ในโอกาสขึ้นศักราชใหม่ มีคำทำนายอนาคตต่างๆ ออกมามากมาย หนึ่งในนั้นเป็นการคาดการณ์อนาคตโดยอ้างอิงจากประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา  เดวิด เบเคอร์ อาจารย์ประวัติศาสตร์โลก มหาวิทยาลัยแมคควารี ผู้ศึกษาแนวโน้มทางประวัติศาสตร์ทั้งธรรมชาติและสังคมศาสตร์ในขอบเขตเวลาที่กว้างและหลายมิติมากวิเคราะห์ว่า ในช่วงทศวรรษ 2020 สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก

การวิเคราะห์นี้ศึกษาจากแบบจำลองประวัติศาสตร์ที่ใช้ข้อมูลสถิติแสดงพัฒนาการระยะยาว (cliodynamics model) มองย้อนหลังกลับไป 5,000 ปีก่อนเพื่อหาแบบแผนทางคณิตศาสตร์ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ อาศัยทฤษฎีโครงสร้างทางประชากรศาสตร์ ซึ่งอธิบายวงจรของความมั่งคั่งและการเสื่อมถอย โดยดูความเข้มแข็งทางการเมืองและเศรษฐกิจของรัฐต่างๆ อายุ รายได้ของประชากร ขนาดและความร่ำรวยของชนชั้นนำ เพื่อวิเคราะห์สังคมและดูว่ามันจะดำเนินไปในทิศทางใด

ในภาพใหญ่ เบเคอร์ทำนายว่า รายได้ลดลง ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนขยายตัวสูงขึ้น ตัวเลขของคนที่ทรงอิทธิพลและร่ำรวยซึ่งแข่งขันและแบ่งฝักฝ่ายกันมากขึ้น รวมทั้งก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวที่สุดโต่ง มีจลาจลและการต่อสู้ของประชาชน ควบคู่ไปกับความแตกต่างทางการเมือง ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่จะเกิดขึ้นกับประเทศส่วนใหญ่ในโลก 

เขายกประวัติศาสตร์โรมัน เมื่อ 201 ปีก่อนคริสตศักราชมาเปรียบเทียบ เวลานั้นอาณาจักรโรมันเติบโตและมั่งคั่งอย่างมาก ช่องว่างระหว่างคนรวยที่สุดและจนที่สุดค่อนข้างเล็ก และมีจำนวนชนชั้นนำไม่มากนัก  เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น ผู้ถือครองธุรกิจรายเล็กต้องขายฟาร์มของตัวเอง ที่ดินถูกชนชั้นนำไปรวมเป็นผืนใหญ่ โดยมีทาสเป็นแรงงาน จำนวนชนชั้นนำขยายตัว ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้น คนธรรมดารู้สึกเหมือนถูกบีบไว้ ส่วนชนชั้นนำปิดกั้นอำนาจ คนรวยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปที่ดิน และท้ายที่สุดชนชั้นนำแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ศตวรรษต่อมาเป็นการปฏิวัติของทาสและเกิดสงครามกลางเมืองใหญ่ 2 ครั้ง

ในช่วงทศวรรษ 2020 มีความเป็นไปได้ที่จะมีเหตุการณ์ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยน เช่น วิกฤตสิ่งแวดล้อม โรคระบาด หรือเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ความรุนแรงสูงสุด ดังเหตุการณ์ในอดีต เช่น ในศควรรษที่ 12 ประชากรในยุโรปเพิ่มขึ้นและมาตรฐานการดำรงชีวิตเพิ่มสูงขึ้น ปลายศตวรรษที่ 13  เป็นช่วงที่นำพาความเสื่อมถอย ทั้งทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ระหว่างปี 1315-1317 ซึ่งทำให้มีความรุนแรงมากขึ้น ตามมาด้วยหายนะครั้งใหญ่จากกาฬโรคในปี 1347-1351 หลังจาก 2 เหตุการณ์ที่เป็นชนวนเหตุสำคัญ  ชนชั้นนำต่อสู้บนซากปรักหักพังจนนำไปสู่ศวรรษแห่งการฆ่าล้างกันทั่วยุโรป ในช่วงถดถอยนี้มีประชากรทั่วโลกเสียชีวิต 20% 

แต่สิ่งที่อาจจะทำให้วัฏจักรนี้หมุนกลับไปอีกทางหนึ่งได้ ก็คือความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีครั้งใหญ่ ในอดีตมีนวัตกรรมที่ช่วยยับยั้งความเสื่อมถอย ตัวอย่างเช่น วิธีจัดการที่ดินและการเกษตรใหม่ ในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 11 ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและนำไปสู่ความมั่งคั่งและเสถียรภาพในศตวรรษต่อมา  หรือเมื่อกลางศตวรรษที่ 17 ผลผลิตทางการเกษตรจากสหรัฐอเมริกา แม้จะมีความเป็นไปได้ต่ำมาก อย่างไรก็ตามนวัตกรรมก็ยังคงเป็นความหวังที่ดีที่สุด ยิ่งเร็วยิ่งดี 

เขาคาดว่า การเสื่อมถอยยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องในศตวรรษหน้า ถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่นำพาวิกฤตออกไป และเป็นเวลาแห่งความรุนแรงที่ยาวนาน บางทีอาจจะนับทศวรรษ

ที่มา:

https://theconversation.com/history-repeats-itself-thats-bad-news-for-the-2020s-127116

https://www.rawstory.com/2020/01/history-repeats-itself-thats-bad-news-for-the-2020s/

Tags: , , , , ,