สิ่งที่ดีที่สุดของ Motel Mist โรงแรมต่างดาว ภาพยนตร์เรื่องแรกของ ปราบดา หยุ่น นักเขียนรางวัลซีไรต์ประจำปี 2545 คือ มันได้ทำหน้าที่หนึ่งในหลายๆ หน้าที่ของภาพยนตร์ (ที่คนมักเข้าใจกันไปว่ามันมีหน้าที่แค่ ‘ให้ความบันเทิง’) นั่นก็คือ การเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ตีความภาพที่เห็นและเรื่องที่เล่าไปตามความเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจที่ว่านี้ย่อมแตกต่างกันไปตามประสบการณ์และความคิดของผู้ชมแต่ละคน
เมื่อครั้งที่ผู้กำกับตระเวนพาหนังไปฉายตามเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ ก็มีกระแสออกมาในทิศทางอันหลากหลาย บ้างก็บอกว่าชอบ บ้างก็บอกว่าไม่ชอบ บ้างก็เดินออกจากโรงทั้งที่หนังยังไม่จบ และบ้างก็เดินมาถามผู้กำกับว่าทำหนังอะไรมาให้ดู?
มองในแง่ที่ว่าภาพยนตร์เป็นศิลปะแขนงหนึ่ง หนังของปราบดา หยุ่น เรื่องนี้ประสบความสำเร็จในการชี้ชวนและกระตุ้นให้ผู้ชมตั้งคำถามว่า ภาพที่เห็นและเรื่องที่เล่านั้นเป็นไปตามนั้น หรือแท้จริงมันคืออะไรกันแน่?
Motel Mist : โรงแรมต่างดาว เล่าเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นในโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งของ 5 ชีวิตได้แก่ ตุล (วสุพล เกรียงประภากิจ) อดีตนักแสดงเด็กชื่อดังที่เชื่อว่าตนเองสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวได้ และกำลังรอคำสั่ง ‘ปฏิบัติการ’ จากสิ่งที่ควบคุมตนเองอยู่, โสภณ (สุรพล พูนพิริยะ) เสี่ยใหญ่ที่ดูภายนอกเป็นคนดีมีรสนิยม แต่ลึกลงไปกลับซ่อนความเลวร้ายแบบที่นึกไม่ถึง, ไลล่า (ประภามณฑล เอี่ยมจันทร์) และวิคกี้ (คัทรียา เทพชาตรี) สองเด็กนักเรียนสาวผู้ถูกเสี่ยโสภณหิ้วเข้าโรงแรมในฐานะของเล่นบำเรอความสำราญ และทศ (วิษณุ ลิขิตสถาพร) พนักงานประจำโรงแรม ผู้มีความฝันไกลเกินกว่าการวิ่งเข้าวิ่งออกรูดม่าน ให้บริการผู้มาพัก ทั้ง 5 คนมาพบกันในโรงแรมม่านรูดซอมซ่อชานกรุง และเรื่องเหนือจริงต่างๆ นานา ก็อุบัติขึ้น
ว่ากันตามเนื้อเรื่อง Motel Mist โรงแรมต่างดาว ก็จัดเป็นหนังนีโอนัวร์กึ่งไซไฟที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่ามันยังสนุก ‘น้อย’ ไปนิด บางช่วงบางตอนถ้าไม่เรียบเนิบนาบจนเกินไป ก็ขาดๆ หายๆ แลดูไม่ค่อยต่อเนื่องเกินไป แต่ก็ชดเชยได้ด้วยงานด้านการกำกับภาพและองค์ประกอบศิลป์ ซึ่งทำออกมาได้อย่างโดดเด่น ทั้งที่ไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษมากมายนัก อาศัยเพียงแค่การหามุมถ่ายภาพที่แปลกไปกว่าปกติ และการกำหนดทิศทางของการกำกับศิลป์ตลอดทั้งเรื่อง เช่นเดียวกับการแสดงของเหล่านักแสดงที่เป็นหน้าใหม่เกือบทั้งหมด พวกเขาแสดงได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า บทที่พวกเขาได้รับล้วนเป็นบทที่ ‘ท้าทาย’ มากๆ
อย่างที่บอกว่าในฐานะงานศิลปะที่ให้มากกว่าความบันเทิง Motel Mist : โรงแรมต่างดาว ชี้ชวนให้ผู้ชมตีความในสิ่งที่หนังสื่อสารออกมา ทั้งในประเด็นเรื่องอำนาจนิยมเพศชายเป็นใหญ่ (ปิตาธิปไตย) ผ่านตัวละครอย่างโสภณ ผู้มีนิสัยผูกขาดความดีงามไว้กับตนเอง และมีลักษณะของผู้บงการ และการเสพติดอำนาจนิยม ซึ่งเห็นได้จากการใช้เพลงลูกทุ่งคลาสสิก หนูไม่ยอม ที่พอจะบอกอะไรบางอย่างได้
นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องท่าทีและบทบาทของเพศหญิงในยุคสมัยที่ เปลี่ยนไป โดยมีตัวละครอย่างไลล่าและวิคกี้เป็นสัญลักษณ์ของการใช้พลังทางเพศของผู้หญิงในการเอาคืนผู้ชาย (มากไปกว่านั้นคือการเอาคืนผู้ชายในโลกทัศน์เก่า) นี่ยังไม่รวมถึงประเด็นเรื่องความเป็นอื่นของตัวละครอย่างตุล ที่สามารถตั้งคำถามได้ว่าการเป็นอื่นนั้นเกิดจากอะไร เกิดจากอำนาจเหนือธรรมชาติที่บงการอยู่ หรือเป็นอื่นเพราะเขาคือบางสิ่งบางอย่างที่ถูกทำให้สูญหาย (การเป็น ‘อดีต’ ดาราเด็กชื่อดัง สามารถเชื่อมโยงกับประเด็นนี้ได้)
เหล่านี้คือประเด็นหลักๆ ที่ผู้เขียนค้นพบจากการชม Motel Mist โรงแรมต่างดาว ซึ่งยังไม่รวมสัญลักษณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้สร้างโรยขนมปังไว้เป็นทางให้ผู้ชมได้เก็บเอามาคิดกันต่อ
บทสรุปและสิ่งที่เป็นคุณค่าที่แท้จริงของ Motel Mist โรงแรมต่างดาว จึงอยู่ที่ว่ามันเป็นหนังที่ดูแล้วสามารถคิดต่อ คิดไกล คิดเลยเถิดไปถึงไหนต่อไหนได้มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งเท่าที่หนังไทยเคยมีมา แม้ในทางกลับกันการดูหนังเรื่องนี้สำหรับหลายคนอาจชวนให้เกิดอาการกระอักกระอ่วน พิพักพิพ่วน ไปจนถึงต้องกลั้นใจชมอยู่บ้าง
อดทนหน่อย ความสนุกที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นเมื่อคุณออกจากโรงภาพยนตร์และเริ่มสนทนากับเพื่อน
คำถามนอกรอบกับจักรพันธุ์ ขวัญมงคล
หนังเกี่ยวกับอะไร
คน 5 คนอลวนในโรงแรมม่านรูด
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปดูหนัง
มีฉากล่อแหลมทางเพศ ถ้าไม่คุ้นเคยหรือรับไม่ได้อาจอึดอัดใจ
สิ่งที่ชอบที่สุด 3 ข้อจากหนัง
การแสดง การกำกับภาพ การกำกับศิลป์
สิ่งที่ไม่ชอบที่สุด 3 ข้อจากหนัง
ดำเนินเรื่องช้าในบางช่วง บางช่วงไม่ค่อยปะติดปะต่อ
เราเรียนรู้อะไรจากหนัง
ม่านรูดในโรงแรมม่านรูดมีสีเหลือง (เคยเจอแต่สีเขียวเข้มๆ)
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนัง
แว่นตาหัวใจไฟวิบวับที่กลายมาเป็นโปสเตอร์ของหนังนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเตรียมไว้ก่อน ปราบดามาพบในกองถ่ายที่ฝ่ายคอสตูมเป็นผู้นำมา เขาชอบใจเลยนำมาใช้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
คนใจกว้าง
ควรชวนใครไปดู
จีบกันใหม่ๆ อย่าเพิ่งชวน จนกว่าพูดคุยจนแน่ใจแล้วว่าเป็นคนดูหนังหลากหลาย
ความคุ้มค่าต่อเงินที่เสียไป
โดยส่วนตัวคิดว่าคุ้ม
ขอ 3 คำจากหนังเรื่องนี้
คม ลึก ซึ้ง