอร์ไพรส์เราตลอดเวลา

เกด: (นิ่งคิด) มันมีเรื่องเข้ามาทุกๆ วันจนยากที่จะเห็นภาพนั้น เพราะอย่างที่พี่เจนบอกว่ามันไม่ใช่การเมืองในเชิงมหภาค แต่เป็นการเมืองที่อยู่ทุกอณู จึงต้องเป็นการขับเคลื่อนทั้งสองภาคพร้อมๆ กัน ไม่ใช่แค่จะทำทางใดทางหนึ่งได้ซะทีเดียว 

Fact Box

  • ซอย | soi คือแพลตฟอร์มสองภาษาสำหรับการเขียน การเรียบเรียง และการตีพิมพ์ในสนามภาคขยาย มีองค์ประกอบสามส่วนหลักที่ทำงานขนานและถ่ายโอนกันไปมาคือ สำนักพิมพ์ซอย ซอยวรรณกรรม และซอยสตูดิโอ 
  • ทีมงานของซอยทั้งหมดประกอบไปด้วย ‘เจน’ - จุฑา สุวรรณมงคล ผู้ริเริ่ม ‘ซอย | soi’ ขึ้นมา และนั่งตำแหน่งกรรมการบรรณาธิการ ก่อนจะได้ ‘เพลิน’- ปาลิน อังศุสิงห์ มารับตำแหน่งกรรมการวรรณกรรม นอกจากนี้ยังมี มุกดาภา ยั่งยืนภราดร รับหน้าที่บรรณาธิการของส่วนสำนักพิมพ์ พร้อมด้วย ชญานิน ไทยจงรักษ์ ร่วมทีมเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการ และ ‘เกด’ - ภาอรุณ ชูประเสริฐ เข้ามาดูแลในส่วนซอยสตูดิโอ ส่วน ขจรยศ แย้มประดิษฐ์ เป็นที่ปรึกษางานด้านดีไซน์​
  • ซอย | soi เริ่มเป็นที่รู้จักจากซีรีส์หนังสือ Damned Be Patriarchy | พอกันที ปิ(ด) ตาธิปไตย ที่เปิดตัวด้วยหนังสือ แด่การผลัดทิ้งซึ่งหญิงชาย แด่ความลื่นไหลที่ผลิบาน’ (Beyond the Gender Binary) ซึ่งมี มุกดาภา ยั่งยืนภราดร เป็นบรรณธิการรับผิดชอบซีรีส์งานแปลนี้
Tags: , , , , , ,