เซอร์ ฌอน คอนเนอรี (Sir Sean Connery) ตำนานนักแสดงมาดเท่รุ่นปู่แห่งสกอตแลนด์ เพิ่งจากโลกนี้อย่างสงบด้วยวัย 90 ปี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ขณะอาศัยในบ้านพักกับครอบครัวที่หมู่เกาะบาฮามาส ท่ามกลางความโศกเศร้าของแฟนๆ ทั่วโลกที่เคยเห็นลีลาโลดแล่นของเขาบนจอมายาวนาน
เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีต ชีวิตของ ฌอน คอนเนอรี ถือว่ามีสีสันยิ่ง ก่อนจะเบนเข็มสู่เส้นทางนักแสดง จนได้รับบท ‘เจมส์ บอนด์ 007’ และกลายมาเป็นสายลับบนจอเงินที่ถูกจดจำมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ฌอนยังคงรับบทบาทต่างๆ ในภาพยนตร์คุณภาพเรื่องอื่นๆ ต่อมาอีกมากมายเป็นเวลายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ ทั้งลีลาการแสดง เสียงทุ้มนุ่มอันเป็นเอกลักษณ์ จึงทำให้เขาได้ชื่อเป็นดาราเจ้าบทบาทคนหนึ่งในตำนานของฮอลลีวูด
ขอบันทึกและรำลึกถึงยอดนักแสดงผู้รับบทสายลับ ‘เจมส์ บอนด์’ ด้วย 10 เรื่องลับของเขาที่บางคนอาจไม่เคยรู้
-
เด็กชายยากจนผู้รับจ้างขัดโลงศพ
โธมัส ฌอน คอนเนอรี (Thomas Sean Connery) เกิดเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ปี 1930 ในครอบครัวชนชั้นแรงงานจากเมืองเอดินบะระ (Edinburgh) สกอตแลนด์ พ่อของเขาทำงานเป็นคนขับรถบรรทุก ในขณะที่แม่หาเลี้ยงชีพด้วยการซักรีด เขาต้องใช้ชีวิตวัยเด็กในห้องเช่าเล็กๆ ที่แชร์ห้องน้ำร่วมกับเพื่อนบ้าน ไม่มีแม้แต่น้ำร้อนให้อาบ ครอบครัวนี้แทบไม่มีเงินเก็บ พ่อแม่ต้องปูผ้าในลิ้นชักโต๊ะเพื่อให้ฌอนในวัยทารกนอน ด้วยวัยเพียง 13 ปี เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียน ทำงานสารพัด ไม่ว่าจะเป็นคนส่งนม คนโกยถ่าน คนก่ออิฐ คนขับรถบรรทุก พนักงานกู้ภัยชายหาด หรือแม้กระทั่งรับจ้างทำความสะอาดโลงศพ
-
อำลาวงการลูกหนังถาวร
โธมัสเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ถึง 6 ฟุต 2 นิ้ว เหมาะกับงานที่ต้องอวดเรือนร่างอย่างยิ่ง ครั้นอายุได้ 23 ปี เขามีประสบการณ์ผ่านเส้นทางของนายแบบ นักเพาะกาย นักแสดงละครเวที และนักกีฬาอยู่ระยะหนึ่ง
เขาต้องเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสำคัญว่าจะเลือกเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ หรือจะเป็นนักแสดงที่เขาทำได้ดีพอสมควร แต่ในที่สุดเขาเลือกอย่างหลัง ด้วยเหตุผลว่าอายุ 23 อาจเหลือเวลาอีกไม่นานบนเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ เพราะในเวลานั้น นักฟุตบอลหลายคนเมื่อถึงวัย 30 ก็ต้องแขวนสตั๊ดอำลาสนามกันแล้ว
เมื่อหันเข้าสู่วงการแสดง โธมัสจึงเลือกเอาชื่อกลาง ‘ฌอน’ มาเป็นชื่อในวงการ เพราะมองว่าชื่อนี้น่าจะเข้ากับบุคลิกของเขามากกว่าชื่ออย่าง ‘ทอม’ หรือ ‘โธมัส’ ถึงแม้จะอำลาวงการลูกหนังมานาน แต่ฌอนเคยบอกว่า “ผมเคยชอบฟุตบอลมาก และยังชอบอยู่ ผมรักมันเลยแหละ”
-
ตัวเลือกท้ายๆ ในบทสายลับตัวพ่อ
แม้คอนเนอรีในวัย 32 ปี จะกลายมาเป็นสายลับ เจมส์ บอนด์ ในตำนาน แต่เขาไม่ใช่ตัวเลือกแรกสำหรับบทบอนด์ ในเรื่อง Dr.No (1962) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายดังของ เอียน เฟลมมิง (Ian Fleming)
ตัวเลือกที่ทีมงานสนใจในตอนแรกมีตั้งแต่ แครี แกรนท์ (Cary Grant) ที่ถอนตัวเพราะไม่อยากเซ็นสัญญาหนังหลายเรื่อง และยังมีดาวเด่นของยุคอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เดวิด นิเวน (David Niven) ริชาร์ด จอห์นสัน (Richard Johnson) ริชาร์ด ทอดด์ (Richard Todd) ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เฟลมมิงชื่นชอบที่สุด รวมถึงโรเจอร์ มัวร์ (Roger Moore) แต่บังเอิญผู้สร้างเห็นว่ามัวร์เด็กเกินไป (ทั้งที่ความจริง มัวร์อายุมากกว่าคอนเนอรี) และตอนนั้นมัวร์ยังติดสัญญากับหนังทีวี ‘The Saint’
อย่างไรก็ตาม นักแสดงที่คัดเลือกมากลับมีลีลาการแสดงไม่น่าประทับใจนัก พวกเขาจึงหันไปหาดาวรุ่งรุ่นใหม่อย่างคอนเนอรี ซึ่งหลังจากคอนเนอรีวางมือจากบทบอนด์ ก็เป็นมัวร์ที่เข้ามารับช่วงต่อในปี 1973
-
“My name is Bond, James Bond.” เกิดจากการด้นสด
เชื่อหรือไม่ว่า “My name is Bond, James Bond.” เป็นประโยคที่คอนเนอรี ‘ด้นสด’ ขึ้นมาเองในเรื่อง Dr.No เมื่อปี 1962 เพราะเขารู้สึกว่า “I am James Bond.” ตามบทพูดในสคริปท์เดิมนั้นฟังดูราบเรียบ และผิดธรรมชาติม ทีมงานจึงให้คอนเนอรีลองพูดด้นสดอยู่หลายรอบ จนกระทั่งเขาพูดเว้นวรรคระหว่างประโยค ทำให้ประโยคนี้ฟังดูมีเอกลักษณ์และลงตัวกับคาแร็กเตอร์ของบอนด์
แน่นอนว่าประโยคนี้กลายมาเป็นประโยค ‘ประจำตัว’ ของเจมส์ บอนด์ ที่ผู้สร้างต้องหยิบมาใช้ในภาพยนตร์บอนด์ทุกภาค แม้กระทั่งตอนล่าสุด No Time to Die (จะเริ่มฉายปี 2021) ที่บอนด์คนปัจจุบัน แดเนียล เครก (Daniel Craig) ก็ยังคงพูดประโยคนี้
-
ถึงผมบางก็ไม่เป็นปัญหากับการรับบท ‘เจมส์ บอนด์’
ฌอนมีปัญหาผมร่วงตั้งแต่อายุ 17 เป็นผลมาจากกรรมพันธุ์ทางฝ่ายพ่อ เขาจึงเป็นนักแสดงที่ผมบางมาตั้งแต่ก่อนเข้าวงการ ทำให้ต้องเริ่มสวมผมปลอมเล่นหนังเป็นครั้งแรกในเรื่อง Goldfinger ปี 1964 ตั้งแต่นั้นมาเขาต้องสวมผมปลอมที่ดูแนบเนียนทุกครั้งที่รับบทเจมส์ บอนด์
อย่างไรก็ตาม ในชีวิตจริงและในภาพยนตร์ส่วนใหญ่ที่เขาเคยร่วมแสดง คอนเนอรีไม่เคยสวมผมปลอมเลย แม้กระทั่งตอนออกมาโปรโมตหนังเรื่องเจมส์ บอนด์ เขาก็โชว์ศีรษะที่เริ่มล้านในที่สาธารณะอย่างไม่อายใคร แตกต่างกับผมดกดำในภาพยนตร์อย่างสิ้นเชิง
-
นักเคลื่อนไหวปลดแอกสกอตแลนด์
นอกจากจะเป็นนักแสดงแล้ว คอนเนอรียังเป็นนักเคลื่อนไหวผู้เรียกร้องอิสรภาพให้กับสกอตแลนด์ บ้านเกิดของเขา และนักแสดงมาดเข้มผู้นี้ยังสมัครเป็นสมาชิกพร้อมให้ทุนสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายแนวสาธารณรัฐ ‘Scottish National Party’ (SNP) อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี 2001 เมื่อรัฐสภาอังกฤษผ่านกฎหมายห้ามทุนจากต่างประเทศสนับสนุนพรรคการเมืองในประเทศ ส่งผลให้คอนเนอรีที่พำนักในบาฮามาสตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 ไม่สามารถสนับสนุนทางการเงินให้พรรคดังกล่าวได้อีก
-
‘บอนด์ต้นฉบับ’ ปะทะ ‘บอนด์นอกคอก’
หลังจากคอนเนอรีประกาศเลิกรับบทเจมส์ บอนด์ ในปี 1967 เมื่อเสร็จจากการถ่ายทำภาค You Only Live Twice ด้วยเหตุผลว่า ‘อิ่มตัว’ แล้ว และโด่งดังเกินไป แต่ในที่สุดคอนเนอรีก็ยังรับบทบอนด์อีก 2 ครั้ง ในเรื่อง Diamonds Are Forever ในปี 1971 และ Never Say Never Again ในปี 1983 ซึ่งทั้งสองเรื่องถือเป็นหนังบอนด์ ‘นอกคอก’ ที่อำนวยการสร้างโดยผู้สร้างอีกกลุ่ม และออกฉายในปีเดียวกันกับเรื่อง Octopussy หนังบอนด์จากผู้สร้างต้นฉบับ ที่มีโรเจอร์ มัวร์ มารับบทแทน
การตัดสินใจรับบทบอนด์ใน Never Say Never Again ทำให้เกิดความหมางใจระหว่างคอนเนอรีกับทีมผู้สร้างบอนด์ต้นฉบับ และไม่มีโอกาสได้ทำความเข้าใจกันจนกระทั่งทุกวันนี้—ที่คอนเนอรี่จากไปแล้ว สื่อในเวลานั้นต่างขนานนามการปะทะกันระหว่างบอนด์ต้นฉบับกับบอนด์นอกคอกว่าเป็น ‘ศึกระหว่างบอนด์สฺ’ (Battle of the Bonds)
-
ผู้ปฏิวัติ ‘เจมส์ บอนด์’ อย่างแท้จริง
จวบจนปัจจุบัน คอนเนอรียังคงได้รับการโหวตให้เป็นบอนด์ที่คนอังกฤษชื่นชอบที่สุด แม้แต่โรเจอร์ มัวร์ และแดเนียล เครก ผู้รับบทบอนด์คนต่อๆ มา ต่างก็โหวตให้คอนเนอรีเป็นบอนด์ในดวงใจเช่นกัน รวมถึงเอียน เฟลมมิง ที่เคยปรามาสเขาไว้ตั้งแต่แรกว่าเป็นเพียง ‘นักกล้าม’ และดูไม่เหมาะสมกับบทสายลับลีลาแพรวพราว ก็ยังต้องประทับใจกับความสามารถในการตีบทแตกของนักแสดงผู้นี้ในเรื่อง Dr.No
เฟลมมิงถึงขั้นเขียนเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวละครบอนด์เพิ่มเติมในนิยายตอนต่อๆ มา โดยอิงมาจากประวัติและบ้านเกิดในสกอตแลนด์ของคอนเนอรีเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาด้วย
-
ตำนานฮอลลีวูดเจ้าบทบาท
หลังจากรับบทบอนด์มายาวนานหลายปี คอนเนอรีสามารถสลัดบทบอนด์ได้หลุดเมื่อเขาได้รับรางวัลออสการ์จากบท จิมมี มาโลน (Jimmy Malone) จากเรื่อง The Untouchables ในปี 1988 กำกับฯ โดย มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) รวมถึงเล่นหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Indiana Jones: The Last Crusade ในปี 1989 ในบทพ่อจอมป่วนของอินเดียน่า โจนส์ ร่วมกับแฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford) และภาพยนตร์ทำเงินเรื่องอื่นๆ อีก เช่น ภาพยนตร์แอ็คชั่นสุดมัน The Rock ในปี 1996 กับนิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) Entrapment ในปี 1998 คู่กับแคเธอรีน ซีตา โจนส์ (Catherine Zeta Jones)
ในเรื่อง The Rock คอนเนอรีในวัยเก๋ายังนั่งเก้าอี้เป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ด้วย ถือเป็นหนัง ‘ยุคหลัง’ ที่เขาชื่นชอบที่สุด ว่ากันว่าในช่วงที่กำลังถ่ายทำนั้น คอนเนอรี ‘อิน’ มากถึงขนาดขอให้สร้างที่พักให้เขาอาศัยบนเกาะอัลคาทราซ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินทางไป – กลับ ระหว่างซาน ฟรานซิสโกกับเกาะอัลคาทราซบ่อยๆ
-
อำลาจอเงิน
ฌอน คอนเนอรี เกษียณตัวเองตั้งแต่ปี 2003 หลังจากความล้มเหลวของหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่ฟอร์มยักษ์ The League of an Extraordinary Gentlemen คอนเนอรีเปิดเผยว่ารู้สึก ‘กดดัน’ กับงานนี้เกินไป รวมถึงรู้สึกผิดหวังทั้งกับคุณภาพและรายได้ของหนัง
ด้วยวัย 71 ปีของเขา เมื่อผ่านจุดสูงสุดมาแล้วทุกด้าน คอนเนอรีรู้สึกว่าน่าจะถึงเวลาพักผ่อนได้แล้ว จึงบอกลาอาชีพนักแสดงอย่างถาวร คงเหลือเพียงการให้เสียงในวิดีโอเกมส์ From Russia with Love ปี 2005 ที่ดัดแปลงจากภาพยนตร์บอนด์ชื่อเดียวกัน โดยคอนเนอรีเป็นทั้งผู้ให้เสียงและให้ทีมพัฒนาเอาใบหน้าในวัยหนุ่มของตนไปใช้ในเกมด้วย
นอกจากนี้ เขายังมีผลงานพากย์การ์ตูนจากสกอตแลนด์บ้านเกิด Guardian of the Highlands ปี 2011 พร้อมกับใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตามเชียร์กีฬา โดยเฉพาะการเกาะขอบสนาม ‘ฟุตบอล’ ที่เขาชื่นชอบมาตลอดชีวิต
อ้างอิงข้อมูล
https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-13087132
https://www.standard.co.uk/news/uk/sean-connery-dead-james-bond-star-loved-around-world-b33737.html
https://www.dailyrecord.co.uk/news/scottish-news/sir-sean-connerys-old-football-22936175
https://variety.com/feature/sean-connery-birthday-james-bond-dr-no-1234746737/
https://www.notstarring.com/movies/dr–no
https://www.imdb.com/name/nm0000125/bio?ref_=nm_dyk_trv_sm#trivia
https://groovyhistory.com/sean-connery-hairpiece-007-james-bond-movies
https://www.theguardian.com/film/2020/oct/31/sir-sean-connery-obituary
https://ultimateclassicrock.com/james-bond-never-say-never-again/
https://www.filmstories.co.uk/features/the-rock-the-crucial-rewrite-that-got-sean-connery-on-board/
https://www.looper.com/148339/why-you-dont-see-sean-connery-onscreen-anymore/
Tags: Sean Connery, ฌอน คอนเนอรี